ตอนที่ : 1 กฎของเรา
1
กฎของเรา
ผู้หญิงอายุสามสิบห้าปีเข้าไปแล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก ขืนปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติคานทองนิเวศน์คงได้ถามหา วธุกา จึงไม่ลังเลที่จะรับปากแต่งงานทันทีที่มีการสู่ขอเกิดขึ้น สิ่งใดก็แล้วแต่ที่จะทำให้ชีวิตของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ ได้มีชีวิตครอบครัวแสนอบอุ่นหญิงสาวก็พร้อมจะตัดสินใจเลือกทางนั้นในทันที เว้นเสียแต่กฎบ้าบอคอแตกของเขานั่นแหละที่ทำให้เธอต้องหยุดเพื่อคิดสักนิดหนึ่ง
ส่วนเขา วิเนตย์ ชายผู้ฝังความรักไปพร้อมกับภรรยาและลูกน้อยที่เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนจากอุบัติเหตุทางเครื่องบิน หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบจึงไม่ต้องการอะไรในชีวิตอีก นอกจากปรารถนาจะปลดปล่อยความรุ่มร้อนในร่างกาย การแต่งงานคือทางออกเดียวของเขา เพื่อจะระบายสิ่งที่เก็บกักเอาไว้ห้าปีเต็มได้อย่างถูกต้อง
หลังจากที่ตอบตกลงแต่งงานไปเมื่อวันก่อน วันนี้ตัวแทนจากฝ่ายชายก็เข้ามาพบนางอารตีผู้เป็นป้าของเธอ พร้อมกับการสนทนาที่ใช้เวลานานเกือบหนึ่งชั่วโมง กระดาษแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าของวธุกา หลังจากตัวแทนของฝ่ายชายได้กลับไปแล้ว
“อะไรคะคุณป้า” ถามพร้อมสีหน้างุนงง
“ข้อตกลงที่คุณวิเนตย์ร่างมา ไม่มากหรอกแค่สามข้อ” ผู้เป็นป้าตอบพร้อมกับชำเลืองไปยังกระดาษในมือของหลานสาว
“ข้อตกลง?”
“อ่านดูสิยัยวาท ฉันว่าก็คุ้มดีนะ” นางอารตีทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่มันผิดปกติอย่างร้ายแรงสำหรับคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
1.สินสอดจ่ายครั้งเดียวจบ ไม่มีการขอนอกรอบหลังจากแต่งงานไปแล้ว
2.ไม่มีการแบ่งสินสมรสเมื่อหย่า
3.ห้ามท้องเด็ดขาด (สำคัญสุด)
มือเล็กถึงกับสั่นระริกเมื่อกวาดสายตาอ่านทั้งสามข้อจบลง โดยเฉพาะข้อที่สามนี่มันน่าโมโหนัก ถึงกับต้องทำตัวหนาตัวเอียงกันมาเลยทีเดียว นี่เขาคิดว่าเธอเป็นคนยังไงถึงได้มาตั้งเงื่อนไขที่เหยียบย่ำจิตใจกันได้ถึงเพียงนี้
“ทุเรศ...นี่มันทุเรศที่สุด วาทไม่ตงไม่แต่งมันแล้วค่ะคุณป้า” อารมณ์โกรธของวธุกาพุ่งปรี๊ดให้กับความคิดของผู้ชายคนนี้
“ไม่ได้นะยัยวาท แกแก่จะเป็นสาวทึนทึกอยู่แล้ว มีผู้ชายหลงมาสู่ขอก็บุญท่วมหัวแกแล้ว รถด่วนขบวนสุดท้ายต้องรีบคว้าเอาไว้นะรู้ไหม” นางอารตีบอกด้วยท่าทางขึงขัง
“คุณป้าคะ เขาทำเหมือนวาทไม่มีศักดิ์ศรี กฎบ้าบอคอแตกอะไรกันแบบนี้ เหมือนกลัวว่าวาทจะไปถลุงเงินของเขาจนหมดตัวอย่างนั้นล่ะ วาทไม่แต่งแล้วค่ะ”
“ไม่ได้!”
“คุณป้าจะมาบังคับวาทไม่ได้นะคะ”
“ก็วันก่อนแกตอบตกลงเขาไปเองนะยัยวาท จะมาผิดคำพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็วันก่อนเขายังไม่ได้ออกกฎเกณฑ์บ้าๆ แบบนี้ยังไงคะ คนดีๆ ที่ไหนเขาทำกันคะคุณป้านี่มันคนบ้าชัดๆ”
“ยังไงแกก็จะต้องแต่งงานนะยัยวาทเพราะเงินสินสอดที่คุณวิเนตย์จะให้นั้น มันมากพอที่จะช่วยเหลือคนในบ้านเราได้ทุกคน แกคิดดูสิ อีกหน่อยยัยอรแต่งงานต้องเสียเงินเสียทองจัดงานแต่งอีก คุณแม่ก็แก่ตัวลงเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เงินทองก็ไม่ค่อยมี ธุรกิจของบ้านเราก็ย่ำแย่คนงานจะออกไปหมดแล้วมั้งนี่” ผู้เป็นป้าร่ายยาวถึงปัญหาที่สั่งสมมานาน โดยเฉพาะรีสอร์ตริมน้ำที่ลูกค้าลดน้อยถอยลงไปทุกวัน
“ยัยอรจะแต่งงาน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวาทคะคุณป้า” คนถามกลอกตาใส่อย่างหน่ายใจ ส่วนเรื่องยายนั้นเธอพร้อมที่จะช่วยดูแลอย่างเต็มใจเสมอ
“ก็ฉันเอาเงินคุณวิเนตย์เขามาใช้แล้วน่ะสิ ตั้งแต่วันก่อนที่แกรับปากว่าจะแต่งงานกับเขา เขาก็เซ็นเช็คฝากคนเอามาให้เลย”
“คุณป้า! แล้วทำไมเขาเอาสินสอดมาให้ก่อนล่ะคะยังไม่ได้แต่งงานกันเลย”
“ฉันเป็นคนขอเองล่ะ แต่ไม่ได้เอามาใช้เองหรอกนะอย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดไปล่ะ เอาไปให้คุณแม่หมดทุกบาททุกสตางค์ ถือว่าเป็นค่าเลี้ยงดูแกตั้งแต่เด็กจนโตยังไงล่ะยัยวาท เลี้ยงเด็กที่แม่มันทิ้งไปอยู่กับผัวฝรั่งที่เมืองนอก พ่อมันก็ไปมีครอบครัวใหม่ไม่คิดมาเหลียวแล คิดดูสิกว่าจะส่งเสียแกเรียนจบก็หมดไปกี่ล้านแล้ว จบมาก็ยังมาเกาะคุณแม่กินอีก สินสอดทั้งหมดนี่ยกให้คุณแม่ถูกต้องที่สุด” นางอารตีโจมตีจุดอ่อนของผู้เป็นหลาน
“แต่วาทไม่ได้เกาะคุณยายกินนะคะ วาทก็ทำงานที่บ้านของเราทุกวันไม่ได้อยู่เฉยๆ นะคะ”
“โอ๊ย งานพวกนี้ใครๆ ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งแกหรอกยัยวาท แทนที่แกจะไปหาผัวรวยๆ หรือไปทำธุรกิจดีๆ ในเมือง แล้วเอาเงินมาให้คุณแม่ แกกลับชอบที่จะอยู่กับป่าเขาลำเนาไพรไปวันๆ แบบนี้ มิน่าถึงไม่มีผัวกับเขาสักที”
“แต่คุณป้าคะ วาท...”
“พอๆ แกไม่ต้องพูดแล้วยัยวาท อีกหน่อยยัยอรแต่งงานแกจะอยู่ตรงไหนของบ้านฉันอยากรู้นัก ถ้าคุณแม่ยกสมบัติให้ฉันตามที่คุยกันไว้ ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้แกอยู่บ้านหลังนี้ก็ได้นะ” นางอารตีพูดแล้วก็เชิดหน้าใส่หลานสาวในไส้
“คุณป้า...”
“ฉันพูดจริง” ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่มองมานั้นเหมือนจะเฉือนหัวใจของวธุกาให้ขาดรอนๆ นี่หรือคือสายตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของแม่ เป็นป้าแท้ๆ ของเธอ ในบางเวลาก็ดูเหมือนจะเป็นคนอื่นไป
“ถ้าวาทแต่งงานไปกับคุณวิเนตย์ คุณป้าก็จะโล่งตาโล่งใจใช่ไหมคะ ทั้งหมดนี่ก็แค่ไม่อยากให้วาทอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย” คำพูดคล้ายน้อยใจของหญิงสาวไม่ได้ทำให้นางอารตีรู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด
“แกจะคิดยังไงก็เชิญยัยวาท แต่นี่คือโอกาสดีที่สุดในชีวิตของแกแล้ว ถ้าแกไม่เอาแกก็โง่สิ้นดี” พูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้วธุกาอยู่กับความจริงที่ว่าผู้เป็นป้าไม่เต็มใจให้เธออยู่ในบ้านหลังนี้ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
หญิงสาวเดินขึ้นไปบนบ้านเพื่อหายายผู้เป็นที่รัก ยายนวลน้อยมีอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกต้องนั่งอยู่บนรถเข็นเสียส่วนใหญ่ มีแค่วธุกาที่มักจะพาท่านออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
“มาพายายไปดูแม่น้ำหน่อยสิวาท” เห็นหน้าหลานสาวคนโปรดยายนวลน้อยก็รีบกวักมือเรียกอย่างดีใจ
“ค่ะคุณยาย” วธุกาตรงไปอุ้มผู้เป็นยายลงบันไดมานั่งรถเข็นอีกคันที่อยู่ด้านล่าง แล้วเข็นพาออกไปสูดอากาศด้านนอกตรงระเบียงซึ่งสามารถมองเห็นสายน้ำที่ไหลผ่านหน้ารีสอร์ตแห่งนี้ได้ถนัดตา
“ยัยอรบอกว่าจะพายายมาดูแม่น้ำ พอแฟนโทรมาแค่นั้นแหละวิ่งปรู๊ดออกไปเลย” ยายนวลน้อยฟ้องแบบขำๆ
“ยัยอรกำลังมีความรักค่ะคุณยาย ปล่อยๆ ไปบ้าง โตกว่านี้เดี๋ยวก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควรค่ะ” แม้คนแม่จะใจร้ายแต่ลูกสาวอย่างอรตีกลับเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น เป็นเด็กนิสัยน่ารักพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน เสียอย่างเดียวเชื่อฟังผู้เป็นแม่มากไปหน่อย จนบางครั้งอรตีก็ขาดความเป็นตัวของตัวเองไป
“ยายก็ว่างั้น แล้วเราล่ะวาทเห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวบ้างหรือยัง” หญิงชราหันมามองหน้าหลานสาวแล้วถามด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า วธุกาเห็นแล้วก็พลอยรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย