ขวัญจิราฟื้นขึ้นมาสักพักแล้ว แต่เธอยังคงนอนนิ่งเงียบ และจับจ้องมองแผ่นหลังของสามี เหมือนว่าอีกคนกำลังยืนครุ่นคิดและวิตกกังวลไม่ต่างกันนัก เขาคงจะรู้แล้วว่าตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งที่เรื่องนี้เธอกะจะเซอร์ไพรส์อาทิตย์หน้า ในวันเกิดของเขาที่เธอได้เตรียมการเอาไว้ทั้งหมดแล้ว แต่ไม่เคยจะคิดว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้จะเซอร์ไพรส์เธอจนช็อกหมดสติแบบนี้ได้ ใบหน้าหล่อของตุลาการหันกลับมามองหน้าของภรรยา คนที่เขาพึ่งจะบอกว่าไม่เคยรักเธอเลย ใบหน้าของขวัญจิราดูซีดเผือดนัก เธอไม่มีแม้แต่รอยยิ้มที่ส่งทักทายกันเมื่อเจอหน้า ใบหน้าสวยเบือนหน้าหนีหันกลับไปมองอีกทาง ขาสูงยาวก้าวเดินเข้าไปใกล้กับเตียงคนป่วยอีกครั้ง
"เป็นยังไงบ้างขวัญ?"
"ก็ดีค่ะ ยังไม่ตาย" คำตอบที่ได้รับกลับมาดูเย็นชา และไม่มีเยื่อใยให้กันเลยสักนิด แต่จะโทษเธอก็ไม่ได้ เพราะเข้าใจดีว่าเธอคงไม่อยากจะเห็นหน้าผู้ชายอย่างเขาอีกแล้ว
"ขวัญ ขวัญรู้เรื่องลูกมานานหรือยัง แล้วทำไมไม่บอกพี่บ้าง?"
"มันคงไม่มีประโยชน์ที่ขวัญจะต้องบอกแล้วมั้งคะ มันไม่สำคัญกับพี่ตุลย์อยู่แล้ว พี่จะมาสนใจเรื่องนี้ทำไมกัน!" หญิงสาวอดที่จะหันกลับมาจ้องมองหน้าสามีอีกครั้งไม่ได้ ดวงตาที่พยายามเข้มแข็งไม่อยากร้องไห้อีก กลับทำอย่างที่ใจคิดเอาไว้ไม่ได้เลยสักนิด ความอ่อนแอถูกถ่ายทอดออกมาทางดวงตา และหยาดน้ำใสที่ไหลอาบแก้มไม่ได้แห้งเหือดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
"ให้ขวัญออกจากโรงพยาบาลก่อนนะคะ แล้วขวัญจะรีบหย่าให้พี่ตุลย์ เราสองคนจะได้เลิกเกี่ยวข้องกันสักที"
"มันไม่ใช่เวลาที่ขวัญจะมาพูดเรื่องหย่ากับพี่นะ เอาไว้เราค่อยมาคุยกันอีกทีก็แล้วกัน ขวัญนอนพักให้มาก ๆ ก่อนนะ ร่างกายขวัญยังอ่อนแออยู่มาก ขวัญควรเป็นห่วงลูกด้วยสิ"
"ลูกของขวัญ ขวัญเป็นห่วงเขาอยู่แล้วค่ะ พี่ตุลย์รออีกหน่อยนะ คงไม่เกินอาทิตย์นี้หรอกที่พี่จะได้เป็นอิสระจากขวัญตามที่พี่ต้องการ" ตุลาการได้แต่มองหน้าภรรยาอย่างรู้สึกผิด สิ่งที่พึ่งจะพูดกับเธอที่บ้าน เขาคงเอาคำพูดเหล่านั้นกลับมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของขวัญจิราคงเสียใจเกินกว่าจะให้โอกาสเขาได้แก้ตัวอีกครั้งแล้ว
"พี่ตุลย์กลับบ้านไปเถอะค่ะ ขวัญอยากอยู่คนเดียว พี่อย่ามาเสียเวลาอยู่กับคนที่พี่ไม่เคยรักเลย ไปอยู่กับคนที่พี่รักและอยากจะอยู่กับเธอจะดีกว่านะคะ" เสียงสั่นเทาพูดขึ้นอย่างน้อยใจในชีวิต มีสามีกับเขาทั้งที กลับได้แต่งงานกับคนที่ไม่เคยจะรักกันเลย สามปีที่ผ่านมาอีกคนอยู่เพื่อรอวันหย่ามันคือเรื่องจริง ในเมื่อวันนี้ทุกอย่างเป็นความประสงค์ของเขา เธอก็ไม่ควรจะเอาลูกที่เขาไม่ได้ตั้งใจอยากให้เกิด มาเป็นข้ออ้างหรือมาเป็นบ่วงผูกมัดคอ เพื่อให้เขาต้องทนอยู่กับเธออีกต่อไป
"ใครเหรอที่ขวัญบอกว่าพี่อยากจะอยู่ด้วย ขวัญพูดเหมือนกับรู้ว่าพี่มีใครคนอื่น"
"มีหรือไม่มี พี่ตุลย์รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีไม่ใช่เหรอคะ ทำไมต้องให้ขวัญพูดมันออกมา ถึงขวัญจะไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับงานของพี่ พี่ตุลย์ไม่คิดบ้างล่ะว่าหน้าต่างมีรู ประตูมีช่อง คนที่จะคอยคาบข่าวมาเล่าให้ขวัญฟังมันก็มี ขวัญดูเป็นคนโง่มากในสายตาพี่ตุลย์งั้นเหรอคะ?" ดวงตาคู่สวยที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใส จ้องมองหน้าสามีด้วยความรู้สึกที่ผิดหวัง เธออุตส่าห์ปล่อยผ่านไม่เก็บเอามาคิด ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ยอมอยู่เงียบ ๆ เพื่อที่รอเวลาให้สามีสำนึกขึ้นมาได้เอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันนั้น ไม่มีแม้แต่สำนึก ไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษจากปากผู้ชายที่เธอรักเขามากกว่าสิ่งอื่นใด
"พี่ไม่ได้เห็นว่าขวัญโง่นะ แต่สิ่งที่ขวัญรับรู้มามันยังไม่มีเรื่องเกินเลยถึงขั้นที่ขวัญคิด"
"แล้วพี่จะมาบอกขวัญทำไม ไม่ต้องมาสนใจหรอกค่ะว่าขวัญจะคิดยังไง พี่จะเป็นยังไงมันก็เป็นเรื่องของพี่ตุลย์แล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับขวัญอีกแล้วค่ะ พี่ตุลย์คิดว่าพี่เหนื่อยเป็นคนเดียวงั้นสิ ขวัญเองก็เหนื่อย ขวัญพอแล้ว ขวัญยอมแพ้พี่ตุลย์แล้ว ฮือออ ฮือออ" เสียงสะอื้นไห้จนตัวสั่นเทา ทำให้คนที่จ้องมองอยู่ต้องเดินเข้าไปใกล้ หวังจะโอบกอดเพื่อปลอบประโลม แต่ร่างกายของภรรยากลับรีบนอนหันหลังให้ และก็ยังคงสะอื้นไห้กอดตัวเองแทน ตุลาการได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นอย่างรู้สึกผิด ขวัญจิราคงเศร้าเสียใจมากจริง ๆ เขาไม่สามารถจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เพราะคำพูดที่เขาพูดออกไป มันเอากลับคืนมาไม่ได้เลยสักนิด ตอนนี้เหมือนแก้วที่มันร้าว รอวันที่จะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปกับวันข้างหน้าดี?
ตุลาการยอมถอยออกมาจากห้องพักของภรรยา เพราะเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นอย่างที่เขาไม่อาจปลอบโยนเธอได้ ทำให้ยืนทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ขาสูงยาวก้าวเดินตามทางเพื่อไปยังห้องพักแพทย์ ที่เพื่อนรักเพื่อนซี้พักอาศัยอยู่เวลาเข้าเวรดึก