สำหรับบุษบงเองนั้นเมื่อครั้งที่เธอยังอยู่บ้านของอภิชัยเธอมีชีวิตเหมือนอยู่ในแคปซูล แวดวงของเธอมีเพียงลูก สามี ครอบครัวสามี และครอบครัวเดิม เธอไม่ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพเพราะเธอมีเงินใช้จากการเบิกกงสี เธอมีหน้าที่ดูแลเพชรพลอย นอนกับสามีเมื่อเขาต้องการ พาลูกไปร่วมกินอาหารกับแม่สามีทุกเดือนเพื่อแสดงความเคารพ
คนที่บุษบงพูดคุยบอกเล่าปัญหาทุกสิ่งได้คือนางปทุม ส่วนคนที่เธอพูดคุยผ่านๆ ตามมารยาทนั้นคือญาติพี่น้องทั้งสองฝ่าย นอกจากนั้นเธอมักชอบใช้เวลาพูดคุยกับพนักงานตามห้าง โดยเฉพาะเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง พนักงานเหล่านี้มีวาจาไพเราะและพูดจาเอาอกเอาใจเธอราวกับเจ้าหญิง พวกเขาทักทายเธอทุกครั้งเมื่อเธอเดินผ่าน ซึ่งเธอก็มักหยุดเลือกดูสินค้าและเลือกลิปสติก แป้ง ครีมทาหน้าให้นางปทุมที่ได้รับการเยินยอจากผู้ขายจนตัวลอย
นอกจากพนักงานขายเครื่องสำอางที่เธอถือเป็นเพื่อนแล้ว ยังมีพนักงานร้านทำผมที่มักมีเรื่องต่างๆ มาพูดคุยบอกเล่าให้เธอฟังเพลินๆ ขณะนั่งทำเล็บมือเล็บเท้าเธอจะพูดคุยกับลูกค้าบางคนที่เธอเคยเห็นหน้า เธอไม่มีเรื่องการงานของสามีไปเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะเธอไม่เคยได้มีโอกาสย่างกรายไปที่โรงแรมของเขาจากการที่นางสนิทสั่งห้ามไว้ไม่ให้เธอเข้าไปยุ่มย่าม เธอมีหน้าที่อย่างเดียวคือการเลี้ยงลูกแฝดทั้งสองอย่างดีที่สุด
เพชรกับพลอยเติบโตบนตึกห้าชั้นในรั้วกำแพงสูงใหญ่ เด็กทั้งสองเข้าโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เล็กจนโตและมีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือจากการเลี้ยงดูฟูมฟักของบุษบง เธอเบิกเงินกงสีของครอบครัวสามีมาใช้อย่างเต็มที่ในทุกเรื่อง อภิชัยและบุษบงมีปากเสียงถกเถียงกันบ่อยครั้งในเรื่องการใช้เงินของเธอ
เพชรและพลอยรับรู้ความเป็นไปของครอบครัวมาโดยตลอด แต่เด็กสาวทั้งสองไม่รู้สึกอะไรมากนักตราบเท่าที่บุษบงยังสามารถเลี้ยงดูพวกเธอได้อย่างดี เพชรมักคุยเรื่องความระหองระแหงของพ่อแม่เธอให้เพื่อนๆฟัง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาดน่าประหลาดเท่าใดนัก เพราะเพื่อนของเพชรและพลอยแต่ละคนล้วนมาจากครอบครัวร่ำรวยที่มีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น
ช่วงที่เพชรและพลอยเรียนอยู่มัธยมปลายโรงแรมที่อภิชัยรับผิดชอบอยู่กำลังประสบปัญหาและดูท่าว่าจะต้องปิดตัวลง
“กูไม่มีจะให้มึงแล้ว มึงน่ะดีแต่ผลาญสมบัติบ้านกู” อภิชัยสะบัดเสียง เมื่อแรกที่เขาขึ้นกูขึ้นมึงกับบุษบงนั้น เธอถึงกับตกตะลึง แต่นานวันเข้าเมื่อเขาใช้คำหยาบคายกับเธอบ่อยครั้งมันก็กลายเป็นความเคยชิน
ต่อมาเมื่อแฝดสาวทั้งสองเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย นางสนิทผู้เป็นแม่สามีของบุษบงก็ถึงแก่กรรมจากอุบัติเหตุเศษอาหารอุดทางเดินหายใจ หลังงานศพมีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่อภิชิตพี่ชายคนโตของสามพี่น้อง อภิชิตรังเกียจบุษบงมาตั้งแต่ต้นจากนิสัยจับจดของน้องสะใภ้เชื้อสายไทย คราวนี้จึงเป็นโอกาสของเขาที่จะจัดการให้บุษบงออกไปจากตึกห้าชั้นโดยเด็ดขาด เขาพูดใส่หน้าอภิชัยผู้เป็นน้องชายคนเล็กว่า
“เมียมึงเอาแต่แต่งตัวออกบ้านทุกวัน ลูกมึงก็หัวสูง ใช้แต่ของแพง สันดานขี้เกียจตัวเป็นขนเหมือนแม่มัน มึงเองบริหารโรงแรมจนเจ๊ง มึงไม่ต้องทำแล้ว”
อภิชิตและอภิชาตร่วมกันบีบบังคับให้อภิชัยออกจากการบริหารโรงแรมที่ไม่เคยมีกำไรและจ่ายเงินรายเดือนให้เขาแค่พอใช้ ส่วนเพชรและพลอยนั้นยังสามารถเบิกค่าเล่าเรียนได้ตามปกติจนกว่าจะเรียนจบ แต่บุษบงถูกตัดสิทธิค่าใช้จ่ายลงทุกประการและถูกยื่นคำขาดให้ย้ายออกจากตึกห้าชั้นไปหาที่อยู่ใหม่
อภิชิตยื่นเงื่อนไขให้บุษบงหย่าขาดจากอภิชัย แล้วเขาจะแบ่งเงินก้อนหนึ่งซึ่งตัดออกมาจากกองกลาง เงื่อนไขนี้บุษบงยอมรับไม่ได้ เพราะเธอรู้ว่าวันหน้าถ้ามีการแบ่งมรดกของนางสนิทกันระหว่างพี่น้องสามี อภิชัยจะมีเงินและทรัพย์สินจากที่ดินหลายแห่งมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งเธอและลูกจะได้ส่วนแบ่งตามกฎหมาย แต่หากยอมรับเงินก้อนที่อภิชิตเสนอมอบให้ เธอและลูกใช้กันไม่กี่ปีก็หมด
ช่วงหัวค่ำของวันที่อภิชิตเข้ามาเจรจา บุษบงโทรศัพท์ปรึกษามารดาอย่างเร่งด่วน
“แม่ อีกสองวันหนูต้องย้ายออกจากตึกนี้แล้ว ทนายยื่นโนติ๊สมาให้หนูเก็บของไป เขาอ้างว่าตึกนี้มีปัญหากฎหมาย”
“อ้าว แล้วกัน แล้วอภิชัยเขาไม่ว่าอะไรเรอะ ปล่อยให้พี่ชายมารังแกครอบครัวตัวเอง”
“เขาก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกันค่ะ แม่ โรงแรมของเขาตอนนี้เจ๊งไม่เป็นท่า รอขายต่ออย่างเดียว เขาถูกพี่ชายไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการและบังคับให้หย่ากับหนู แต่หนูบอกไปว่าหนูจะหย่ากับเขาก็ต่อเมื่อเขาได้แบ่งมรดกแล้ว
“งั้นมาอยู่กับแม่ที่บ้านเรานี่ละกัน” นางปทุมเอ่ยปากบอกเมื่อฟังบุษบงพูดเล่าจนจบ
“จะดีหรือแม่ ปัทเขาจะอึดอัดนะ หนูกับเพชรและพลอยมีข้าวของเยอะ รถอีกสองคันของหนูกับของลูก บ้านเราที่จอดจะไม่พอ”
“เหอะน่า มาอยู่ด้วยกันทั้งสามคนเลยนั่นแหละ” นางปทุมยืนยัน “ขยับไปขยับมาเดี๋ยวก็อยู่ได้”
วันรุ่งขึ้นนางปทุมกุลีกุจอจัดเคลียร์ข้าวของในบ้านวางแอบไว้เพื่อที่จะมีพื้นที่สำหรับสมาชิกทั้งสามที่จะเข้ามาอยู่
ปลายเดือนมิถุนายน 2556 บุษบงพาลูกออกจากตึกห้าชั้นมาอยู่บ้านจัดสรรหลังเดิมของมารดาซึ่งเก่าโทรมลงหลังจากเวลาผ่านไป นายบุญเกื้อผู้เป็นบิดาของเธอถึงแก่กรรมเมื่อสี่ปีที่แล้ว นางปทุมอาศัยอยู่บ้านหลังนั้นกับปัทมาและวาทิน ทั้งคู่ไม่ได้แต่งงาน
ปัทมาซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัย 39 ทำงานประจำที่ศูนย์ข้อมูลของบริษัทเอกชน เธอขับรถออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงทุกเช้าและกลับบ้านก่อนค่ำ ส่วนวาทินไม่มีพาหนะส่วนตัว เขารับงานมาทำที่บ้านโดยใช้รถสาธารณะ ทุกสัปดาห์วาทินจะไปนอนค้างที่คอนโดของแฟนสาวคราวละหนึ่งหรือสองวันแล้วกลับมาทำงานต่อ พี่น้องสองคนช่วยกันออกค่าใช้จ่ายต่างๆในบ้านรวมทั้งค่าอาหารและค่าหมอค่ายาของมารดา ในวันหยุดสุดสัปดาห์หากมีเวลาปัทมาจะขับรถพานางปทุมไปเที่ยวตามวัดที่มีตลาดนัด เพื่อให้นางได้จับจ่ายซื้อหาผัก ผลไม้ และของกินที่ถูกใจมาเป็นเสบียง
ครั้นเมื่อบุษบงและลูกสาวสองคนผลุนผลันมาอาศัยอยู่ที่บ้านอย่างฉุกละหุกพร้อมด้วยรถสองคันและข้าวของมากมายขนย้ายกันหลายเที่ยว ปัทมาแก้ปัญหาด้วยการยกห้องนอนของเธอให้พี่สาวและหลานอยู่ด้วยกัน ส่วนเธอย้ายไปนอนร่วมห้องกับมารดา วาทินเองต้องย้ายเครื่องมือทำงานชุดใหญ่จากห้องกลางมาไว้ในห้องนอนของตนเป็นอันลงตัว
นางปทุมแสดงอาการพอใจอย่างเห็นได้ชัดที่ลานหน้าบ้านอันคับแคบของตนมีรถเก๋งยี่ห้อดีจอดเด่นเป็นสง่าถึงสองคัน ก่อนหน้านั้นวาทินต้องออกแรงย้ายกระถางต้นไม้เกือบยี่สิบกระถางไปเบียดอัดในซอกข้างบ้านเพื่อจะได้มีที่พอจอดรถเพิ่ม
“แถวบ้านเราไม่มีใครใช้รถยุโรปอย่างนี้นะ มีบ้านเรานี่แหละที่มี” นางปทุมกระซิบพูดกับลูกชายอย่างภูมิใจ
“พี่ปัทจะเอารถออกลำบากนะแม่ เขาต้องไปทำงานแต่เช้า” วาทินกระซิบตอบ
“ก็ถ้าปัทกลับก่อนก็ให้เขาจอดรถไว้ริมถนนรอให้รถของบุษกับหลานเข้าบ้านแล้วให้เขาขยับมาปิดท้าย หรือว่าหากไม่อยากจอดไกลตาก็เอารถเข้าไปจอดข้างในสุดแล้วตอนเช้าค่อยปลุกเพชรกับพลอยให้มาถอยรถออก ไม่เห็นเป็นไร” นางปทุมบอกลูกชายซึ่งส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย
“เด็กพวกนั้นตื่นสาย แล้วพอปลุกขึ้นมาก็โอ้เอ้หาเสื้อผ้าใส่กว่าจะลงมาเลื่อนรถให้พี่ปัท บ้านเรารถสามคันนี่มากไปนะแม่” วาทินขมวดคิ้ว เขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีจากการต้องนั่งทำงานในห้องที่ได้ยินเสียงแผดตะโกนของบุษบงดุด่าลูกสาวฝาแฝด นอกจากนั้นสิ่งของต่างๆ ที่บุษบงขนมายังวางเกลื่อนเต็มบ้านไปทุกที่ โดยเฉพาะเสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องไฟฟ้าหลายชนิด ขณะที่ปัทมาพี่สาวคนรองเป็นผู้ที่มีข้าวของน้อยแค่พอใช้ ความสมถะของเธอทำให้บ้านโล่ง อยู่สบาย และเงียบสงบไม่รบกวนการทำงานของเขาที่ต้องใช้สมาธิ
เมื่อฟังวาทินพูดจบนางปทุมมีสีหน้าครุ่นคิด นางเห็นด้วยว่าการมีรถสามคันเป็นเรื่องไม่สะดวกสำหรับคนอยู่อาศัยทั้งบ้านของนางเองและเพื่อนบ้านที่ต่างมีรถอย่างมากแค่เพียงสองคัน
หลังจากบุษบงเข้ามาอยู่บ้านได้สามสัปดาห์
ช่วงเย็นวันหนึ่ง ปัทมาขับรถกลับมาจากที่ทำงานตรงตามเวลาปกติของเธอ เธอจอดรถไว้ด้านในสุดจนชิดกำแพงเพื่อแบ่งที่ให้รถพี่สาวและหลานได้จอด ทั้งสามยังไม่กลับจากข้างนอก เธอซื้อกับข้าวถุงสองอย่างจากร้านค้าใกล้ที่ทำงานติดมือมาด้วยอย่างที่เคยทำ
“ปัท มากินพิซซ่านี่ ยังเหลือสองชิ้น ไม่มีใครอยู่ เจ้าทินไปหาแฟนเขา บุษขับรถไปกินอาหารญี่ปุ่นกับลูกที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ได้ยินเสียงโทรศัพท์นัดกัน ก็คงจะกลับสักสองทุ่มแหละ” นางปทุมร้องเรียกจากในบ้าน
“ข้างนอกรถติดมาก พี่บุษก็อุตส่าห์ออกไปตอนนี้นะทั้งที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วน ออกไปแย่งถนนกับคนทำงานที่เขาจะกลับบ้านกัน”
ปัทมาพูดเหมือนบ่น เธอขมวดคิ้วตั้งแต่มองเห็นว่าเธอต้องจอดรถด้านในสุดอีกแล้ว ซึ่งหมายถึงความโกลาหลเมื่อเธอจะเอารถออกไปทำงานตอนเช้า หรือไม่ก็ต้องรอให้บุษบงและเพชรกับพลอยกลับมาแล้วเธอก็ถอยรถออกไปรอจอดปิดท้าย
เมื่อเข้ามาในบ้านเธอวางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะและมองกล่องสีเหลี่ยมทรงแบนตรงหน้ามารดาซึ่งมีพิซซ่าแห้งผากเหลืออยู่สองชิ้น เธอสั่นศีรษะแล้วเดินไปล้างมือที่ซิงค์น้ำก่อนเปิดตู้เย็นหาผลไม้ในกล่องที่เธอแช่ไว้ เธอหยิบออกมาแล้วเดินไปนั่งตรงที่ประจำของเธอ
นางปทุมมองลูกสาวคนกลางและกระแอมสองสามครั้ง มือของนางยุกยิกขณะเริ่มพูดในสิ่งที่เตรียมถ้อยคำไว้หลายชั่วโมง
“ปัท ฟังแม่นะ วันนี้เมื่อตอนสายบุษขับรถพาแม่ไปเที่ยวที่ซอยอารีย์ เจอหอพักสตรีหลังหนึ่ง เราจอดรถลงไปถามราคาค่าเช่าห้อง โชคดีเจอตัวเจ้าของหอ พูดจาดีเชียวละ ชื่อป้าอร เขาบอกว่าค่าห้องเดือนละสี่พันห้า จ่ายล่วงหน้าสามเดือน ค่าประกันของเสียหายอีกห้าพัน ค่าจอดรถเดือนละเจ็ดร้อย ห้องใหญ่พอสมควร มีห้องน้ำในตัว...”
นางปทุมเอ่ยปากบอกปัทมาที่กำลังเคี้ยวผลไม้หยับๆ ด้วยความหิว เธอจัดการเทอาหารจากถุงพลาสติกใส่ชามและเอาเข้าเตาไมโครเวฟเพื่ออุ่นให้ร้อน
“อ้าว พี่บุษจะย้ายไปอยู่หอหรือแม่” ปัทมาเลิกคิ้วถาม เธอแอบโล่งใจ “อยู่หอพักก็เป็นอิสระดีนะแม่ ห้องเดียวจะไม่พอ น่าจะเช่าสองห้องให้เด็กสองคนอยู่ด้วยกัน พี่บุษจะได้มีพื้นที่ส่วนตัว ข้าวของเอาไปไม่หมดก็ฝากบ้านเราไว้ เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์หนูจะจัดให้”
นางปทุมหลบตาปัทมาแวบหนึ่งก่อนเงยหน้าตอบ
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้จะไปอยู่เองหรอก” นางสูดลมหายใจเข้าปอดและพยายามเรียบเรียงคำพูด “คือเขาบอกแม่ว่าตอนนี้เขาลำบาก เพิ่งแยกทางกับผัวมา เขาจะไปเช่าหอพักอยู่ก็อายคนเขา หากจะไปเช่าอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดก็ต้องเสียเดือนละสองสามหมื่น เขาบอกถ้าจะไปเสียเงินอย่างนั้นสู้มาอยู่บ้านเราดีกว่าและเขาจะแบ่งเงินให้แม่ใช้ด้วย เอิ่ม...คือเขาก็ยังมีสิทธิ์ในบ้านนี้เหมือนกันแม้จะออกเรือนไปแล้ว”
ปัทมาจ้องหน้ามารดา มือที่กำลังตักข้าวใส่จานชะงัก เธอกะพริบตาปริบและฟังนางปทุมพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ทีนี้เขาออกความคิดกับแม่ว่าปัทควรออกไปอยู่หอพักนั้น เพราะมีที่จอดรถสบาย ไม่ต้องลำบากถอยเข้าถอยออกแบ่งที่ให้หลานจอดอย่างตอนนี้ ปัทจะได้สบายใจไม่ต้องหน้าเบี้ยวหน้าบูดทุกเช้า แม่ไปเห็นแล้วว่าที่หอนั้นรถทุกคันเข้าออกสะดวก มียามเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมง ปัทลองไปดูไหม เผื่อชอบจะได้ย้ายไปอยู่นั่น คิดเสียว่าช่วยหลานก็แล้วกัน ปัทไม่ต้องห่วงแม่ บุษเขาจะดูแลแม่เอง อาหารการกินเขาพาแม่ไปซื้อที่ห้างได้ สองวันก่อนเขาพาแม่ไปกินอาหารเกาหลี แพงเชียวละ ส่วนเมื่อวานเขาก็พาแม่ไปกินสุกี้ วันนี้เขาสั่งพิซซ่ามานั่งกินกับแม่ เหลือให้แกสองชิ้น เอาไปใส่เวฟให้ร้อนๆ จะได้อร่อย”
ปัทมามองอาหารถุงที่เธอซื้อมาอุ่นกินเป็นอาหารเย็น ก่อนนี้นางปทุมจะรีบกุลีกุจอแกะถุงเทอาหารใส่ชามและตักข้าวใส่จานมานั่งกินพร้อมเธอ แต่วันนี้นางคงอิ่มเอมกับพิซซ่าที่สั่งจากข้างนอกมากิน นางจึงไม่สนใจกับสิ่งที่เธอหิ้วมา
นางปทุมพูดต่อ
“บุษเขาบอกว่าค่าน้ำค่าไฟในบ้านเขาจะจ่ายเอง แกจะได้เก็บเงินไว้เป็นค่าหอไงล่ะ เรื่องซักรีดเขาจะจ้างคนทำ เขาจะติดแอร์เพิ่มอีกตัวเพชรกับพลอยจะได้นอนสบายหน่อย แล้วอีกอย่าง เจ้าทินเขาจะได้มีที่ทำงาน ตอนนี้เขาขนของไปนั่งทำบ้านแฟนเขา บ้านเรามีแต่ผู้หญิงต้องมีผู้ชายไว้เป็นไม้กันหมา แล้วเขาช่วยยกของหนักได้... ... ...”
ปัทมานั่งนิ่งขณะฟังนางปทุมที่พูดได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น นางปทุมจบคำพูดด้วยการบอกเธอว่า
“ปัทเอาไปคิดดูก่อนก็แล้วกัน แม่รู้ว่าแกเป็นคนเก่ง เรียนจบก็หางานทำได้เองไม่ต้องลำบากให้พ่อแม่พาไปฝากที่ไหน แกมัวแต่ห่วงแม่เลยไม่ได้แต่งงาน ออกไปอยู่หอพักก็ดีนะอาจจะได้แฟนสักคน ทางนี้ก็ให้บุษกับเพชรพลอยเขาอยู่กันบ้าง วันหน้าแม่ตายก็มาแบ่งสมบัติกัน ลูกสามคน”
วันเสาร์ต่อมาปัทมาขับรถขนของออกจากบ้านไปอยู่อพาร์ตเมนต์ใกล้ที่ทำงานฝั่งธน เดือนถัดมาวาทินก็ย้ายข้าวของตามออกไป เขาไปเช่าห้องแถวสุดซอยอยู่อาศัยและหาที่เงียบสงบทำงาน
จากนั้นบุษบงก็อยู่อาศัยในบ้านของนางปทุมอย่างสบายใจขึ้น เธอไม่ต้องเปรียบเทียบตนเองกับน้องสาวที่ทำงานเลี้ยงตัวเองได้และไม่มีปัญหาครอบครัวอย่างเธอ บุษบงรู้สึกดีที่อย่างน้อยเธอยังมีที่อยู่อันปลอดภัยและไม่ต้องเสียค่าเช่า บ้านจัดสรรรุ่นเก่าสร้างอย่างแข็งแรง ภายในกว้างขวางพอที่ครอบครัวหนึ่งจะอยู่ได้สบายแม้ไม่โอ่อ่าหรูหราพอที่จะอวดใคร แต่อย่างน้อยมันช่วยแก้ปัญหาให้เธอและลูกได้มีที่อาศัย
เพชรและพลอยเสียอีกที่ตั้งข้อรังเกียจบ้านคุณยาย เพราะเธอสองคนเคยอยู่ตึกใหญ่ในย่านธุรกิจ
“ให้เราสองคนไปเช่าคอนโดอยู่ใกล้ๆ มหาลัยได้ไหมคะแม่ เพชรไม่อยากอยู่ที่นี่ เพชรอายเพื่อน” แฝดผู้พี่ทำเสียงเว้าวอน
“วันก่อนเพื่อนพลอยขับรถมาหา เขาตกใจมากว่าทำไมพลอยอยู่บ้านโทรมๆแบบนี้ พลอยบอกเขาว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้านป๊าแล้ว แม่พามาอาศัยอยู่กับยาย” พลอยทำเสียงเล็กเสียงน้อยเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟัง
“เอาไว้ให้ป๊าเขาได้แบ่งมรดกก่อน เราคงได้ซื้อบ้านใหม่อยู่ แม่จะเอาคุณยายไปอยู่ด้วย ตอนนี้เราอยู่บ้านนี้ไปก่อนนะลูก” เวลาที่บุษบงอารมณ์ปกติ เธอจะพูดคุยกับลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
แต่วันนี้บุษบงอารมณ์ไม่ปกติ เพราะเธอเฝ้าคิดมาทั้งคืนว่าหากเงินในบัญชีเกิดหมดลงไปขณะที่ยังไม่ได้แบ่งสมบัติจากสามี พวกเธอจะอยู่กันอย่างไร เธอจะเอาเงินที่ไหนให้ลูกใช้ เรื่องที่จะยอมตามเงื่อนไขของอภิชิตผู้จัดการมรดกนั้นอย่าหวัง เพราะมันไม่ยุติธรรมกับการเขี่ยเศษเงินมาให้เธอกับลูกใช้ เธอไม่มีวันเซ็นใบหย่าให้อภิชัยเด็ดขาด
ดังนั้นเมื่อเพชรเอ่ยปากขอเงินเธอหนึ่งพันบาทเพื่อเติมน้ำมันรถ เธอจึงซักไซ้อย่างเคร่งเครียด และจบลงด้วยการที่ลูกสาวสองคนเดินสะบัดหน้าออกจากโต๊ะ ขับรถพรืดออกไปเรียนหนังสือ ส่วนเธอก็คว้าจานอาหารจากมือมารดาโยนโครมลงพื้นจนเศษกระเบื้องกระเด็นมาถูกหน้าแข้งนางปทุมเลือดออก
“แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษจริงๆ หนูลืมตัวไป” บุษบงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าและกอดขามารดาไว้
“เออ ไม่เป็นไรหรอก แม่เข้าใจแก” นางปทุมพูดเสียงปกติเหมือนเริ่มชิน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บุษบงแผลงฤทธิ์ แต่คราวนี้นางได้แผลเล็กน้อยมา
บุษบงรู้สึกผิดที่ทำให้มารดาต้องเจ็บตัวเพราะอารมณ์ร้ายของตนเอง เธอรู้ว่ามันเป็นบาปหนาที่ทำให้บุพการีถึงกับเลือดตกยางออก
“หนูจะไปบวชชีพราหมณ์สักอาทิตย์หนึ่ง” บุษบงบอกมารดา เธอเคยคิดไว้นานแล้วเรื่องไปนุ่งขาวห่มขาวและอาศัยอยู่ที่วัดสักพัก เพราะมันอาจทำให้เธอสบายใจขึ้น
“ไปก็ดี แม่จะดูหลานให้” นางปทุมตอบอย่างยินดี เพราะนางเองก็อัดอั้นตันใจกับอารมณ์ขึ้นลงของบุษบงเต็มที
“ขอบคุณค่ะแม่” บุษบงไหว้ลามารดาแล้วเธอก็ขับรถตรงไปที่วัดใหญ่เมืองนนท์ ซึ่งเป็นวัดที่บรรดาผู้หญิงมีทุกข์มักมาบวชชีถือศีล
มีกฎระเบียบของวัดที่กำหนดไว้เป็นข้อๆ บุษบงอ่านและฟังผ่านๆ เพราะเธอคิดว่าเห็นคนอื่นทำอย่างไรเธอก็ทำไปอย่างนั้น เธอมาบวชเพื่อล้างบาปและหาความสบายใจ ไม่ได้ตั้งใจมาเอานิพพาน
มีสตรีในวัยเดียวกับบุษบงหลายคนมานุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่วัดนี้เป็นประจำ พวกเธอเหล่านั้นมักส่งเสียงซุบซิบพูดคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ขาดปาก บุษบงที่ตอนแรกคอยฟังคนโน้นพูดคนนี้คุยโดยไม่ยุ่งเกี่ยวก็เริ่มขยับไปเข้ากลุ่มและถือโอกาสระบายเรื่องราวของเธอเองออกไปด้วย
ตลอดสัปดาห์ของการอยู่ที่วัดใหญ่บุษบงไม่ได้ตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติเพื่อลดความทุกข์ของตนเองลงเลย เธอเข้านั่งฟังหลวงพ่อบรรยายเทศน์ตอนเช้าแล้วเธอก็ทำท่านั่งสมาธิ นั่งได้ไม่นานก็ออกเดินจงกรม และเขยิบไปรวมกลุ่มกับคนอื่นใต้ร่มไม้ที่อยู่ห่างจากศาลา จากนั้นก็เริ่มพูดคุยระบายความทุกข์ของตนให้กันฟัง ทั้งเรื่องลูก เรื่องสามี เรื่องสัปดี้สีปะดน เรื่องค้าขาย ขาดทุน กำไร และอีกสารพัดเรื่อง เมื่อพูดคุยกันจนสาแก่ใจแล้วก็ทำท่าเดินจงกรมกลับมานั่งสมาธิด้วยความอิ่มเอมที่ได้สำรอกเรื่องราวที่ท่วมปากออกไป
บุษบงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอไม่ได้เคารพสถานที่และไม่ได้ทำตามกฎระเบียบอย่างที่ผู้มาปฏิบัติธรรมควรกระทำ เธอรู้สึกอยากจะได้พูดจาเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่ในอกออกไปและฟังเรื่องทุกข์ใจของคนอื่นบ้างเป็นการแลกเปลี่ยน หลวงพ่อเองก็ไม่ได้คอยมาตักเตือนเธอหรือเตือนใคร เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่ “ใครทำ ใครได้ ใครไม่ทำ ใครไม่ได้”
ครบเจ็ดวันบุษบงกลับบ้านไปบอกมารดาว่าเธอบวชล้างบาปมาแล้ว นางปทุมเอ่ยปากอนุโมทนาสาธุ บุษบงทำตัวนิ่งเฉยเป็นปกติอยู่ได้ไม่กี่วันเธอก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม ซึ่งผู้เป็นมารดาต้องคอยรับอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเธอบ่อยครั้งจนนางเองก็เครียดไปเช่นกัน