6
“นังลูกชั่ว เกิดมาไม่เคยให้คุณพ่อแม่ยังจะอกตัญญูอีก เพี้ยะ เพี้ยะ”
สาวินีฟาดมือไปตามร่างกายของสิรินยา รวมทั้งใบหน้าที่ขึ้นเห่อเป็นรอยนิ้ว
“แม่จ๋า อย่าตียา อย่าตียา ยากลัวแล้ว ยาเจ็บ...ฮือ”
สิรินยาปัดป้องตัวเอง หล่อนร้องไห้น้ำตาไหลพราก ด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ
“กูตีให้มึงเจ็บไง” สาวินีไม่หยุดตีบุตรสาวคนเล็ก นางฟาดมือไม่ยั้ง ไม่เลือกที่ “มึงจะให้ที่ดินกับเงินกูดีๆ ไหม ถ้าไม่ให้กูจะตีมึงให้ตายเลย”
“มะ...ไม่ ยาไม่ให้ ยาให้แม่ไม่ได้ มันเป็นของย่า...ฮือ...ย่าสร้างมันมา...ฮือ”
“ตีมันให้ตายเลย ตีให้ตาย ตีจนกว่ามันจะยอม”
ชาติชายยุเสียงดัง สิริยากรยืนนิ่งเฉยมองน้องสาวฝาแฝดที่ถูกมารดาทำร้ายราวกับว่าภาพนี้เป็นภาพชินตา ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย มุมปากหล่อนยกเชิดขึ้นเล็กน้อย แววตาที่มองแฝดน้องเต็มไปด้วยความสะใจ
เสียงทุบตีสิรินยาดังมาถึงหน้าบ้าน ทว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เห็นจนชินตา ได้ยินจนชินหู สงสารจนไม่รู้จะสงสารยังไง ครั้นเข้าไปห้ามปรามก็ถูกเจ้าของบ้านต่อว่า พวกเขาพากันส่ายหัวกับพฤติกรรมรักลูกไม่เท่ากันของสองผัวมียคู่นี้ที่นับวันจะมากขึ้น
หลังจากทุบตีสิรินยาจนพอใจ ชาติชายกับสาวินีก็พากันขึ้นมาบนห้อง ทว่าอารมณ์ของทั้งคู่ยังไม่หายจากอาการหงุดหงิด ยิ่งนึกถึงคำพูดของสิรินยาที่ว่าจะไม่ยกสมบัติให้ อารมณ์โกธาก็คุกรุ่นขึ้นมาอีกระลอก
“นังยานับวันมันจะยิ่งกำเริบใหญ่ ยิ่งได้สมบัติเยอะขนาดนี้ เห็นทีมันจะไม่เห็นหัวเราแน่ๆ” ชาติชายพูดกับภรรยาเมื่อเข้ามาอยู่ในห้อง “เราจะทำยังไงมันถึงจะยอมยกที่ดินทั้งหมดให้เรา”
“ฉันว่านะ ปล่อยให้มันตายใจไปก่อน เรารอเวลาหลังรับปริญญาหลินก็ได้ แล้วเราค่อยจับมือมันบังคับให้มันยกทุกอย่างให้เรา อย่างนังยาไม่กล้ากับเรานานหรอก สุดท้ายมันก็ต้องยอมเราอยู่ดี”
“กลัวแต่ว่ามันจะไม่ยอมน่ะสิ” ชาติชายเป็นกังวล
“เอาน่าพี่ ฉันมีวิธี รับรองมันยอมแน่” สาวินีพูดราวกับมีแผนการในใจ
“เธอแน่ใจนะว่าได้”
“แน่ใจสิ จุดอ่อนมันมีไม่กี่จุดหรอก แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าจุดอ่อนไหนที่จะทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ” คนเป็นเมียกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงวิธีจัดการสิรินยา
“ถ้าเธอแน่ใจพี่ก็วางใจ เราจะได้สบายกันซะที มีเงินใช้เป็นร้อยล้าน” ชาติชายเอนกายลงนอนเล่นบนเตียงไม้ “ส่วนเงินค่าสินสอดที่ได้จากว่าที่ลูกเขย เราก็จะเอาไปซื้อนั่นซื้อนี่ ไปเที่ยวรอบโลกด้วยดีไหม หรือว่าจะไปเปิดร้านใหม่ในห้างก็ได้นะ เรามีทุนแล้วเปิดให้อลังการงานสร้างไปเลย”
“ดีเลยพี่ ฉันจะได้มีหน้ามีตากับเขาบ้าง ไม่ใช่มีร้านเล็กเท่ามดแบบนี้ พูดโอ้อวดใครไม่ได้เต็มปาก”
อาชีพของสาวินีคือเปิดร้านทำผม ซึ่งร้านของนางเปิดอยู่หน้าปากซอย เป็นร้านเล็กๆ และเก่า ลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นลูกค้าเก่าเสียส่วนใหญ่ มีหน้าใหม่มาบ้างประปราย รายได้หลักของบ้านเป็นของชาติชายที่ทำงานเป็นหัวหน้าช่างในโรงงานแถวบ้าน ทั้งสองหวังสบายจากการได้ลูกเขยรวย และยิ่งรู้ว่าสิรินยาได้มรดกเป็นร้อยล้านบาท สองสามีภรรยายิ่งเนื้อเต้น อยากได้ใจแทบขาด เพราะหากนำไปขาย ทั้งคู่จะสุขสบายไปตลอดชีวิต
“เออว่าแต่ เดลฟีนจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่นะ พี่ลืมไปแล้ว”
“หลินบอกว่า กลางเดือนนี้นะพี่”
“พี่ว่า เราไปซื้อเสื้อผ้าใหม่กันดีกว่า พาหลินไปด้วย หลินจะได้มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ ที่มีอยู่พี่ว่ามันเก่าแล้ว หลินใส่แล้วราศีหมองเชียว” ชาติชายนึกถึงแต่สิริยากร ในสมองไม่นึกถึงลูกอีกคนหนึ่งเลย
“เอาอย่างนี้ดีไหมพี่ ถ้าเราได้เงินค่าสินสอดและได้เงินจากการขายที่ได้ เราไปซื้อบ้านใหม่ แล้วให้นังยาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องให้มันไปอยู่ด้วย ไปให้เป็นเสนียดบ้านใหม่เปล่าๆ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว แค่นี้ก็เอียนหน้ามันจะแย่”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย พูดแล้วเสียอารมณ์” สาวินีตัดบท “เรามาพูดกันเรื่องหลินดีกว่า พี่จะให้อะไรหลินในวันรับปริญญา ฉันว่าจะซื้อทองให้หลินหนึ่งบาท”
สองสามีภรรยาเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วพอคุยถึงสิริยากร สีหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภาคภูมิใจกับความสำเร็จของบุตรสาวที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับทั้งสองมาก นำไปคุยโวได้ไม่มีเบื่อ หลงลืมไปว่าสิรินยาก็สำเร็จการศึกษาเช่นเดียวกันกับสิริยากร แถมเก่งกว่าที่สอบชิงทุนได้ แต่ไม่เลยชาติชายกับสาวินีไม่แม้แต่นึกถึง ไม่เลยสักนิดเดียว ลมหายใจเข้าออกมีเพียงสิริยากรคนเดียวลูกสาวคนโตคนเดียวเท่านั้น
สองสัปดาห์ต่อมา
และแล้ววันที่ชาติชายและสาวินีรอคอยก็มาถึง วันนี้เดลฟีนมีกำหนดมาถึงเมืองไทยในตอนสาย และทันทีที่เขานำสัมภาระไปเก็บที่โรงแรม สถานที่ที่สองที่เขาจะไปคือ บ้านสิริยากร
ไม่เพียงแค่สองสามีภรรยาที่รอคอยการมาของเดลฟีน ยังมีอีกหนึ่งสาวที่รอคอยด้วยใจจดจ่อ นั่งมองประตูบ้านตลอดเวลา หากเขาเดินเข้ามา เดลฟีนจะเจอหล่อนเป็นคนแรก