ตอนที่ 1 ประตูมิติ
“หยุดนะ ไอ้โจรชั่ว!” เสียงตะโกนของหญิงสาวที่กำลังวิ่งตามโจรวิ่งราว ทำให้วัยรุ่นชายที่ปิดหน้าปิดตานั้นเร่งเท้าให้ไวขึ้น
จางซูเจินในชุดกี่เพ้าสีชมพูลายดอกโบตั๋นที่สวมไปงานเลี้ยง เธอวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงตรอกคับแคบ เห็นแผ่นหลังนั้นเลี้ยวเข้าไปในประตูไม้ผุพังที่อยู่สุดทางเดินก็วิ่งตามเข้าไป
ในจังหวะนั้นเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่วิ่งสวนออกมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ใบหน้าและชุดที่ทั้งคู่สวมใส่นั้นเหมือนกันราวกับฝาแฝด
ต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ได้สติก่อนจึงรีบวิ่งไปอีกทางด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก จางซูเจินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอตัดสินใจที่จะตามโจรวิ่งราวต่อ
ตรงหน้าเป็นประตูไม้ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นแสงสว่างส่องออกมาจนแสบตา เธอคิดว่าเป็นทางออกทะลุไปอีกด้านจึงรีบวิ่งเข้าประตูไปเพื่อตามคนร้าย
พอพ้นออกมาแสงสว่างที่เจิดจ้าพลันหายไป เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ‘หรือว่าตาฝาดกันนะ’ หญิงสาวสะบัดหัวทิ้งความคิดเหลวไหล พลางรีบวิ่งตามคนร้ายต่อจนไปถึงถนนที่มีร้านค้าก็ไม่เห็นเขาแล้ว
“หายไปไหนแล้วนะ เจ็บใจนัก” จางซูเจินพูดด้วยความเจ็บใจ เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าไร
แต่บัตรและเอกสารประจำตัวนี่สิเธอต้องเสียเวลาไปทำใหม่ทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกว่างานนี้โชคร้ายเสียแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งเสียเวลา!
เมื่อเธอหันหลังจะเดินกลับไปยังประตูบานเดิมที่เดินออกมา ก็พบว่าตรอกเล็กๆ นั่นสุดทางเดินไม่มีประตูไม้บานนั้นแล้ว
หัวใจเธอเริ่มกระตุกเบาๆ ด้วยความตกใจ หรือเธอจำผิด ประตูนั่นอาจไม่ได้อยู่ตรงสุดทางเดิน แต่อาจเป็นประตูที่อยู่ด้านข้างสองบ้านนั้น จึงเดินเข้าไปในตรอกเพื่อลองเปิดดู แต่ก็กลายเป็นประตูหลังบ้านของคนอื่นไปเสียได้
“แย่แล้ว” เธอพึมพำด้วยความตกใจ
จากนั้นก็มีมือหนากำยำคว้าข้อมือเธอเอาไว้ ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมองใบหน้าที่เย็นชานั้นด้วยความตกใจ
“ปล่อยฉันนะ” นิ้วเรียวพยายามแกะมือของเขาออกไป ดิ้นรนไม่ให้ถูกเขาจับกุมตัว
“คุณจะหนีไปไหนซูเจิน กลับไปเดี๋ยวนี้” เขาพูดเสียงกร้าว แววตานั้นดูจริงจังจนเธอรู้สึกกลัว
“คุณรู้จักฉันได้ยังไง แล้วจะให้ฉันกลับไปไหน”
น้ำเสียงและท่าทางตื่นกลัวของเธอ ไม่ได้ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่นิด
“คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ” เขากล่าวเสียงเรียบ แล้วดึงแขนเธอให้เดินตามไป
จางซูเจินกำลังจะร้องขอความช่วยเหลือเพราะเข้าใจว่ากำลังถูกคนไม่ดีฉุดคร่า แต่เด็กหญิงวัยสี่ขวบวิ่งเข้ามากอดขาตนเสียก่อนจึงไม่ได้ร้องโวยวายออกไป
“หนูขอโทษค่ะแม่ หนูไม่ได้ฟ้องพ่อนะคะ แต่พ่อรู้เอง แม่อย่าโกรธหนูเลยนะคะ” เสียงที่หวาดกลัวและอ้อนวอนขอการให้อภัยนั้นทำให้จางซูเจินงุนงงเป็นอย่างมาก
“แม่ไม่โกรธลูกหรอกเสี่ยวอิง เรากลับบ้านกันเถอะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นต่างจากเมื่อครู่ที่พูดกับเธอโดยสิ้นเชิง
จางซูเจินมองไปรอบๆ สถาปัตยกรรมบ้านเรือนบริเวณนี้ และรถยนต์รุ่นคลาสสิกสมัยโบราณที่จอดอยู่ตรงหน้ากับเครื่องแต่งกายของคนที่เดินผ่านไปมา ทำให้เธอเริ่มปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจมากนัก
หญิงสาวแกะมือเขาออกอย่างง่ายดายในตอนนี้แล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ มองเด็กหญิงจับมือบิดาเดินนำหน้าไปก่อนด้วยสายตาที่งุนงง
เยี่ยซิ่วอิงหันมามองมารดาเป็นระยะ สายตาของเด็กน้อยฉายแววที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวลอะไรบางอย่าง
จางซูเจินจึงส่งยิ้มให้เธอ เด็กหญิงตัวน้อยหันหน้ากลับไปด้วยความรู้สึกที่ลังเลใจ แล้วหันกลับไปอีกครั้งก็ยังพบรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่ตนไม่เคยเห็น
เธอตัดสินใจปล่อยมือจากบิดาแล้วเดินมาจับมือกับจางซูเจินแทน เพราะเผลอบอกบิดาว่ามารดาแอบเอาเงินเก็บไปเสี่ยงโชคอีกแล้ว ตอนนี้จึงกลัวความผิดและอยากเอาใจมารดา
เด็กน้อยเงยหน้ามองหญิงสาวที่ตนเข้าใจว่าเป็นมารดาแล้วยิ้มให้อย่างเอาใจ
“วันนี้แม่ยิ้มให้หนูด้วย” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น แม้จะถูกมารดาต่อว่าและอาละวาดใส่อยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่เคยลงมือทุบตีตน หากเล่นพนันเสี่ยงโชคได้เงินมาก็ใจดีซื้อของเล่นและขนมให้บ้าง
เยี่ยซิ่วอิงจึงรักมารดาของตนมาก แม้จะหวาดกลัวยามที่อีกฝ่ายโมโหร้าย แต่สายใยแม่ลูกนั้นก็ไม่มีวันตัดขาด
ทั้งสามเดินไปจนถึงรถคลาสสิกสีดำ จางซูเจินขึ้นไปนั่งข้างๆ ชายแปลกหน้าคนนั้น เขาก็ดูหล่อดีอยู่หรอก แต่ก็เย็นชาเกินไปที่เธอจะเอื้อมถึง
ในขณะที่รถวิ่ง หญิงสาวสังเกตไปรอบๆ ข้างทาง ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ชนเข้ากับผู้หญิงคนนั้นที่ดูเหมือนกับตนราวกับแกะ
อีกฝ่ายเดินออกมาจากประตูไม้ชนตนที่กำลังจะเดินเข้าไป เธอเดินออกไปจากตรงนั้นและตนก็เดินเข้าประตูไม้บานแรก มาทะลุประตูไม้บานที่สองแล้วมาโผล่ในสถานที่แปลกตานี้
แน่แล้วล่ะว่าเธอทะลุมิติมาอยู่อีกมิติหนึ่ง คนหน้าเหมือนกัน ชื่อเหมือนกัน สลับตัวกันเพราะประตูไม้บานนั้น ให้ตายสิแล้วเธอต้องมาติดอยู่ในยุคที่ล้าหลังแบบนี้นะหรือ
การแต่งตัวที่เริ่มเป็นสากลขึ้น และมีคนต่างชาติให้เห็นอยู่บ้าง ทำให้จางซูเจินเข้าใจว่าเธอน่าจะทะลุมิติมายังยุคหลังการปฏิวัติ แต่มันก็ไม่ใช่ยุคที่สุขสบายสำหรับเธออยู่ดี
เยี่ยหลี่เฉียงจอดรถแล้วยื่นคูปองอาหารให้แก่เธอ มีคูปองเนื้อหมู คูปองข้าวสาร และคูปองไข่ไก่
จางซูเจินมองดูคูปองอาหารตรงหน้า ตราประทับระบุปี ค.ศ.1982 ทำให้เธอมั่นใจแล้วว่าตนเองอยู่ในยุคที่อาหารบางอย่างต้องใช้คูปองซื้อเพื่อจำกัดอาหารให้ทั่วถึง
“ลงไปซื้อของ เราจะได้รีบกลับบ้านเสียที” เขาพูดเสียงเรียบ
“หนูขอลงไปซื้อของกับแม่ได้ไหมคะ” เยี่ยซิ่วอิงตัวน้อยถามบิดา
เยี่ยหลี่เฉียงมองหน้าภรรยาที่แสนร้ายกาจของตน ที่ตอนนี้เธอทำหน้าตาเหมือนคนกำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่
แววตาของเธอตอนนี้ไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์แสนร้าย ไม่รู้ว่าเธอเสแสร้งเป็นคนดีไปถึงแววตาแบบนี้ได้อย่างไร
“เสี่ยงอิงไปด้วย ดูแลลูกดีๆ อย่าดุอย่าด่าลูกให้ตกใจล่ะ เสี่ยวอิงรักคุณมากรู้ใช่ไหม” เขาพูดขึ้นมา ทำให้หญิงสาวมองสบตาที่จริงจังนั้น แล้วรับคูปองมาถือเอาไว้พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อของอย่างอื่น
“เสี่ยวอิง เราไปซื้อของกันเถอะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับเด็กหญิง ทำให้เยี่ยซิ่วอิงยิ้มกว้าง
แววตาคู่น้อยๆ เป็นประกายที่สดใสกว่าทุกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าวันนี้มารดาอารมณ์ดีเพราะเหตุใด แต่อยากให้มารดาใจดีแบบนี้กับตนทุกวัน
เยี่ยหลี่เฉียงมองภรรยาที่แสนชังกับลูกสาวที่เกิดมาจากความผิดพลาดของตนด้วยสายตาที่กังวล ว่าจางซูเจินจะพูดข่มขู่อะไรกับเยี่ยซิ่วอิงให้รู้สึกกลัวหรือไม่
จางซูเจินเป็นแม่ดอกบัวขาว ทำทุกอย่างเพื่อยั่วยวนเขาจนถึงขั้นเอาตัวเองเข้าแลกในวันที่เขาเมามายไร้สติ
ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของอีกฝ่าย
ตั้งแต่ที่แต่งงานกันก็พยายามแล้วที่จะอยากทำให้ครอบครัวอบอุ่น แต่จางซูเจินเมื่อได้แต่งงานกับตนแล้วกลับชอบเที่ยวเตร่ไม่ทำงานบ้าน
พอท้องก็อาละวาดอย่างหนักว่าตัวเองมีลูกทำให้อึดอัดและลำบากตัวไปไหนไม่ได้ หลังคลอดลูกได้ไม่กี่เดือนก็ออกไปเล่นพนันเสี่ยงโชค ยังดีที่เธอฉลาดพอที่จะหยุดก่อนจะเสียเงินจนหมดตัว
ปล่อยให้เยี่ยหงแม่ของเขาต้องเลี้ยงหลานและทำงานบ้านแทน ขู่จะแจ้งทางการเรื่องเล่นพนันก็แอบไปเล่นอยู่บ่อยครั้ง เป็นแบบนี้จะเขาให้รักลงเธอได้อย่างไร
************************