“มึงแกล้งความจำเสื่อมเนี่ยนะ”
เสียงเตโชผู้เป็นเพื่อนสนิทของธีร์ทัพเอ่ยเสียงดัง หลังรับรู้ว่าเพื่อนตนแกล้งความจำเสื่อมเพื่อที่จะยืดระยะสัญญาหย่าออกไป
แค่จะมาเยี่ยมคนป่วย แต่ใครจะรู้ว่าโดนคนป่วยต้มเละ ที่คิดว่าความจำเสื่อมก็เป็นแค่แผนของธีร์ทัพเท่านั้นที่อยากจะยื้อแพรวาเอาไว้
“มึงอยากให้คนอื่นเข้ามาได้ยินหรือไงวะ” ธีร์ทัพปรามเสียงค่อย สายตาก็เหลือบมองประตูห้องกลัวคนอื่นจะเข้ามาได้ยิน
“มึงแกล้งความจำเสื่อมเหรอวะไอ้ทัพ” เตโชหรี่เสียงลงโดยอัตโนมัติ สายตาก็พลอยเหลือบมองประตูห้องด้วยความหวาดระแวงไม่ต่างกัน
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ในเมื่อกูหมดปัญญาจะรั้งเธอไว้แล้ว”
“โห ไอ้ทัพ”
คนที่แค่มาเยี่ยมแต่ดันเจอข่าวใหญ่ยกมือขึ้นเสยผม พลางลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะมึง ถ้าเธอรู้เข้าจะทำยังไง” เตโชพูดต่อด้วยความเป็นห่วง
“กูยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น” ธีร์ทัพเอ่ยอย่างหมดท่า ไม่เหลือมารยาอื่นมาหลอกล่อแล้ว
“แล้วนี่เธอไปไหน”
“กลับไปเอาเสื้อผ้า แล้วจะมานอนเฝ้ากู”
“แผนมึงมันจะใช้ได้เหรอวะ ยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดีนะไอ้ทัพ”
ธีร์ทัพนิ่งเงียบเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าต่อให้ยืดระยะเวลาออกไป ทางออกสุดท้ายแพรวาก็ยังยืนกรานที่จะหย่ากับเขาอยู่ดี
มีแค่หนทางเดียวที่จะทำให้เธออยู่กับเขาตลอดไป คือทำให้หัวใจของเธอเป็นของเขาให้ได้
“กูอยากทำให้เธอรักกู..”
“เขาจะเกลียดที่มึงโกหกมากกว่า”
“ทำไงได้วะ ในเมื่อมันเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
“เอาเถอะ กูเอาใจช่วยมึงละกัน”
ธีร์ทัพพยักหน้ารับ พลางถอนหายใจทิ้งด้วยความวิตกกังวล
เขาเองก็ไม่ได้อยากจะให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อแพรวาไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองสักที
ถ้าลดกำแพงระหว่างกันได้สักนิดก็คงจะดีเหมือนกัน..
ช่วงพลบค่ำที่แพรวากลับมายังห้องผู้ป่วยอีกครั้ง เธอนั่งข้างเตียงธีร์ทัพป้อนข้าวต้มให้เขาที่ข้อมือซ้นหยิบจับอะไรได้ไม่ถนัดมือ
ดูเหมือนว่าคนป่วยจะลอบยิ้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา เขามองเห็นแววตาที่ห่วงใยของเธอ แทนที่จะเป็นสายตาเฉยชาเมินหน้าเขาอย่างที่เคยเป็น
“ร้อนมั้ยคะ” เธอถามเขา ขณะใช้มือรองใต้ช้อนแล้วป้อนข้าวต้มให้
“ช่วยเป่าให้นานกว่านี้ได้มั้ย มันยังร้อนอยู่เลย” เขาเอ่ยร้องขอด้วยสีหน้าออดอ้อน
“ยังร้อนอยู่ใช่มั้ย เดี๋ยวรอหน่อยนะคะ”
ว่าแล้วสาวเจ้าก็ตักข้าวต้มใส่ช้อน จ่อริมฝีปากเป่าเบา ๆ ด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะจ่อช้อนเข้าที่ปากของชายหนุ่มอีกครั้ง
ธีร์ทัพอ้าปากอย่างว่าง่าย ข้าวต้มมื้อนี้ดูท่าจะหวานกว่าครั้งไหน ๆ เพราะนอกจากจะมีคนคอยนั่งเป่าให้แล้ว การได้เฉยชมใบหน้าสวยหวานระยะนี้ ก็ทำให้เขาชุ่มชื่นหัวใจเช่นกัน
“ทานข้าวหรือยัง” ธีร์ทัพเอ่ยถามเสียงค่อย สายตาก็จดจ้องมองริมฝีปากเธอไปด้วย
“ยังค่ะ รอคุณทานให้เสร็จก่อน แล้วฉันค่อยไปหาอะไรทาน” เธอบอกเขาไปตามตรง
“ปกติทุกวันก็เป็นแบบนี้เหรอ”
“แบบไหนคะ”
“แบบที่เอาใจใส่กันแบบนี้”
“ไม่หรอกค่ะ เราแทบไม่ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกัน ถ้าไม่จำเป็น”
ประโยคตอบตัดบททำเอาธีร์ทัพชักสีหน้าไปต่อไม่ถูก ไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะใจแข็งแม้กระทั่งตอนที่เขาแสร้งว่าความจำเสื่อม
เสมอต้นเสมอปลายเสียจริง..
“ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้คุณมาก่อน เพราะเราสองคนอยู่ใกล้กันมากไปก็มีแต่จะหาเรื่องมาทะเลาะซะมากกว่า”
“งั้นเหรอ เราสองคนเป็นสามีภรรยาจอมปลอมที่ทะเลาะกันเป็นประจำสินะ”
แพรวาทำได้แค่ยิ้มรับ “ทำนองนั้นมั้งคะ”
“แต่เราสองคนไม่เหมือนสามีภรรยาที่ต้องหย่ากันเลยนะ”
“ทำไมคะ เพราะฉันป้อนข้าวคุณ หรือเพราะฉันอยู่ใกล้คุณแบบนี้”
“ไม่รู้สิ ความรู้สึกบอกแบบนั้นล่ะมั้ง”
สำหรับเขาเธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นอะไรในสายตาของธีร์ทัพ แต่สำหรับเธอเขาเป็นคนที่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือ แต่กลับอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกิน
เขาเป็นเหมือนสายลมที่พัดวนอยู่รอบตัว แต่กลับโอบกอดหรือรั้งเอาไว้ให้อยู่กับตัวนานไม่ได้
สุดท้ายเจ้าสายลมก็ต้องผ่านพัดไป..
“บางครั้งเราก็ไม่ควรเชื่อความรู้สึกตัวเองมากเกินไป”
“.....”
“มีแต่จะทำให้คุณรู้สึกแย่เสียเปล่า ๆ ถ้ารู้ว่าเราต้องหย่ากันจริง ๆ”
แววตาของแพรวายังคงดูเย็นชา แต่การกระทำของเธอนั้นแสนจะอ่อนโยน
แบบนี้จะไม่ให้ธีร์ทัพหลงรักเธอได้ยังไงกัน..
เธอก็แค่สวมหน้ากากเอาไว้เท่านั้น เพราะงั้นเขาหวังว่าสักเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเธอที่ขาดหายไป เขาจะได้เป็นคนที่ต่อเติมให้มันเต็มจนสมบูรณ์
ต่อให้แสงลิบหรี่แต่ธีร์ทัพยังมีหวังอยู่..
“ส่วนเรื่องมอเตอร์ไซค์ที่ตัดหน้า ทางตำรวจจะดำเนินคดีต่อนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอพูดต่อ มือก็จ่อช้อนที่ปากเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ธีร์ทัพเบือนหน้าหนีออกไปอีกทาง
“พอแล้ว”
“แต่คุณทานไปนิดเดียวเอง”
“แค่ความจำเสื่อมก็แย่มากพอแล้ว ฉันไม่อยากเป็นภาระเธอมากกว่านี้”
“ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าคุณเป็นภาระ”
ทั้งสองสบประสานสายตากันหลังพูดจบประโยค เขาพยายามอ่านใจเธอผ่านแววตา ก่อนสุดท้ายจะเป็นธีร์ทัพที่เบนสายตามองไปทางอื่นแทน
แพรวาระบายลมหายใจ ละมือวางช้อนใส่ถ้วยข้าวต้มแล้วพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
“ถ้าอิ่มแล้วงั้นฉันเก็บนะคะ” เธอว่าแล้วทำท่าจะลุก หากทว่ากลับถูกใครบางคนคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เจ้าของใบหน้าสวยหลุบตามองมือหนาที่รั้งเธอไว้ ก่อนจะขยับสายตามองชายหนุ่มอีกครั้ง
“คืนนี้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย”
“คะ”
“ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว.. ได้มั้ย อยู่ด้วยกันก่อนได้มั้ยครับ”