แต่สำหรับเรื่องที่จะให้ถอยหนีปัญหาเหมือนแม่ เห็นทีจะไม่เอาด้วย ใครทำอะไรไม่ดีไว้ ก็จะต้องถูกเปิดเผยให้คนอื่นได้รู้ แม่จะได้พ้นผิดเสียที นั่นคือเป้าหมายหลักของลูกที่เอาแต่นอนหนุนตักแม่ไม่ยอมลุกไปไหน
“โอ้โห! อ๋อดูสิ มารอแต่หัววันเชียว สงสัยอยากได้คำตอบกันจนเนื้อเต้นละมั้ง”
วีนาอุทานออกมา ขณะรถจอดเทียบหน้าบ้านต่อจากเบนซ์หรูคันเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม เห็นจะเป็นคราวนี้มีหน้าใหม่ๆ เพิ่มมาอีกสอง
‘คุณหนูยา’ ของคนในบ้านน่าจะเป็นหนึ่งในนั้นที่หทัยชนกพอจะเดาได้ ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มหน้าตาดี เธออยากจะเดาว่าคงเป็นลูกคนที่สองของสาลินี แต่ดูอีกทีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคะเนอายุแล้วน่าจะสามสิบขึ้น
“ยัยยาไงจ๊ะ อ๋อจำน้องได้มั้ย ส่วนอีกคนก็คุณปวีย์เป็นแฟนของยัยยาจ้ะ”
สาลินีช่วยไขข้อข้องใจให้พอดิบพอดี แต่หทัยชนกก็ไม่คิดจะเอ่ยทักทายตามมารยาท ปวีย์ทำท่าจะยิ้มให้ เลยเปลี่ยนความคิดและนั่งนิ่งๆ ตามเดิม สาริยายิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อพบเจอใครที่ไม่มีมารยาทให้ก็จะทำแบบเดียวกันนั้นตอบ
เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา เหมือนสงครามผู้พ่อ สาลินียิ้มเก้อๆ เมื่ออุตส่าห์แนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
เพราะกำลังครุ่นคิดว่าเคยเจอชายหนุ่มที่ไหน แล้วเหตุการณ์ในอาคารจอดรถคืนนั้นก็ให้คำตอบออกมาทันที ใบหน้าสวยจึงยิ้มเหยียดหยันหนุ่มตรงหน้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ไปๆ มาๆ ก็ดันเจอคนใกล้ตัวเข้าให้แล้ว และเธอก็คิดว่าเขาคงจะจำหญิงสาวที่ล้มกลิ้งลงไปอยู่กับพื้นไม่ได้กระมัง ก็คืนนั้นแต่งหน้าจัดยิ่งกว่าไปเล่นงิ้วซะอีก
“พวกเรามาฟังคำตอบจากคุณอ๋อครับ”
สุจินต์รีบเอ่ย เมื่อเห็นบรรยากาศไม่ดีเริ่มส่อแววขึ้นแล้ว หทัยชนกส่งกระเป๋าสะพายให้วีนาช่วยเอาไปเก็บ ก่อนจะเดินไปใกล้ๆ แขกแล้วยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ ด้วยสายตาและสีหน้าเย้ยหยัน
แล้วก็เดินเอาไหล่บอบบางพิงกับเสาระเบียง ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จนแขกรู้สึกอึดอัดไม่น้อย สาริยาอดทนไม่ไหว จึงโพล่งออกไป
“จะเอายังไงก็ว่ามาสิ เราไม่มีเวลามานั่งรอเธอได้ทั้งวันนะ หรือว่าอยากจะได้เงินเพิ่มอีก”
คนถูกถามหันขวับไปหาเจ้าของเสียง จ้องมองอย่างเอาเรื่องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มจนริมฝีปากบางเหยียดตรงเข้าหากัน แล้วเอ่ยในสิ่งที่ครุ่นคิดเอาไว้อย่างถี่ถ้วนตั้งแต่เมื่อคืนนี้
“เธอนี่เดาเก่งนะ น่าจะไปเป็นหมอดู”
สาลินีไม่ค่อยจะเข้าใจ หรือไม่อยากคิดว่าคนตรงหน้าจะเล่นแง่หาทางรีดไถเงินอีก แต่จากประโยคที่เปล่งออกมา เป็นใครก็คงต้องเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ จึงเอ่ยถามออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
“หนูหมายความว่ายังไงจ๊ะ”
คนถูกถามค่อยๆ หันไปมองเจ้าของประโยคแล้วยิ้มหน้าบานให้
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันแค่จะบอกว่า ฉันตกลงทำตามพินัยกรรมที่ระบุไว้ แต่ก็ต่อเมื่อคุณจ่ายฉันมาอีกสิบล้าน เป็นค่าเสียเวลาที่จะต้องไปทำงานที่นั่นให้ฉันเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าไม่ตกลงทุกอย่างก็จบ ฉันจะถือว่าพวกคุณไม่เคยมาที่นี่อีก ยี่สิบนาทีสำหรับเวลาที่พวกคุณจะปรึกษากัน”
“อะไรนะ! นี่เธอจะไม่หน้าเงินไปหน่อยเหรอจ๊ะ!! เอะอะอะไรก็สิบล้านๆ เห็นพวกฉันเป็นธนาคารเคลื่อนที่หรือไง”
สาริยาอดไม่ได้เช่นเคย จึงร้องถามด้วยความหงุดหงิดใจ หทัยชนกหันขวับไปจ้องมองด้วยสายตาเอาเรื่อง จนสาริยาเกิดอาการหน้าเสียขึ้นมาทันที
“ฉันไม่ได้ขอร้องให้พวกคุณมาหา และไม่เคยสนใจกับสมบัติบ้าบอนั่นด้วย พวกคุณจะตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันไม่ได้เป็นคนเดือดร้อนอยากได้สมบัติจนตัวสั่นนี่ ถ้าอยากยกทุกอย่างให้การกุศลก็ตามใจสิ ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะฉันกับแม่ อยู่มาได้จนทุกวันนี้โดยไม่ได้ยุ่งกับสมบัติพวกนั้นเลยสักแดงเดียว ถ้าไม่ตกลงก็เชิญกลับไปได้ หรือถ้าตกลงก็ตอบมาตอนนี้ ความจริงเงินแค่สิบล้านไม่เห็นต้องใช้เวลาคิดนานถึงยี่สิบนาทีเลย ไอ้ที่มีๆ ในธนาคารก็ไม่รู้เท่าไหร่ เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งตระกูลดังของพวกคุณคงไม่ร่วงหรอกกระมัง”
สิ้นคำร่างสูงโปร่งก็ทำท่าจะเดินออกจากบ้านไป สาลินีเห็นท่าไม่ดีก็เลยต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปขวางไว้ก่อน
“ขอน้าโทรปรึกษาคุณย่าก่อนได้มั้ยจ๊ะ รับรองใช้เวลาไม่นานหรอก รอสักครู่นะ”
ว่าแล้วสาลินีก็เดินออกไปนอกรั้ว มือก็ล้วงเข้าไปควานหามือถือ หทัยชนกเบะปากใส่อย่างชิงชัง แล้วก็หันไปหาอีกสามคนพร้อมแสดงกิริยาเดียวกันนั้นใส่ อิงอรกับวีนาที่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่างต่างก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยไม่คาดคิดว่าหทัยชนกจะเสนอข้อเรียกร้องนี้ขึ้นมาอีก เพราะเท่าที่ได้ก็มากพอแล้ว
สาลินีเดินเข้ามาหลังจากหายไปไม่ถึงสิบนาที ทุกคนต่างนั่งใจจดใจจ่อเพื่อรอคำตอบ ยกเว้นเจ้าของเงื่อนไขเท่านั้นที่ยังคงยิ้มออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“คนรถกำลังเอาเช็คมาให้ ระหว่างนี้น้าว่าเรามาคุยรายละเอียดเรื่องงานกันไปพลางๆ ก่อนดีมั้ยจ๊ะอ๋อ”
เพราะหทัยชนกรู้ดีว่า คนพวกนี้ไม่มีทางจะหวงเงินสิบยี่สิบล้านเอาไว้ แล้วยอมเสียสมบัตินับพันล้านไปได้อย่างแน่นอน ใบหน้าสวยคมจึงไม่ได้แสดงท่าทีดีอกดีใจออกมาเลย เมื่อสาลินีให้คำตอบ ตรงกันข้ามกลับทำหน้าบึ้งตึง และไม่พอใจเอามากๆ เมื่อสาลินีรีบดึงเอาเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ประหนึ่งกลัวจะเบี้ยว
“ฉันจะย้ายไปอยู่เรือนเล็กของคุณทวด ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทุกเรื่องจะเริ่มต้นคุยหลังจากนั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญ ไม่ต้องรอให้คนรถของคุณมาถึงก็ได้ ฉันไม่ค่อยว่าง เข้าบ้านกันดีกว่าค่ะแม่ ขอโทษนะ บ้านคับแคบไม่สะดวกจะเชิญด้านใน แต่ถึงเชิญ พวกคุณก็คงไม่อยากเหยียบเข้ามาหรอกจริงมั้ย”
จึงรีบตัดบทเอาดื้อๆ แล้วจูงแม่กับพี่เข้าบ้านปิดประตูใส่หน้าแขกอย่างไม่ไยดี สีหน้าของแต่ละคนจึงอยู่ในอาการบอกบุญไม่รับในกิริยามารยาทของเจ้าบ้าน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา