ตอนที่ 4 หนีไม่พ้น 70%

2395 คำ
ตอนที่ 4 หนีไม่พ้น 70% นายหัวหนุ่มเดินเข้ามาหา มือหนาลากผ้าห่มที่ร่นกองอยู่สะโพกขึ้นคลุมจนชิดลำคอ เส้นผมนุ่มที่เคลียใบหน้านวลลออเขาก็ใช้นิ้วแกร่งเกลี่ยออกให้ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย ข้างในหัวใจแยกไม่ออกระหว่าง ‘รักหรือแค้น’ โน้มกายทรงพลังเข้าหา ยื่นหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้ สูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของเชลยสาวตัวเล็ก จากนั้นแนบกลีบปากหยักสีกุหลาบสดที่หน้าผากเกลี้ยงมน ก่อนจะเลื่อนมาหากลีบปากสวยรูปกระจับ จุมพิตเบาๆ เพราะเดี๋ยวทำแรงกว่านั้นคนพักผ่อนน้อยจะรู้สึกตัว  และสองวันที่เขาไม่อยู่ ต้องให้คนมาเฝ้าและคอยอยู่เป็นเพื่อน   แต่ไม่ได้บอกให้รู้ เพราะเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าเธอจะทำอย่างไร ก่อนจะออกจากห้องไป คนตัวใหญ่ไม่ลืมจูบลาอีกครั้ง พร้อมทั้งความรู้สึกหลากหลายตีรื้นขึ้นมา บอกเลยว่าไม่อยากห่างสักนิด ถ้าธุระครั้งนี้ไม่สำคัญพอ...   เวลา 10.00 น. เรสสิเดนซ์ แกรนด์เพิร์ล โฮเต็ล “สวัสดีครับมิสเตอร์เบรด” เสียงเข้มของนายหัวหนุ่มเอ่ยทักทาย คู่ค้าคนสำคัญ เพราะเขาคือนักธุรกิจคนแรกๆที่เข้ามาทำการค้ากับธีระ ธารินทร์ ซึ่งมิสเตอร์เบรดหรือแดเนียล เบรด นั้นเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน เป็นเจ้าของท่าส่งออกสินค้าที่สำคัญหลายแห่งของโลก แต่ก่อนหน้าเขา คือนักธุรกิจที่ดีน่าคบหา แต่พอรู้จักกันนานเข้า เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวเหลือเกิน จนในเวลาต่อมาธัชชานนท์เริ่มจะถอยห่าง และจัดส่งสินค้าจากธีระธารินทร์ให้ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่แปลกที่นักธุรกิจคนนี้    ไม่ยอมตัดสัมพันธ์กับเขา แล้วที่นัดมาวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องธุรกิจเช่นเคย “สวัสดีมิสเตอร์เธิร์นนี่ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีนะครับ” เธิร์นนี่หรือธัชชานนท์เป็นชื่อที่เพื่อนๆหรือนักธุรกิจชาวต่างชาตินิยมเรียก เนื่องจากคนต่างประเทศเวลาเรียกชื่อคนไทยเขาจะบอกว่าสะกดยาก         พูดยาก ธัชชานนท์เป็นหนึ่งในคนไทยกอรปกับที่ไปร่ำเรียนอยู่ต่างประเทศ เขาจึงได้ชื่อเหมือนชาวต่างชาติกลับมา มิสเตอร์ ‘เธิร์นนี่’ “สบายดีครับ แล้วคุณล่ะ” สำเนียงการทักทายของธัชชานนท์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าของภาษา เนื่องจากว่าชายหนุ่มไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศค่อนข้างนานหลายปี ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนไฮสกูลจนจบปริญญาและเข้าทำงานอยู่ที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง เพื่อนๆที่อเมริกาก็มีเยอะ        เยอะกว่าเพื่อนที่เมืองไทยด้วยซ้ำ    “สบายดีเช่นกันครับ…” วางแก้วกาแฟ แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “ผมว่าเรามาเริ่มเข้าสู่ธุระของดีกว่าครับ” “โอเคครับ” นายหัวหนุ่มหล่อยิ้มรับ พร้อมสำหรับการเจรจา     ครั้งนี้ “คือผมอยากได้ที่ดินงามๆ สักผืน เพราะผมมีโครงการจะทำบ้านพักตากอากาศ” “แล้ว” ไม่ทันจะได้เอ่ยต่อแต่อย่างใด มิสเตอร์เบรดก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน “ผมต้องการที่ดินผืนงามของคุณที่อยู่ฝั่งอันดามัน” ที่ดินผืนงามฝั่งอันดามันทำเลดีที่ตั้งเหมาะ แล้วเขาก็ไม่เคยพูดให้ใครฟังเลยนะ แล้วทำไมนักธุรกิจอย่างแดเนียล เบรดถึงรู้จัก และยังเป็นที่ดินผืนสำคัญ เพราะเป็นที่ดินผืนเดียวที่มารดาหลงเหลือไว้ให้หลังจากครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย จะเหลือก็แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านที่ไม่โดนยึด! “คงจะไม่ได้นะครับมิสเตอร์เบรด” ธัชชานนท์เสียงเริ่มแข็งและห้วนกระด้าง แต่แดเนียลยังไม่ละความพยายาม “อ้าวทำไมล่ะ ผมให้คุณเขียนเช็คเองเลยนะเธิร์นนี่ คุณต้องการเท่าไรผมไม่เกี่ยง งานนี้ผมเทไม่อั้น” เทไม่อั้นงั้นเหรอ หึ! คิดผิดถนัด เพราะอย่างไรซะ เขาไม่มีทางขายสมบัติชิ้นสุดท้ายของมารดากินแน่นอน! “แต่ผมไม่ขาย ผมต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วย” สีหน้าและท่าทางของธัชชานนท์ตอนนี้อึดอัดเต็มทน เพราะต้องเก็บอารมณ์กรุ่นโกรธโมโหเอาไว้ ทางด้านแดเนียลเองก็ไม่พอใจเท่าไร เพราะว่าการเจรจาครั้งนี้ไม่ได้ดังที่ใจต้องการ แต่นักธุรกิจคนดังยังคงทำเป็นนิ่งและเอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ทั้งที่ภายในใจนั้นเดือดปุดๆ “ไม่เป็นไร ผมให้คุณคิดอีกหนึ่งอาทิตย์ เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ” “ไม่มีวัน! คุณไปหาที่ดินผืนใหม่เถอะ เพราะถึงอย่างไรผมก็ไม่ขายเด็ดขาด!” “ลองไปคิดดู” กดมุมปากหยักยิ้ม ธัชชานนท์เห็นแล้วหน้าเปลี่ยนสีด้วยความโมโห อยากจะลุกขึ้นต่อยสักหมัด แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้ แต่ถ้าคนตรงหน้ายั่วโมโหอีกครั้งล่ะก็ เขาไม่สามารถทนได้อีกแน่ ถึงจะเป็นคู่ค้าธุรกิจ แต่เขาก็ยกเลิกได้ เพราะไม่ชอบคนประเภทนี้ รวยล้นฟ้าแต่ยังไม่รู้จักพอ และกลายเป็นว่าการขึ้นมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังสร้างความโมโหเพิ่มให้อีก นายหัวหนุ่มรู้สึกเบื่อและเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้จะไม่ยอมเสียค่าเครื่องบินมาเด็ดขาด สู้แล้วนอนกอดใครบางคนอยู่ไร่ยังจะดีกว่า ตอนโทรหาเลขาเขาบอกว่ามีธุระด่วน บอกว่าลูกค้า     มีปัญหากับสินค้าจากธีระธารินทร์ แต่พอมาเจรจากลับเป็นอีกเรื่อง            แบบนี้มันน่าต่อยปากชะมัด! ไอ้นักธุรกิจเจ้าเล่ห์!  “ผมยืนยันคำเดิมว่าไม่ขาย!” ธัชชานนท์ยืนยันหนักแน่น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเตรียมเดิมออกไป แต่แดเนียลยังไม่วายเอ่ยตามหลัง “อีกสัปดาห์หวังว่าผมคงจะได้รับข่าวดีนะครับ” พูดจบนักธุรกิจเจ้าเล่ห์หัวเราะลั่น พร้อมวาดภาพในฝันเอาไว้เป็นตุเป็นตะ ว่าโครงการบ้านพักตากอากาศของเขาจะสร้างเม็ดรายได้ในจำนวนมหาศาล และมีหวังว่าผืนแผ่นดินนั้นต้องตกเป็นของเขาในเวลาอีกไม่ช้า ร่างบอบบางแต่งกายรัดกุม มือเล็กถือไฟฉาย ใช้แสงสว่างนำทาง ไม่ได้นำสัมภาระใดติดกายมาสักอย่าง เท้าเรียวเล็กเดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ และตอนนี้กำลังอยู่ในป่าใหญ่ เดินมาร่วมครึ่งชั่วโมงก็ยังหนีไม่พ้นต้นไม้สูงตระหง่านต้นนี้เสียที ทั้งที่เธอเริ่มหนีออกมาตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนตอนนี้กี่โมงยามก็ไม่รู้ เพราะมองไปทางใดไม่เห็นแสงสว่างแล้ว เมื่อพักผ่อนเพียงพอ คนางค์นุชอาศัยช่วงที่คนของไอ้โจรมาเฝ้าพลั้งเผลอ เธอลอบหนีออกมา และโชคดีที่ไม่มีใครรู้ แต่ว่าตอนนี้คนพวกนั้นคงจะรู้แล้วล่ะ และคงจะตามหากันให้วุ่น แต่อย่าหวังว่าจะหาเธอเจอ เพราะเดินออกมาไกลจากเรือนพักนั้นแล้ว             และเมื่อรู้ว่าร่างกายเริ่มจะไม่ไหว หญิงสาวจึงหยุดนั่งพักที่ต้นไม้ต้นนั้น บวกกับอาการวิงเวียนศีรษะที่ยังไม่หายดี เปลือกตาคู่งามก็จะแนบปิดกันอยู่รอมร่อ ท้องเจ้ากรรมก็ร้องหาอาหารเสียงดังจ๊อกๆ  ใบหน้างามหันมองซ้ายและขวาก็รู้สึกหวาดกลัว อันตรายรายล้อมรอบด้านและพร้อมจะเล่นงานทุกเมื่อ แต่เธอต้องสู้ ต้องการหนีออกไปจากกรงขังของไอ้โจรหน้ารกบ้าอำนาจนั้นให้ได้ เธอต้องหนีออกไปให้ไกล ไม่มีวันทนให้โจรใจร้ายย่ำยี! ในขณะที่องอาจนั้นสั่งคนงานร่วมสิบออกตามหาผู้หญิงของเจ้านาย เพราะหลังจากที่เขากลับไปบ้านพักและเรียกบังอรหมายจะให้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ทว่ามาถึงเรือนพักกลับไม่เจอแม้แต่เงา รองเท้าคู่เล็กของเธอก็หายไปด้วย จึงเป็นเหตุให้คนงานร่วมสิบชีวิตต้องวิ่งวุ่นค้นหา และชายหนุ่มก็ไม่ลืมสั่งบังอรให้นั่งรออยู่เรือนพัก เผื่อว่าผู้หญิงของนายจะย้อนคืนกลับมา