ในตอนเช้า จางซูเจินตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกที่ รู้สึกถึงแขนน้อยๆ ที่พาดอยู่บนหน้าอกแล้วลืมตามาเห็นเยี่ยซิ่วอิงก็รู้ว่าตนไม่ได้ฝันไป
ตอนนี้เธอทะลุมายังมิติคู่ขนาน มาอยู่ในร่างคนที่มีชื่อแซ่และหน้าตาที่เหมือนกับตน แต่ว่าเธอมีครอบครัวแล้ว และเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบสะใภ้เยี่ยคนนี้
จางซูเจินลุกขึ้นจากเตียง แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานนี้เด็กหญิงปัสสาวะราด จึงปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมาโดยการหอมแก้มซ้ำๆ จนอีกฝ่ายลืมตาขึ้น
เธอเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้เด็กหญิงส่งเสียงรบกวนบิดา ใบหน้าอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาโน้มลงมากระซิบข้างหู
“ไปฉี่กันเถอะ”
เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกจากที่นอนเดินตามมารดาไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกบ้าน
เยี่ยหงที่ลุกมาทำอาหารเช้าเห็นว่าลูกสะใภ้ปลุกหลานสาวมาเข้าห้องน้ำแต่เช้าก็ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา คิดแต่เพียงว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่
หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ จางซูเจินก็ให้เด็กหญิงไปนอนต่อ แต่อีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ
“หนูอยากอยู่กับแม่”
“แต่แม่ต้องไปช่วยย่าทำอาหารเช้า เสี่ยวอิงไปนอนกับพ่อนะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเยี่ยซิ่วอิงก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อส่งลูกเข้าไปนอนอีกครั้ง จางซูเจินก็ไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยแม่สามีทำอาหารเช้า
“ฉันอยากหุงข้าว แม่ช่วยสอนได้ไหมคะ”
ประโยคที่นุ่มนวลพูดขึ้นมาจากด้านหลังในขณะที่เยี่ยหงกำลังเตรียมจะหุงข้าวอยู่
“ลองทำดูสิ” น้ำเสียงตอบรับเต็มไปด้วยความเย็นชาไม่ต่างจากลูกชายของเธอ แล้วขยับออกให้ลูกสะใภ้มาเรียนรู้วิธีหุงข้าว
“เอ่อ ที่นี่ไม่มีหม้อหุงข้าวเหรอคะ” เธอถามออกมาเมื่อเห็นว่าที่บ้านยังใช้วิธีการหุงข้าวแบบโบราณอยู่
ถึงจะจำประวัติศาสตร์ไม่แม่น แต่ยุคนี้จำได้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มเข้าถึงทุกครัวเรือนแล้ว ตอนมัธยมปลายยังจำได้ว่าเคยทำรายงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนหลังคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
หลังปี 1977 ประเทศเริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ยอมรับการลงทุนจากต่างชาติ สนับสนุนการศึกษาเพื่อรองรับแรงงานในอุตสาหกรรมธุรกิจ
หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเองก็มีการผลิตออกมาใช้มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แม้ประเทศจีนจะเริ่มผลิตออกมาแข่งขันกับประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1990 แต่ก็ไม่ใช่ว่าช่วงปีที่เธออยู่จะไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้
เพราะขนาดตู้เย็นและโทรทัศน์ในบ้านก็ยังมี แล้วทำไมแม่สามียังคงหุงข้าวด้วยวิธีโบราณนี้อยู่
“หุงข้าวแบบนี้ข้าวจะหอมและนุ่มกว่า หรือว่าจะหาข้ออ้างไม่อยากทำล่ะ” เยี่ยหงตอบด้วยน้ำเสียงที่กระแทกและไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันแค่ถามค่ะ แม่สอนฉันหุงแบบนี้ก็ได้” จางซูเจินพยายามอดทนต่อกิริยาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอคติที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนนั้น
นางเยี่ยสอนลูกสะใภ้หุงข้าวอย่างไม่เต็มใจนัก อีกใจคิดว่าหากอีกฝ่ายอยากช่วยจริงก็คงเบาแรงตนไปได้มากเลยทีเดียว
แต่ก็แค่ช่วงนี้ให้ได้หลอกใช้เธอไปพลางๆ ก่อน ท้ายที่สุดอย่างไรเธอก็ต้องหาทางให้อีกฝ่ายออกไปจากบ้านสกุลเยี่ย
พอก่อฟืนหุงข้าวเสร็จแล้ว จางซูเจินก็เรียนรู้วิธีปรุงอาหารอย่างง่าย ดูเครื่องปรุงที่ใช้ไม่กี่อย่างและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เพราะตอนที่เธอกักตัวเพราะโรคระบาดก็ชอบดูคลิปทำอาหารอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยลงมือทำและสั่งอาหารเดลิเวอรี่ด้วยความสะดวก
เมื่อทำอาหารไปเสร็จหนึ่งอย่าง เยี่ยหลี่เฉียงก็ออกมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังโดยเดินผ่านพื้นที่ครัว เขาหรี่ตามองภรรยาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
“อาหลี่ วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะ แม่จะทำของโปรดเอาไว้ให้” เยี่ยหงหันไปพูดกับลูกชาย
“ครับ” เขารับปากแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่ทักทายภรรยาแม้แต่คำเดียว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้ตั้งสมาธิอยู่กับการปรุงอาหารตรงหน้าเท่านั้น
บนโต๊ะอาหารในตอนนี้มีกับข้าวสองอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า
เยี่ยซิ่วอิงที่ถูกบิดาปลุกให้ลุกมากินอาหารเช้าด้วยกันยังดูมีสีหน้าที่ยังงัวเงียอยู่ แต่ก็ยังยิ้มสดใสให้แก่ทุกคน
“วันนี้คุณจะมากินข้าวกลางวันที่บ้านหรือเปล่า” จางซูเจินถามสามีในขณะที่เริ่มลงมือกินอาหาร
“ทำไม จะออกไปข้างนอกเหรอ” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่ต่างจากสายตาที่มองมา ทำให้เธอได้แต่ฮึดฮัดในใจ ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกจะอคติอะไรกับเธอนักหนา แม้เข้าใจได้ว่าเพราะอะไรแต่มันก็เกินไปมาก
“ถ้าไม่ได้กลับมาฉันจะทำข้าวกล่องให้เอาไปกินที่บริษัท” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ไม่จำเป็น” เขาบอกเสียงเรียบ
เมื่อวานนี้เขาแค่ผ่านมาทำธุระเท่านั้นจึงได้แวะมา และบังเอิญรู้จากลูกสาวว่าภรรยาหยิบเงินเก็บออกไปข้างนอกจึงรีบตามไป จนเห็นอีกฝ่ายวิ่งอยู่ และมีตำรวจไล่จับนักพนันอยู่ จึงคิดว่าคงจะหนีตำรวจอย่างแน่นอนจึงรีบไปพาตัวกลับมาบ้าน
เมื่อถูกความเย็นชาของสามีนั้นกดดันหัวใจให้รู้สึกอึดอัด จางซูเจินก็หันไปเอาใจลูกสาวตัวน้อย แล้วคอยคีบอาหารให้ “กินผักบุ้งด้วยสิเสี่ยวอิง ผักมีวิตามินจะทำให้ลูกแข็งแรงนะ”
เยี่ยหงได้แต่เบะปากกับประโยคแปลกๆ นั้น ในขณะที่เยี่ยหลี่เฉียงมองภรรยาที่เอาคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาพูดได้อย่างคล่องปาก
“วิตามินหรือคะ” เยี่ยซิ่วอิงเอียงคอมองหน้ามารดาด้วยความงุนงง
“แม่หมายถึงสารอาหารน่ะ ในผักจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกายคล้ายกับสมุนไพร อย่างเช่นผักบุ้งจะช่วยบำรุงสายตา ส้มจะช่วยป้องกันไข้หวัด” เธออธิบายอย่างใจเย็น
เยี่ยซิ่วอิงไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อมารดาอยากให้เธอกินผักเด็กน้อยก็เลยต้องกินเพื่อเอาใจมารดา
“อร่อยมากค่ะ” เด็กหญิงบอกอย่างเอาใจ แล้วคีบผักให้แก่มารดากลับ
“แม่ก็กินเยอะๆ นะคะ”
“เสี่ยวอิงเอาใจแต่แม่ แล้วพ่อของหลานล่ะ” เยี่ยหงถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
แม้หลานคนแรกจะเป็นหญิงแต่ก็รักใครเอ็นดู ไม่ได้ถือเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่หรือเคร่งเรื่องทายาทคนแรกมากนัก
เพราะตนเองเป็นลูกผู้หญิงคนแรกเช่นกัน จึงไม่อยากให้หลานต้องมีปมด้อยหากถูกครอบครัวรังเกียจ คนที่น่ารังเกียจมีเพียงลูกสะใภ้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
“พ่อเองก็กินเยอะๆ นะคะ” เยี่ยซิ่วอิงคีบให้บิดา
เยี่ยหลี่เฉียงยื่นถ้วยไปรับอาหารจากลูกสาว แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “คำแรกไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ทำไมพอลูกตักให้มันถึงอร่อยขึ้นหลายเท่า”
เด็กหญิงวัยสี่ขวบฉีกยิ้มกว้าง แล้วหัวเราะด้วยความชอบใจกับคำชมของบิดา โดยไม่รู้เลยว่าประโยคแรกนั้นมีความนัยสื่อถึงเธอว่าทำไม่อร่อย
‘หึ แม่คุณสอนฉัน ไม่อร่อยก็โทษแม่ตัวเองนู่น’ หญิงสาวได้แต่บ่นในใจ แต่ใบหน้านั้นยิ้มแย้มพูดคุยกับบุตรสาว
“แล้วแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ ลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง” จางซูเจินตักน้ำแกงให้ลูกสาวลองชิม
“อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ แม่กับย่าทำกับข้าวอร่อยที่สุด” เด็กหญิงรู้จักที่จะชมผู้เป็นย่าด้วยความเอาใจ ทำเอานางเยี่ยยิ้มอย่างพอใจ
เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกว่าวันนี้เป็นมื้อเช้าที่มีความสุขกว่ามื้อไหนๆ กับข้าวเหล่านี้มารดาเป็นคนลงมือทำ แม้จะมีย่าคอยสอนแต่ก็เป็นกับข้าวฝีมือแม่ที่เธอรอคอย
แล้วยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมารดา การพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและตักอาหารเอาใจตน ทำให้เด็กหญิงรับรู้ได้ถึงความรักและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในหัวใจ
อยากให้มารดาใจดีและรักตนแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากให้กลับไปเป็นคนที่เกรี้ยวกราดอีกแล้ว
************************