“จินเยว่ จินเยว่ ตื่นได้เวลาออกไปทำงานแล้ว”
แรงเขย่าที่ตัวทำให้จินเย่ที่กำลังนอนหลับต้องลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย จะให้เธอไปทำงานอะไรตอนนี้มันอยู่ในช่วงวันลาพักร้อนของเธอ
“อืมม....งานอะไรฉันลาพักร้อนแล้วนะ”
“จินเยว่ เธอนอนมากจนกลายเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม ฉันบอกให้เธอตื่น ถ้าไม่ตื่นฉันจะไม่รอเธอแล้วนะ”
เสียงเดินกระทืบเท้าออกจากห้องไปอย่างไม่พอใจ พร้อมกับเสียงปิดประตูห้องดังปัง!! ทำให้จินเยว่ต้องลืมตามขึ้นอย่างมองอย่างเสียไม่ได้
จินเยว่นอนมองหลังคาบ้านที่ทำด้วยฟางข้าวด้วยสายตาว่างเปล่าเป็นครั้งที่สาม ทำไมเป็นหลังคาแบบเดิมอีกแล้วเธอกำลังฝันอยู่ใช่ไหม จินเยว่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างสงสัยมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ทำไมฝันของเธอถึงเหมือนจริงเช่นนี้
“ตื่นแล้วก็ออกไปทำงานได้แล้ว สายขนาดนี้แล้วเธอยังไม่ลุกออกจากเตียงตั้งใจจะเอาเปรียบเราใช่ไหม”
“นั่นสิ เมื่อวานก็เป็นลมวันนี้ก็นอนไม่ยอมตื่น จินเยว่เธอต้องการให้พวกเราทำงานแทนเธอหรือยังไง"
“หนิงอัน เจียฮุ่ย พวกเธอพูดอะไรก็รู้ว่าจินเยว่ไม่สบายทำไมต้องพูดหาเรื่องกันด้วย”
เจียลี่พูดแก้ตัวแทนจินเยว่ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไม่สบายเป็นลมเพราะหิว แต่เอาแป้งปันส่วนของตัวเองไปให้ผู้ชาย ช่างเป็นนางจิ้งจอกที่ไม่ดูสภาพของตัวเองเลยนะว่าน่าสมเพชขนาดไหน”
“ใช่จินเยว่เธอคิดว่าป๋อเหวินจะรักเธอจริง ๆ หรือไง ดูสภาพเธอตอนนี้สิ อย่างมากเขาก็แค่หลอกกินอาหารของเธอแค่นั้น”
“หยุด!! พวกเธอหยุดแล้วออกไปทำงานเลยไม่อย่างนั้นฉันจะไปฟ้องกัปตันทีม”
เจียลี่โต้เถียงแทนจินเยว่ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวทั้งสองคนเริ่มพูดไม่ดีกับเธอ
จินเยว่มองตามหลังของสองสาวที่สะบัดหน้าให้เธอ แล้วเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวคนที่มีหุ่นอวบ ๆ ผมยาวถึงไหล่แล้วรวบมัดคือหนิงอัน ส่วนหญิงสาวคนที่หุ่นผอมผมยาวคือเจียฮุ่ย ทั้งสองคนเป็นยุวชนที่ถูกครอบครัวส่งมาทำงานที่ชนบทเหมือนจินเยว่และเจียลี่ แต่ทั้งสองคนเพิ่งเดินทางมาได้แค่สองปีส่วนเธอมาอยู่ที่นี้ได้เจ็ดปีแล้ว
ในความทรงจำของจินเยว่มียุวชนที่ถูกส่งตัวมาทำงานเหมือนกับเธออยู่หลายคน และบางคนก็ถูกส่งตัวกลับไปทำงานที่เมือง เมื่อทางครอบครัวที่อยู่ในเมืองหางานให้ได้แล้ว ซึ่งเจ้าของร่างไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องกลับไปทำงานที่โรงงานมากนักเพราะเธอไม่ได้ให้ความสนใจ
“จินเยว่ แป้งปันส่วนของเธออยู่ไหนอย่าบอกนะว่าเธอเอาไปให้ป๋อเหวินหมดแล้วจริง ๆ”
เจียลี่ที่เป็นเพื่อนสนิทของจินเยว่ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ เพราะเธอเคยบอกจินเยว่หลายครั้งแล้วว่าอย่าเอาปันส่วนของเธอไปให้ผู้ชายคนนั้น แต่จินเยว่ก็ไม่เคยเชื่อเธอเลย
“เธอนี้นะ เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวสักทีว่ากำลังถูกหลอก ยังไม่ไปล้างหน้าอีกจะได้มากินข้าวแล้วออกไปทำงาน”
จินเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วเดินออกไปล้างหน้าตามความทรงจำของเจ้าของร่างก่อนที่จะเดินไปที่ห้องครัว ภายในบ้านหลังนี้มียุวชนหญิงอาศัยอยู่รวมกันแบ่งออกเป็นสองห้องนอน
ห้องที่จินเยว่อยู่มียุวชนหญิงพักอยู่ด้วยกันสี่คนและอีกสี่คนที่เหลือพักอีกห้อง มีห้องครัวที่ใช้ร่วมกันและมีห้องน้ำรวม บ้านหลังนี้หน้าจะเป็นบ้านเก่าของคนในหมู่บ้านที่ถูกยึดมาทำบ้านพักยุวชน
จินเยว่เดินเข้าไปในครัวที่ถูกแบ่งสัดส่วนวางโต๊ะอาหารไว้ โต๊ะอาหารถูกทำขึ้นมาแบบง่าย ๆ แค่พอนั่งกินข้าวได้ ภายในห้องครัวมีเจียฮุ่ยและหนิงอันกำลังนั่งกินอาหารอยู่ อาหารที่ทั้งสองคนกำลังกินเป็นแผ่นแป้งกับต้มผักป่า
“จินเยว่รีบมานั่งเร็ว”
เสียงของเจียลี่เอยเรียกเธอเสียงดัง ทำให้จินเยว่ต้องเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับอีกฝ่าย เจียลี่แบ่งแผ่นแป้งย่างมาให้เธอสองแผ่น
“รีบกินตอนที่ยังร้อน จะได้ออกไปทำงาน”
“เหอะหน้าด้าน อาหารของตัวเองเอาไปให้ผู้ชาย ยังกล้ามากินอาหารของคนอื่น”
“นั้นสิ ไปกันเถอะหนิงอัน ฉันไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกไม่ดูเงาตัวเอง”
จินเยว่ไม่ได้สนใจคำพูดของผู้หญิงสองคนที่กำลังเดินออกไป เพราะตอนนี้เธอกำลังสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างสงสัย
“จินเยว่เธออย่าใส่ใจคำพูดของสองคนนั้นเลยนะ”
“อืมม”
“แต่เธอไม่ก็ไม่ควรเอาอาหารปันส่วนของเธอไปให้ป๋อเหวินจนหมดแบบนั้น แล้วเดือนนี้เธอจะกินอะไร?”
“เจียลี่ ตอนนี้เดือนอะไรปีอะไร”
“นี้จินเยว่ เธอไม่ได้ฟันที่ฉันพูดเลยใช่ไหม?”
เจียลี่ถอนหายใจอย่างโมโห ทำไม่จินเยว่ถึงกลายเป็นผู้หญิงโง่แบบนี้นะ
“ฟังต่อไปฉันจะเชื่อฟังเธอ แต่เธอตอบฉันมาก่อนว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไรปีอะไร”
“นี้เธอป่วยจนจำวันจำเดือนไม่ได้เลยหรือไง วันนี้วันที่ยี่สิบห้า เดือนเจ็ด ปีxxxx จำได้หรือยังถ้ารู้แล้วก็รีบกินจะได้ไปทำงาน”
เจียลี่เลิกสนใจจินเยว่ เธอก้มหน้ากินอาหารในส่วนของเธอ เพราะไม่อยากจะสนใจเพื่อนโง่อีกต่อไปแล้ว
จินเยว่กัดแผ่นแป้งแข็ง ๆ ที่อยู่ในมือแล้วเคี้ยวช้า ๆ รสชาติของมันเหมือนเธอกำลังกินกระดาษมันทั้งแข็งและฝืดคอ เธอต้องดื่มน้ำตามทุกครั้งที่กลืนแผ่นแป้ง
ถ้าตอนนี้เธอกำลังฝันทำไมรสชาติฝืดคอของแผ่นแป้งถึงเหมือนจริงมากเลย ตกลงว่าตอนนี้เธอกำลังฝันหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่
จินเยว่นั่งเก็บถั่วลิสงออกจากต้นอย่างช้า ๆ เธอเห็นพวกผู้ชายใช้รถแทรกเตอร์ไปขนต้นถั่วลิสงที่กลางทุ่ง ส่วนพวกผู้หญิงกำลังเก็บถั่วลิสงใส่ตะกร้าที่ทางหน่วยเตรียมไว้ให้
บริเวณรอบ ๆ มีเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ส่วนเด็กที่รู้ความแล้วนั้นคอยช่วยงานผู้ใหญ่อย่างขยันขันแข็ง จินเยว่คอยสังเกตผู้คนที่นั่งทำงานอย่างเงียบ ๆ เวลานี้เธอไม่ค่อยจะแน่ใจแล้วว่านี้เป็นความฝันหรือความจริง
“นี้สะใภ้เจียงฉันได้ยินมาว่า ลูกชายคนรองของเธอได้ทำงานที่โรงงานตัดผ้าแล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันเรียนจบมัธยมปลาย เลยได้ทำงานที่โรงงานเป็นพนักงานบัญชีที่โรงงานตัดผ้า”
“แกโชคดีจริง ๆ ผิดกับฉันที่มีลูกสะใภ้ที่ไม่เอาถ่าน วัน ๆ รู้จักแต่กินกับนอน”
“โถ่เอ๋ย!ป้าลี่ ลูกสะใภ้ของป้าเจียงเป็นถึงลูกสาวเจ้าของโรงงานตัดผ้า ส่วนลูกสะใภ้ป้าเป็นแค่ยุวชนไม่มีงานทำมันจะไปเหมือนกันได้ยังไงกันละ”
“สะใภ้จางลูกสาวแกก็ไม่ได้ดีกว่าลูกสะใภ้ฉันหรอกนะ อายุจะยี่สิบสามอยู่แล้วยังไม่มีบ้านไหนมาขอแต่งงาน เพราะคนอื่นเขารู้ว่าลูกสาวแกมันไม่ทำการทำงานอย่างไรละ”
“ป้าลี่ฉันยอมเรียกแกว่าป้าแต่ไม่ใช่ว่าแกจะมาว่าอะไรให้ฉันก็ได้นะ”
“แล้วจะทำไม แกจะทำไมคิดว่าฉันกลัวแกรึไง”
จินเยว่นั่งมองผู้หญิงวัยกลางคนทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกัน เธอรู้จักสองคนนี้ในความทรงจำ ป้าเจียงเป็นเมียของกัปตันทีมผลิตของหน่วยนี้ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ส่วนป้าลี่เป็นผู้หญิงที่ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นไปทั่ว
สามีป้าลี่เป็นผู้ช่วยของกัปตันทีมจึงทำให้ป้าลี่ไม่เกรงกลัวใคร ส่วนอีกคนป้าจางสามีเป็นคนงานที่โรงงานน้ำมัน ลูกชายของป้าจางอายุมากแล้วและได้แต่งงานกับยุวชนที่ถูกส่งลงมาทำงานในชนบทพร้อมกับจินเยว่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
และเมื่อต้นปีก่อนลูกชายของป้าจางได้แต่งงานกับยุวชนคนนั้น ป้าลี่และป้าจางต่างก็ไม่ถูกกันมานาน เท่าที่จินเยว่จำได้สองคนนี้พูดจายั่วยุและทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
“จินเยว่ไม่สบายดีขึ้นหรือยัง?”