เนื่องจากว่าเส้นทางออกไปนั้นค่อนข้างลำบาก ลำพังผู้หญิงตัวเล็กๆ คงเดินไม่ไหว และถอดใจกลับคืนมาที่เดิม เวลาผ่านไปสามชั่วโมง… องอาจเดินกลับมาเรือนพักของเจ้านายด้วยใบหน้าอมทุกข์ เพราะตามหาผู้หญิงคนนั้นไม่เจอ และถ้าเจ้านายรู้ข่าว ลูกน้องอย่างเขาได้คอขาดแน่! แล้วถ้าพรุ่งนี้ยังไม่เจอ ก็คงต้องโทรรายงานพร้อมรอรับโทษตามชะตากรรม ฟ้าเริ่มสางไก่ป่าส่งเสียงขันขานดังเจื้อยแจ้ว คนางค์นุชปรือเปลือกตาขึ้นมองท้องฟ้า แล้วกวาดมองรอบๆ ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นยืน หมายจะเดินต่อ แต่ต้องชะงักร่างเอาไว้เสียก่อน เพราะอาการวิงเวียนกำลังเล่นงานอย่างหนัก “ทำไมปวดหัวอย่างนี้นะ” นิ้วเล็กคลึงขมับบาง ใบหน้างามเบ้นิดๆ แล้วค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ ขณะอีกด้านกำลังเดินค้นหากันให้ควัก! ตลอดเส้นทางธัชชานนท์สบถแล้วสบถเล่า เพราะหลังกลับมาจากกรุงเทพฯ ก็ได้รับข่าวว่าเชลยสาวหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน และยังหาตัวไม่เจอ แล้วเขาจะทนอยู่ได้อย่างไร ขืนล้มตายในป่า เขาจะหาใครมารับโทษล่ะ นายหัวหนุ่มสั่งคนงานล้อมรอบไร่ ในขณะที่องอาจก็เดินแยกกับเจ้านายไปอีกด้าน กระทั่งแสงตะวันแสบร้อนเลื่อนกระทบกลางศีรษะ          จึงเริ่มเห็นรอยเท้าเรียวเล็ก ธัชชานนท์ไม่รอช้ารีบเดินตามรอยเท้านั้นไปอย่างมีหวัง เพราะมีบางสิ่งบางอย่างบอกเขาในใจว่ามัน ‘ใช่’ ใช่รอยเท้าของคนที่เขาตามหาแน่ๆ และเป็นดังคาด เมื่อมองเห็นร่างบางคุ้นตาเดินซวนเซไปตามเส้นทางแคบและรก เขาเดินตามหลังอย่างเงียบๆ ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา แต่จะชะลอฝีเท้าต่อไปไม่ได้ เมื่อเห็นคนที่เดินอยู่ตรงหน้ากำลังแข้งขา        พันกันเหมือนคนหมดแรง  “ชะ ช่วยด้วย” เสียงหวานแหบร้องขอความช่วยเหลือ ก่อนจะหน้ามืดและเป็นลมล้มฟุบลงกับพื้นหมดสติไป เจ้าของร่างสูงใหญ่รีบถลาร่างเข้าไปช่วยด้วยความเป็นห่วง          ใช้ท่อนแขนแข็งแรงช้อนร่างเล็กบางเอาไว้ จึงได้เดินย้อนกลับไปเส้นทางเดิม มุ่งหน้าสู่เรือนพักหลังใหญ่ สถานที่กักขังแห่งใหม่ของเชลยสาว บนเตียงกว้าง มือกระด้างฉีกกระชากเสื้อผ้าที่รัดกุมออกจากเรือนกายบอบบาง พร้อมหาผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดตัวให้ ไล้ไปตามผิวพรรณนุ่มเนียน พร้อมกับกลีบปากหยักสีกุหลาบสดที่สบถไม่ขาดระยะ “ยัยบ้าเอ๊ย! ดื้อไม่เข้าท่า เกิดตายอยู่กลางป่าใครจะรับผิดชอบ” เพราะจากที่ได้สัมผัส เขารู้โดยทันทีว่าแม่คุณไข้ขึ้นหนักลมหายใจร้อนระอุ และตลอดทั้งคืนธัชชานนท์ต้องคอยเช็ดตัว ป้อนยาทุก 4-6 ชั่วโมง เขาไม่สามารถนอนหลับสนิท ต้องคอยเฝ้าไข้คนไม่สบายตลอดเวลา พอกลางดึกแม่คุณก็พร่ำเพ้อไปต่างๆ นานา มือไม้ป่ายปัดไปทั่ว ร่างบอบบางดิ้นกระสับกระส่าย และนายหัวหนุ่มก็ต้องเลื่อนกายขึ้นมา บนเตียง วาดวงแขนอบอุ่นกอดเจ้าของร่างเล็กเอาไว้ และคนทรมานมากกว่าก็เป็นเขาเอง เพราะต้องทนกอดร่างเปลือยเปล่าโดยที่แม่คุณนั้นดิ้นไม่หยุด และต้องห้ามใจไม่ทำอะไรเธอ  “ตื่นขึ้นมาเมื่อไร ฉันจัดการเธอให้คุ้มแน่! คอยดูเถอะ” พูดจบปลายคางบึนเกยเหนือศีรษะทุยสวย โน้มหน้ากดกลีบปากหยักจูบซับเบาๆ  นานเข้าแม่คุณก็ดื้อหนัก เบียดซุกกายเข้าหา แล้วมีหรือที่คนไว ต่อสัมผัสจะทนไหว ชายหนุ่มต้องดับความร้อนรุ่มในกายด้วยการจูบไล้       ไซ้ซุกทั่วดวงหน้าหวาน บดคลึงกลีบปากบางที่เผยอค้างเนิ่นนาน และดอกบัวคู่งามที่เสียดสีกับแผงอกกว้างกระด้างอบอุ่นนั้น ทำเอาคนสติครบถ้วนต้องทนแล้วทนอีก กรามบึนบดเข้าหากันเป็นสันนูน พร้อมๆ กับมือเรียวเล็กของคนละเมอเพ้อลูบไปตามเรือนกายแกร่ง นายหัวหนุ่มถึงกับเปล่งเสียงครางออกมา “อา... ยัยแม่มด ทรมานฉันมากๆ เดี๋ยวได้โดนลักหลับแน่” ทางด้านคนไม่สติ ก็นอนดิ้นกระสับกระส่ายภายใต้อ้อมกอด      อุ่นร้อนของคนตัวใหญ่ ในขณะที่เรียวปากสวยพร่ำเพ้อไม่หยุด จับศัพท์ไม่ได้ว่าพูดอะไร ครั้นจะให้เขาต่อว่าหรือห้ามปรามก็คงทำไม่ได้ นายหัวหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลย และคืนนั้นทั้งคืนเขาก็ได้แค่บดคลึงริมฝีปากหวามหวานเป็นการลงโทษคนนอนไม่ได้สติที่ขยันยั่ว และคิดว่าการจูบนี่ล่ะดีที่สุดแล้วเพราะถือเป็นการคลายอารมณ์กำหนัดที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้อง ‘ลักหลับ’ ให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าหลังจากที่เขาขู่ทีเล่นทีจริงออกไป ปรากฏว่า... “ทำไมไม่ดิ้นต่อล่ะแม่คุณ” ธัชชานนท์ครางฮึมฮำในลำคอและต้องทนทรมานนอนกอดร่างนุ่มนิ่มต่อไปโดยไม่ได้ลงมือกระทำอะไรดังที่ร่างกายต้องการ กว่าจะข่มตานอนหลับได้นั้นปาเข้าไปค่อนรุ่ง ซึ่งนายหัวหนุ่มก็คาดโทษแม่เชลยสาวในอ้อมกอดเอาไว้ ‘เยอะ’ พอสมควร ‘ถ้าฟื้นไข้ สติครบถ้วนเมื่อไร ได้ชดใช้โทษอยู่บนเตียงจนลืมวัน ลืมคืนแน่ แม่สาวจอมยั่ว!’ เวลาหนึ่งทุ่มตรงของวันถัดมา...เปลือกตาบางของคนไม่สบายขยับแยกออกจากกัน นวลหน้างามเบ้นิดๆ เมื่อรู้สึกปวดจี๊ดรอบศีรษะ หญิงสาวจึงยกมือขึ้นอังหน้าผาก พร้อมขยับกายให้สบายตัว และในจังหวะที่ตะแคงข้างนัยน์ตาคู่งามที่กำลังสะลึมสะลืมต้องเบิกกว้าง ปากรูปกระจับอ้าค้าง ก่อนจะส่งเสียงกรี๊ดร้องตามออกมาดังลั่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม