ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว
“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”
“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดา
จางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตน
จะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
ทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี
‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน
“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแต่งตัวที่ห้องนอน
เลือกชุดออกมาให้เด็กน้อยสวมใส่ แล้วเลือกเสื้อผ้าสีพื้นมาสวมใส่จนเยี่ยซิ่วอิงเอียงคอมองมารดาด้วยความสงสัย
“แม่ไม่ใส่ชุดสวยๆ เหรอคะ”
“แม่ไม่ได้ออกไปไหนนี่”
“ปกติแม่ไม่ไปไหนแม่ก็แต่งตัวสวย เสื้อผ้าพวกเป็นเสื้อผ้าที่พ่อซื้อให้แต่แม่บอกไม่ชอบเลยไม่เคยใส่” เสียงพูดเจื้อยแจ้วนั้นน่าเอ็นดูมาก
ประโยคนี้ทำให้จางซูเจินรู้จักจางซูเจินคนเดิมมากขึ้น และพอเข้าใจได้ว่าทำไมแม่สามีมีถึงไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้
เธอนั่งมัดผมเกล้าเป็นจุกซาลาเปาเล็กๆ สองข้างให้แก่ลูกสาว จากนั้นก็พาออกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยหงกำลังเตรียมอาหารเย็น
“ให้ฉันช่วยหั่นผักนะคะ” เธอไม่รอฟังคำอนุญาตแล้วเดินเข้าไปจะหยิบผักมาช่วยหั่น
“ไม่ต้อง” นางเยี่ยบอกปัดอย่างไม่พอใจ
“แม่ต้องให้ฉันทำช่วยบ้างนะคะ หากฉันไม่หัดทำต่อไปจะช่วยเบาแรงแม่ได้อย่างไร” เธอบอกด้วยความใจเย็น พยายามอดทนให้ได้มากที่สุด
เยี่ยหงได้ยินดังนั้น พลันเกิดอยากรู้ว่าคนอย่างจางซูเจินจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงหรือ ในเมื่อก็ให้โอกาสมาหลายปีแล้ว ให้โอกาสอีกสักวันคงไม่เป็นไร
“หั่นผักยาวสักสองชุ่น (สองนิ้ว) จะได้กินง่ายๆ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แล้วมองวิธีหั่นผักที่ดูเก้กังนั้นด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยัน
“แม่คะ หนูกินลูกกวาดได้ไหม” เยี่ยซิ่วอิงถามขึ้น พร้อมกับในมือที่ถือลูกกวาดเดินเข้ามาหา
“แม่ให้กินลูกกวาดเม็ดเดียวก็พอนะ วันนี้ค่ำแล้วลูกต้องกินข้าวก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินอีก” จางซูเจินบอกลูกสาว แล้วช่วยแม่สามีทำอย่างอื่นต่อ
เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ไม่ได้ดุด่าหลานสาวต่อหน้า เยี่ยจงจึงไม่ได้บ่นว่าอะไรออกมา เธอสอนวิธีปรุงอาหารอย่างง่ายให้แก่จางซูเจิน เพื่อที่จะรอซ้ำเติมตอนที่ทำพลาด แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจมาก
‘ทำตัวดีหนึ่งวันหรือจะทดแทนความเลวร้ายตลอดห้าปีที่ผ่านมาได้’ เยี่ยหงยังคงถืออคติ พลางคิดว่าสะใภ้ดอกบัวขาวคนนี้อาจกำลังทำให้ตายใจ แล้วจะมีแผนการอะไรในภายหลังแน่นอน
เมื่ออาหารเย็นทำเสร็จแล้ว เยี่ยหลี่เฉียงก็มาถึงบ้าน เขาเดินเข้าในด้วยท่าทางที่เหน็ดเหนื่อย พอเห็นว่าลูกสาวตัดผมหน้าม้าแล้วและทำทรงผมมัดจุกสองข้างน่าเอ็นดูก็ยิ้มอย่างชื่นชม “เสี่ยวอิงของพ่อวันนี้น่ารักมาก”
“แม่ทำค่ะ แม่ตัดผมและมัดผมให้หนู เหมือนซาลาเปาใช่ไหมล่ะ” เด็กน้อยพูดเสียงใสด้วยความร่าเริง และดูมีความสุขมาก
เยี่ยหลี่เฉียงมองหน้าภรรยาที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ เธอช่วยมารดาของเขาและทำดีกับลูกย่อมมีเหตุผลแน่ และเยี่ยหงก็รู้ทันความคิดลูกชาย
“ตอนบ่ายเสี่ยวอิงฉี่ราดใส่ชุดของซูเจินน่ะ คงถูกด่ามา แม่ได้ยินแต่เสียงร้องไห้” เธออธิบายให้ลูกชายรู้ว่าที่จางซูเจินทำไปเพื่อปกปิดความผิดของตน
“แม่ไม่ได้ด่าหนูนะคะ แม่บอกรักหนูค่ะพ่อ ที่หนูร้องไห้เพราะหนูดีใจ แม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เสี่ยวอิงรักแม่ที่สุดเลย” เด็กหญิงรีบปกป้องแม่
แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ ปกติแล้วเวลาที่ถูกมารดาดุด่าและต่อว่า จางซูเจินก็จะทำให้ลูกสาวออกมาปกป้องเธอแบบนี้เสมอ ดังนั้นคำพูดที่อธิบายในครั้งนี้จึงไม่มีใครใส่ใจนัก
“กลับมาเหนื่อยๆ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมากินข้าวสิอาหลี่”
“ครับแม่” เขาตอบรับคำมารดาแล้วเดินถือกระเป๋าเอกสารเข้าไปยังห้องนอนส่วนตัวเพื่อถอดเสื้อสูทแขวนเอาไว้
พอเยี่ยหลี่เฉียงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร มารดาก็คีบอาหารให้ลูกชายอย่างเอาใจ
“ทำงานมาเหนื่อยๆ ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ลูกต้องกินเยอะๆ นะอาหลี่ น่าจะปล่อยให้ตำรวจจับไปเข้าคุก บ้านเราจะได้เอาตัวเสนียดนี่ออกจากบ้านเสียที ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร” ประโยคนั้นตั้งใจเหน็บแนมลูกสะใภ้ให้เธอรู้สึกผิด
เยี่ยหลี่เฉียงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามารดารู้เรื่องบ่อนนั้นถูกบุกค้นได้อย่างไร พลางคิดว่าอาจได้ยินมาจากคุณนายเฉินที่มักเอาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังเสมอ
จางซูเจินไม่สนใจคำพูดว่าร้ายนั่น เธอไม่ได้ทำเสียหน่อยทำไมจะต้องรู้สึกผิด แค่เธอทะลุมิติมาโผล่ที่นี่ก็ปวดสมองจะแย่แล้ว ไม่อยากสร้างศัตรูที่ไหน แต่อยากอยู่อย่างสงบสุขรอวันกลับไปเท่านั้น
“เสี่ยวอิง กินนี่เยอะๆ นะ ไข่ตุ๋นนี่ย่าสอนให้แม่ทำ ดูสิว่าพอกินได้ไหม” จางซูเจินตักไข่ตุ๋นให้ลูกสาว อย่างเอาใจ
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
“เธอทำแค่หน้าที่คนผสม เครื่องปรุงฉันตวงให้ทุกอย่าง หากอร่อยก็ต้องเป็นฝีมือฉันจะอวดอ้างไปทำไมกัน”
‘ครั้งที่สองแล้วนะ อดทนเอาไว้ซูเจิน อดทนเอาไว้’ เธอนับเอาไว้หลังจากที่ถูกแม่สามีเหน็บแนมไม่หยุด ซึ่งเธอก็พยายามอดทนมากแล้ว
“แต่มันอร่อยขึ้นกว่าทุกครั้งค่ะ เพราะว่าแม่เป็นคนตักให้หนู” เจ้าเสี่ยวอิงตัวน้อยยังคงเข้าข้างผู้เป็นมารดา
จางซูเจินอดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะวีรกรรมที่ซูเจินคนนั้นทำกับลูกเอาไว้ไม่สมควรได้รับความรักจากเยี่ยซิ่วอิงมากขนาดนี้
ตอนนี้เธอทำหน้าที่แม่แล้ว แต่หากประตูมิติเปิดอีกครั้งแล้วต้องสลับมิติกันอีกรอบแล้วซูเจินคนนั้นกลับมาล่ะ เด็กหญิงคนนี้จะต้องเจอแม่ใจร้ายคนนั้นอีก เธอจะผิดหวังมากแค่ไหน
“หากลูกชอบ แม่จะให้ย่าสอนให้แม่ทำ แล้วแม่จะทำให้เสี่ยวอิงกินบ่อยๆ ดีหรือไม่” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เยี่ยหลี่เฉียงมองแววตาที่อ่อนโยนไร้มารยานั้นก็คิดว่านี่ใช่ภรรยาแสนร้ายกาจของตนจริงๆ นะหรือ แล้วหากเธอจะเสแสร้งว่าทำดีกับทุกคน เธอจะแกล้งทำไปเพื่ออะไรกัน
แต่อย่างไรก็ช่างเขาก็จะปล่อยให้เธอทำมันต่อไป เพราะคนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือเยี่ยซิ่วอิง เพราะตอนนี้ลูกสาวของตนดูมีความสุขมาก
ดวงตาที่เป็นประกายสุกใสระยิบระยับดั่งดวงดาวบนท้องฟ้านั้น บ่งบอกถึงความสุขที่ออกมาจากความรู้สึกของเด็กหญิงอย่างแท้จริง ซึ่งเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
‘ผมภาวนาให้คุณทำดีให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือลูกของเรา’
เขามองเธอกับลูกสาวผลัดกันตักอาหารให้กัน แล้วส่งยิ้มให้กันอยู่เป็นระยะ และแปลกตรงที่ว่าวันนี้จางซูเจินไม่ได้ตักอาหารเอาใจเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
************************