มนัสยาวางแก้วน้ำลงพร้อมกับรีบกลืนน้ำและยาสองเม็ดที่เพิ่งกรอกเข้าปากลงคอ แล้วสบตากับดนุพร ป้าแม่บ้านที่แสนดีคนนี้ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยเพื่อบอกอีกฝ่ายที่เอาแต่มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยว่า
"หยีกินยาแล้วค่ะ เดี๋ยวอาการปวดหัวคงดีขึ้น ป้าพรมีอะไรก็ไปทำเถอะนะคะ"
"ถ้าไม่ดีขึ้น หรืออยากได้อะไรก็เรียกป้านะคะ"
หญิงสาวพยักหน้า แล้วมองตามหลังดนุพรที่ยกแก้วน้ำไปเก็บให้อีกครั้ง มนัสยาถอนหายใจ ก่อนจะหยิบไอแพดมาเปิดดูแบบเสื้อผ้าที่เธอวาดค้างเอาไว้ต่อ และขณะนี้เองที่โทรศัพท์มือถือของเธอก็เกิดส่งเสียงร้องขึ้นมา
เห็นสายที่โทร.เข้ามา มนัสยารีบรับทันที
"ค่ะ คุณแม่"
"ยาหยี! ยาหยีอยู่ไหนลูก"
"หยีก็อยู่ที่ร้านน่ะสิคะ คุณแม่มีอะไรรึเปล่า" ถามพร้อมกับเริ่มขมวดคิ้วเข้ากันด้วยความสงสัย เพราะน้ำเสียงของมารดาฟังดูร้อนรนแปลกๆ
"ยาหยีกลับบ้านตอนนี้ได้มั้ย..."
"มีอะไรคะคุณแม่"
"เรื่องของพี่ชายเราน่ะแหละ"
"พี่มนัส..." มนัสยาพึมพำสัมผัสเค้าลางที่ไม่ดีได้มากขึ้น "ค่ะ หยีจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้" ว่าแล้วมนัสยาก็หยิบกุญแกรถ กระเป๋า ก่อนจะออก
จากร้านเธอก็สั่งงานและออเดอร์ที่ต้องจัดส่งลูกค้าให้คนของร้านทราบ จากนั้นก็รีบกลับไปหาผู้เป็นแม่ที่บ้านทันที
เมื่อมาถึง...เธอก็เห็นมารดานั่งกุมหน้าอยู่ภายในบ้าน และทำท่าคล้ายกำลังร้องไห้อยู่
เธอวางกระเป๋า คุกเข่าลงตรงหน้าท่าน รีบถามอีกว่า "คุณแม่คะ มีอะไร เกิดอะไรขึ้นคะ"
นพนภาไม่ตอบ แค่พยักพเยิดให้ลูกสาวดูกล่องที่ตั้งอยู่ไม่ห่างเอาเอง มนัสยากลืนน้ำลายช้าๆ หวาดกลัวว่าภายในกล่องอาจจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้มารดาเธอทั้งตกใจและหวาดกลัวเช่นนี้
มนัสยาลุกไปที่กล่องปริศนา กลั้นใจเปิดกล่องออก และวินาทีที่ฝากล่องเปิด ร่างบางก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มีเสื้อยืดสีดำและนาฬิกาข้อมือของผู้ชายที่คุ้นตาอยู่ภายในนี้ และทั้งสองสิ่งนี้ต่างชุ่มเปียกไปเลือด!
มนัสยารีบใช้สองมือปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้อง เข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาของเธอถึงอยู่ในสภาพหวาดกลัวเช่นนี้ได้
"ของพี่มนัสนี่คะ"
"มีจดหมายด้วยนะลูก" เสียงอันสั่นเครือของมารดาบอกอีก
ทำให้มนัสยาเพิ่งสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลิวตกอยู่ไม่ ห่างจากกล่องใบนี้
ว่าแล้วเธอก็รีบหยิบมันขึ้นมาพลิกอ่านดู...
