1. โอกาส
หลีเจียวเดินตามหลังผู้คนไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงทุ่งดอกปี่อั้นสีแดงสด ภาพความทรงจำมากมายครั้นยังมีชีวิตผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นฉากๆ
นางเป็นบุตรสาวเถ้าแก่ร้านขายผ้าชื่อดัง กิจการเติบโตรุ่งเรืองขึ้นทุกปี ลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมียศฐาบรรดาศักดิ์ กระทั่งคนจากวังหลวงยังมาซื้อผ้าที่ร้านของบิดา
เมื่ออายุได้หกขวบ นางได้สูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต รวมถึงบิดามารดาในเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ของเมือง หลีเจียวกลายเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสาร ทว่าโชคดีได้ฮองเฮาในตอนนั้นเมตตารับมาเลี้ยงดูแล
ฮองเฮาทรงสั่งสอนนางราวลูกหลานในสายเลือด กระทั่งนางเติบใหญ่กลายเป็นหญิงสาวที่งดงามก็ได้ตกหลุมรักกับเซวียนหยาง พระโอรสคนเดียวของฮองเฮาที่เติบโตมาพร้อมกัน
ชีวิตหลีเจียวดั่งว่าวที่ลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้า เซวียนหยางได้ครองบัลลังก์ต่อจากพระบิดา ส่วนนางเขาแต่งตั้งให้เป็นถึงหลีฮองเฮา แม้ผู้คนมากมายไม่เห็นด้วย เหตุผลเพราะนางเป็นเพียงสามัญชนจึงเห็นว่าไม่เหมาะสมคู่ควร ทว่าเซวียนหยางหาได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นไม่
แต่จู่ๆ เชือกก็ขาดสะบั้น ว่าวที่ลอยสูงร่วงหล่นสู่พื้นดิน หลีเจียวถูกกล่าวหาว่าคบชู้ บุรุษที่รักมั่นกลับไม่เชื่อคำพูดนางแม้ครึ่งคำ เขาเชื่อแต่คำพูดที่หลุดจากปากหลิวกุ้ยเฟย สุดท้ายนางจึงถูกเขาทอดทิ้งไว้ในตำหนักเย็น
ตอนนั้นหลีเจียวตั้งครรภ์แล้ว ทว่าไม่ได้บอกผู้ใด มีเพียงนางกำนัลที่สนิทเท่านั้นที่รู้ นางกลัวว่าหากบอกเซวียนหยาง เขาจะไม่เชื่อว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเขา และกลัวว่าเขาจะทำร้ายลูกของเรา
กระทั่งหลีเจียวคลอดบุตรแฝดชายหญิงที่น่ารักคู่หนึ่ง ร่างกายของนางทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว จากหญิงสาวผู้งดงาม ยามนี้ไม่เหลือเค้าความงามนั้นแล้ว
หลีเจียวใช้ชีวิตดั่งคนสิ้นหวัง รู้สึกอย่างหมดอาลัยตายอยากข้าวปลาไม่ยอมกิน ร่างกายนางอ่อนแอลงทุกวัน เรือนร่างซูบผอมไม่มีแม้แต่แรงลุกจากเตียง ลูกทั้งสองไม่สนใจเหลียวแล แม้แต่จะตั้งชื่อให้พวกเขานางยังละเลย
หลังคลอดบุตรหกเดือนหลีเจียวก็ได้จากลาโลกนี้ไป...
หลีเจียวเดินผ่านทุ่งดอกปี่อั้น นางยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง น้ำตารินไหลอาบใบหน้าจนเปียกปอน เมื่อนึกถึงใบหน้าน้อยๆ ที่น่าสงสารของเด็กทั้งสอง หัวใจของนางบีบรัดจนปวดหนึบแทบขาดใจ พวกเขาไร้มารดาเคียงข้างกายเช่นนี้ หากมีผู้อื่นรังแกใครจะปกป้องพวกเขา
หลีเจียวชะงักฝีเท้าหยุดเดิน นางเห็นมองสะพานข้ามแม่น้ำไน่เหออยู่ไม่ไกล มีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่เชิงสะพาน หญิงชราผู้นั้นคอยยื่นถ้วยน้ำแกงลืมเลือนให้ผู้คนที่กำลังจะข้ามสะพานไน่เหอ
ดื่มน้ำแกงเพื่อลืมเลือนชาติภพนี้ ข้ามสะพานไน่เหอเพื่อไปเกิดใหม่
“ไม่... ข้ายังไปไม่ได้”
คิดได้ดังนั้นหลีเจียวก็หันหลังและออกวิ่งทันที นางวิ่งอยู่บนเส้นทางหวงเฉวียนถึงสามวันสามคืน จนพบเข้ากับยมฑูตที่เป็นผู้นำดวงวิญญาณนางมายังที่แห่งนี้
นางคุกเข่าลงทันใด อ้อนวอนยมฑูตเสียงสั่นเครือ “ท่านยมฑูต ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับไปดูแลลูกๆ พวกเขายังเล็กเหลือเกิน ข้าไม่อาจทิ้งพวกเขาไว้เพียงลำพัง...”
หลีเจียวร่ำไห้อ้อนวอนต่อหน้าท่านยมฑูตอยู่นาน กระทั่งเขาเห็นใจ ทอดถอนใจยาวพร้อมเอ่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ ข้าเห็นว่าทั้งชีวิตเจ้าไม่เคยทำผิดบาปจึงยอมช่วย เพียงแต่ข้าไม่อาจฝืนกำหนดฟ้าได้นาน จากนี้อีกหนึ่งปี ข้าจะไปรับดวงวิญญาณเจ้าอีกครั้ง...”
เมื่อยมฑูตกล่าวจบ แสงสีขาวก็สว่างวาบในทันใด
หลีเจียวลืมตาขึ้น และพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงกว้าง บรรยากาศรอบกายดูคุ้นชิน ที่นี่คือตำหนักเย็น นางถูกคุมขังอยู่ในนี้ปีกว่าแล้ว
“แอ้!” เสียงเล็กๆ ร้องดังขึ้น หลีเจียวหันหน้าไปมอง เห็นเจ้าก้อนแป้งทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ข้างกาย แววตาไร้เดียงสาสองคู่กำลังจ้องมองมาที่นาง
หลีเจียวเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก นางเพิ่งสังเกตพวกเขา เด็กน้อยซูบผอมจนน่าปวดใจ นางเป็นมารดาประสาอะไรกันถึงละเลยพวกเขาเพียงนี้ น้ำนมสักหยดจากอกนางพวกเขาไม่แม้แต่จะได้ดื่ม
หลีเจียวยกมือปิดหน้า ร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น ดังนั้นโอกาสที่เหลือนางจะใส่ใจดูแลลูกทั้งสองให้ดีที่สุด
หลีเจียวยังไม่ได้ตั้งชื่อให้พวกเขา เพราะลึกในใจนางคาดหวังให้บิดาเด็กเป็นผู้ตั้ง ทว่ายามนี้คงไม่จำเป็นแล้ว
ร่างผอมบางขยับกายขึ้นนั่ง ยกมือลูบศีรษะแฝดชาย เด็กน้อยสวมชุดตัวเก่าซีดหมอง ใบหน้าเล็กๆ เงยขึ้น ส่งยิ้มหวานอวดเหงือกสีชมพูให้ผู้เป็นมารดา
หลีเจียวเอ่ยกับเด็กชายตัวน้อย “เซวียนจ้าน จ้านที่แปลสรรเสริญ แม่ตั้งชื่อนี้ให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะชอบ”
“แอ้ๆ” เซวียนจ้านดูเหมือนจะชอบชื่อตนเองมาก เขาส่งเสียงร้องดัง เรียกรอยยิ้มจากมารดาได้อีกครั้ง
จากนั้นหลีเจียวก็หันไปทางแฝดหญิง นางนั่งนิ่งดูท่าทางเป็นเด็กเรียบร้อย มีเพียงดวงตากลมแป๋วที่กำลังจ้องหน้ามารดากลอกกลิ้งไปมา
หลีเจียวลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “ส่วนเจ้าชื่อเซวียนจู จูที่แปลว่าบ้าน แม่หวังว่าเจ้าจะชอบชื่อนี้เช่นกัน”
เซวียนจูไม่ได้ส่งเสียงร้องเช่นพี่ชาย นางเพียงเผยอปากเล็กๆ นั้นขึ้น หลีเจียวรู้สึกว่าลูกทั้งสองของนางช่างเป็นเด็กดีรู้ความเหลือเกิน ทั้งที่พวกเขาเพิ่งได้หกเดือน ทำให้ผู้เป็นมารดาชื้นหัวใจจริงๆ