จินเยว่หันไปมองดูคนที่ถามเธอคนนี้คือคุณยายลู่ คุณยายลู่เป็นแม่ของผู้ช่วยลี่ เป็นคนที่คอยห่วงใยเธอตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ครั้งแรกตอนนี้ผ่านมาเกือบเจ็ดปีแล้ว แต่คุณยายลู่ก็ช่วยอะไรเธอมากไม่ได้เพราะมีลูกสะใภ้แบบป้าลี่ที่คอยจ้องมองอยู่ตลอด
“ฉันดีขึ้นแล้วคุณยายลี่ ขอบคุณยาย”
“ดีแล้ว ดีแล้ว หญิงสาวอายุยังน้อยต้องรักษาสุขภาพดี ๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อแต่งงานไปจะให้มีลูกยาก”
“ฉันเชื่อฟังยาย”
“ดี ถ้ามีอะไรลำบากก็มาหายายที่บ้านได้นะ”
“ขอบคุณ คุณยายมากที่คอยดูแลฉันตลอด”
“ขอบคุณอะไรกันคนเหมือนกันช่วยกันได้ก็ช่วยกัน”
จินเยว่มองดูคุณยายลู่ที่หันไปทำงานของตัวเองต่อเงียบ ๆ เธอรู้สึกแปลกใจที่ในชนบทแบบนี้ยังมีผู้อาวุโสที่มีความคิดแบบนี้อยู่
ในยุคสมัยที่ข้าวของหายากแบบนี้ ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัวและแย่งชิง เพื่อเอาชีวิตรอด แต่คุณยายลู่กลับมีความคิดที่แตกต่าง อาจจะเป็นเพราะสามีของคุณยายเคยเป็นปัญญาชนที่มีความรู้มาก่อนก็ได้
ถึงแม้ตอนนี้สถานการณ์จะผ่อนปรนลงไปมากแล้ว แต่การซื้อของก็ยังต้องใช้คูปองควบคุมอยู่ และสินค้าบางอย่างก็หาซื้อได้แค่ในสหกรณ์เท่านั้น ถ้าเธอจำไม่ผิดในช่วงเวลานี้สถานการณ์ทางการเมืองอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ชาวบ้านที่อยู่ชนบทห่างไกลก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
จินเยว่จำได้ว่าในปีนี้จะมีการประกาศ ให้ยุวชนที่มีการศึกษาสอบเข้ามหาลัยเป็นครั้งแรกหลังจากที่หยุดชะงักมาหลายปี หลังจากมีการสอบเข้ามหาลัยยุวชนที่มีการศึกษา เริ่มทยอยเดินทางกลับเข้าไปเรียนในเมือง และบางคนครอบครัวก็รับกลับบ้าน
นโยบายของรัฐบาลเริ่มมุ่งเน้นในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น มีการผ่อนปรนหลังจากที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดทำให้การดำเนินการในสิ่งต่าง ๆ เข้าสู่ความยากลำบาก มีประชาชนบางส่วนเริ่มไม่พอใจในนโยบายของรัฐบาลเพราะทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนเหนื่อยยากขึ้นกว่าเดิม
“เยว่ชินกลับไปกินข้าวกันเถอะ”
เมื่อถึงเวลาพักเจียลี่ก็เดินเข้ามาเรียกเธอกลับบ้านด้วยกัน เจียลี่ถูกส่งตัวมาทีหลังเธอสองปี ถึงแม้ทั้งสองคนจะอายุเท่ากันแต่เจียลี่ได้ทำงานเป็นพนักงานทะเบียนที่สำนักงานของหน่วยผลิต เพราะเธอเรียนอ่านเขียนหนังสือได้
ส่วนจินเยว่เธอเป็นคนที่ไม่ฉลาด ถึงแม้จะเรียนจนจบมัธยมต้นแต่ก็อ่านเขียนไม่คล่อง จึงทำได้แค่ทำงานในไร่เพื่อเอาคะแนนไปแลกปันส่วนอาหาร
“อืมม เธอกลับไปก่อนเถอะเดี๋ยวฉันตามไป”
“ได้”
จินเยว่มองตามแผ่นหลังของเจียลี่ที่เดินจากไป ก่อนที่จะลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ตอนนี้ถึงเวลาพักกลางวันทุกคนจึงกลับบ้านไปเพื่อกินข้าว หรือไม่ก็นอนพักผ่อนเพื่อรอเวลากลับมาทำงานกันอีกครั้งเมื่อยามบ่าย