'ถ้าไม่อยากให้เจ้าของเสื้อและนาฬิกาตาย ก็เตรียมเงินแปดแสนบาทเอาไว้ แล้วพวกกูจะเป็นฝ่ายติดต่อมาอีกทีว่าให้มึงทำยังไง จำไว้ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ตำรวจรู้ เพราะพวกกูก็จะไม่รับรองความปลอดภัยของลูกชายมึงเช่นกัน
อ้อ... ถ้ามัวแต่บิดพลิ้ว ทำให้พวกกูเสียเวลา ครั้งหน้า มึงก็เตรียมตัวรับนิ้วมือทั้งสิบของลูกชายมึงได้เลย!'
มนัสยาอ่านแล้วเผลออ้าปากค้างด้วยความสะพรึง
ก่อนจะถอยกลับไปนั่งกอดมารดาเพื่อปลอบขวัญท่าน
"คุณแม่..."
"จะทำอย่างไรดียาหยี แม่จะทำอย่างไรถึงจะช่วยพี่ชายของลูกได้...หือๆๆๆ"
นมัสยากอดท่านแน่นขึ้น "คุณแม่ทำใจดีๆ ไว้นะคะ แล้วบอกหยีมาทีว่ากล่องนี้มันมาอยู่ที่บ้านของเราได้ยังไง" แม้จะหวาดกลัว แต่เธอก็ต้องรีบตั้งสติถามหาที่มาที่ไปของกล่องปริศนาใบนี้เสียก่อน
"มีผู้ชายสองคนขี่รถมอเตอร์ไซค์แล้วเอามาหย่อนไว้ตรงประตูรั้ว แม่เห็นหน้าไม่ชัด เพราะพวกมันสวมหมวกกันน็อคมิดชิด
"เข้าใจแล้ว" เธอพึมพำและลูบหลังผู้เป็นแม่ไปด้วย คงเกี่ยวกับที่พี่มนัสหายไปจากบ้านเป็นอาทิตย์ แต่ปกติพี่ชายของเธอก็ทำตัวเหลวไหลแบบนี้ หายไปจากบ้านครั้งละอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ติดต่อไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายก็กลับมาขอเงินจากผู้เป็นแม่ตลอด ทว่าครั้งนี้กลับไม่ใช่แบบนั้นอีก
มนัสยาครุ่นคิดด้วยความเคร่งเครียด เสียงร้องไห้กระซิกๆ ของผู้เป็นแม่ยังดังบาดใจอยู่ข้างๆ หู ทำให้ดวงใจหญิงสาวพลอยอ่อนเหลวไปด้วย
"คุณแม่อย่าเพิ่งวิตกไปนะคะ หยี...หยีจะหาทางช่วยพี่มนัสเองค่ะ"
"แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาให้ตามที่พวกมันต้องการล่ะ ลำพังที่มีกันตอนนี้ไม่กี่แสนก็มีไว้ใช้หมุนร้านเสื้อผ้าของลูกเท่านั้น"
มนัสยาสัมผัสความวิตกหวาดกลัวหลายอย่างจากผู้เป็นแม่ เธอสงสารท่านจับใจจนร้องไห้ออกมาเบาๆ เป็นเพื่อนท่าน กระนั้นก็กลั้นใจให้คำมั่นสัญญาเพื่อขอแบ่งเบาความทุกข์ในจิตใจของท่านบ้าง
"ฟังหยีนะคะคุณแม่ หยีสัญญาแล้วว่าจะหาทางช่วยพี่มนัส หยีก็จะทำ คุณแม่อย่าร้องไห้นะคะ"
แทนที่จะรู้สึกเบาใจกับคำรับรองจากลูกสาว แต่คนเป็นแม่ก็ยังอดปล่อยโห...ไม่ได้อยู่ดี เพราะนพนภาก็สงสารลูกสาวคนนี้จับใจที่ต้องเข้ามาแบกรับภาระที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้แบบนี้
มนัสยาพามารดานอนพัก เธอคลี่ผ้าหุ่มบางๆ คลุมร่างท่านตั้งแต่อกลงไป เมื่อเห็นท่านหลับสนิท หญิงสาวจึงได้ขยับมานั่งเก้าอี้อีกตัว พร้อมกับทอดมองท่านด้วยความสงสารและเข้าใจ
แม้ลูกชายจะทำตัวเหลวแหลกอย่างไร ธรรมดาในหัวจิตหัวใจของคนเป็นทั้งพ่อและแม่คงทนดูดายไม่ได้ โดยเฉพาะแม่ที่มีหัวใจอ่อนไหวง่ายอย่างแม่คนนี้
และก่อนที่ท่านจะยอมเอนตัวลงนอนพักให้หายเครียด ท่านยังจับมือเธอแล้วถามถึงเรื่องที่ว่าเธอจะช่วยพี่ชายอย่างไร
'ยาหยีจะช่วยพี่ยังไงนะลูก'
'วันนี้หยีไปติดต่อญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนคนหนึ่งมาแล้วค่ะ หยีจะขอกู้เงินเขาโดยเอาโฉนดตึกแถวเราไปค้ำประกัน'
'เขาจะยอมช่วยเราจริงๆ หรือ'
มนัสยาไม่อยากโกหกท่านเลย แต่เพราะเธอต้องหาวิธีที่จะเกลี้ยกล่อมให้ท่านจะสบายใจให้ได้ก่อน จึงจำต้องเอาเรื่องนี้มาปดท่านก่อน ทั้งที่เธอได้ปฏิเสธขอแลกเปลี่ยนบางอย่างของญาติผู้ใหญ่คนนั้นของเพื่อนไปแล้ว
เธอฝืนยิ้ม บีบมือท่านเบาๆ 'ค่ะ ท่าทางเขาสนใจอยู่ แต่คุณแม่สบายใจได้นะคะ ญาติผู้ใหญ่คนนี้ของเพื่อนหยีใจดีมากเลยค่ะ'
'ใช่ เพื่อนคนที่ยาหยีไปค้างที่บ้านด้วยบ่อยๆ ใช่มั้ย'
'ค่ะ'
ท่านทำท่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ 'อ้อ คนที่เคยให้เงินรางวัลยาหยีมาสองแสนบาทเพราะชอบใจที่ลูกไปรำอวยพรวันเกิดให้คุณแม่ของเขานั่นใช่มั้ย เขาเลยให้ค่าขนมยาหยีมาสองแสน'
มนัสยาพยักหน้ารับ 'ค่ะ คนนั้นนั่นแหละค่ะ'
จากนั้นเธอก็รีบตัดบท เมื่อนึกถึงดวงตาคู่สีสนิมที่เธอเพิ่งสบมาของเขา และข้อเสนอที่แสนเร่าร้อนนั้น
'คุณแม่นอนพักก่อนนะคะ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาคุณแม่จะได้สบายใจขึ้น'
จากนั้นเธอก็นั่งมองท่านที่ค่อยๆ หลับลึกลงไปตรงหน้า
หญิงสาวกำลังนั่งนึกถึงเรื่องเงินสองแสนบาทที่มารดาเธอกล่าวถึง ซึ่งก็จริง เงินก้อนนั้นได้เข้ามาช่วยคนในบ้านนี้ที่เปรียบเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายให้กลับมามีลมหายใจต่อ เพราะคุณแม่เธอได้นำเงินส่วนหนึ่งมาหมุนเป็นทุนทำข้าวกล่องขาย ส่วนที่เหลืออีกห้าหมื่นบาท มนัสยาก็นำมาทำเป็นทุนพรีออเดอร์เสื้อผ้าจากต่างประเทศมาขายทางออนไลน์
นับว่าผู้ชายที่ชื่อเกื้อการุณได้เข้ามาช่วยเหลือบ้านของเธอตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ
หญิงสาวผุดลุกแล้วเดินคิดอะไรเงียบๆ อยู่ในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะเรื่องของพี่ชายที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ฉุกเฉินเร่งด่วนกว่าเรื่องของคนที่ชื่อดนัย เพราะตอนนี้เธอจะหาเงินแปดแสนบาทจากที่ไหนมาช่วยพี่ชาย
พลางใคร่ครวญถึงคุณอาคนนั้นด้วยความจริงจังขึ้น หรือว่าเธอคงต้องจำใจรับข้อเสนอนั้นของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้วจริงๆ
.