ผู้ชายที่เธอมั่นใจว่าไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนและมั่นใจว่าเธอไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บช้ำจนกระทั่งคิดจะมาทำร้ายเธอแบบนี้ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาเป็นใครและทำกับเธอแบบนี้ทำไม
“ลงมา!” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นเหมือนเป็นการบังคับให้เธอหยุดคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่กำลังคิดอยู่ หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่เขาบอกมา เมื่อเห็นว่าร่างบางยังคงนิ่งชายหนุ่มจึงเดินมากระชากประตูรถเปิดออกอย่างแรงทำเอาคนที่นั่งนิ่งอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“บอกให้ลงมา หูแตกหรือไง?” เขาตวาดเสียงดังพร้อมกับถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างโมโห
ปรินทิพย์หันมองเขาอย่างหวาดหวั่น และคิดว่าการประท้วงของเธออาจจะทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกก็เป็นได้
“ก็ลงไม่ได้ เท้าฉันถูกมัดอยู่” เธอพูดพร้อมกับขยับขาสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาเห็น แน่นอนว่าเขาเห็นและเห็นไปจนถึงขาอ่อนที่อยู่ภายใต้กระโปรงสั้นของเธอด้วย
เขาเบือนหน้าหลบตามความเคยชินของคนเป็นสุภาพบุรุษ
‘ยัยบ้า! กลัวจนลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองนุ่งกระโปรงสั้นอยู่...’ ภูมินทร์ต่อว่าในใจอย่างอดไม่ได้ “ก็ลงมาทั้งอย่างนั้นแหละ” เขาสั่งเสียงแข็งจนคนถูกสั่งถึงกับน้ำตาคลอ
‘นี่ฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนา ถึงได้มาเจอคนบ้าๆ แบบนี้...’ ร่างบางร้องครวญอยู่ในใจ มองใบหน้าชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ
“มองหน้า ด่าฉันรึ?” เสียงห้วนของร่างสูงที่ยืนอยู่ถามขึ้นพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
ร่างบางสะดุ้งเพราะกำลังนึกต่อว่าเขาอยู่จริงๆ
“ไม่ลงใช่ไหม?” คำรามออกมาพร้อมกับกระชากร่างบางลงจากรถทันที
“ว้าย!...” ร่างบางส่งเสียงร้องเมื่อตัวทั้งตัวลอยหวือตามแรงมือที่เขากระชากมา ครั้นพอเอาเธอออกมาได้เขาก็ปล่อยเธอตามยถากรรม นั้นคือโยนแหมะลงบนพื้นดินที่เป็นแอ่งน้ำเล็กๆเต็มไปด้วยดินโคลน
“โอ๊ย อึก!!” หญิงสาวถึงกับหวีดร้องเสียงหลงเมื่อตัวทั้งตัวนั่งอยู่ในน้ำโคลนโดยมีดินบางส่วนกระเด็นมาถูกใบหน้าและตอนนี้เสื้อผ้าชุดสวยของเธอก็เลอะเทอะไปหมด
“นี่คุณทำอะไรน่ะ ฉันเจ็บนะ...” เธอร้องถามหน้าตาเหยเกเพราะความเจ็บจากการกระทำเมื่อครู่ของเขา
“ไม่ต้องมาทำสำออย ลุกขึ้น...แล้วเดินไปด้านใน” เขาสั่งน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ไม่สนเพราะเขาไม่ได้เจ็บเอง
“ฉันบอกให้ลุกขึ้น หูแตกหรือไง” เขาตะคอกใส่อีกครั้งและครั้งนี้ก็ทำให้หญิงสาวลืมความกลัวไปชั่วขณะ
“คุณ...ก็แก้มัดให้ฉันสิ” เสียงหวานตะคอกกลับไปบ้างอย่างหัวเสียก่อนจะค้อนให้เขาไปวงใหญ่
เขาย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้าและยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี “ไม่...ถ้าเธอเดินไม่ได้ ก็คลานไปแล้วกัน”
ปรินทิพย์ถึงกับอึ้งกับคำตอบนั้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างขัดเคือง ผู้ชายคนนี้ใจดำเกินกว่าที่เธอคิดเอาไว้ แล้วเธอจะมาร้องขอคำอุทธรณ์อะไรได้ เมื่อไม่รู้ว่าชะตากรรมต่อไปจะเป็นเช่นไร...
ตากลมโตเพ่งมองไหล่กว้างที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านไม้หลังงามที่อยู่ไม่ไกลจากที่เธอนั่งอยู่นัก ในใจยังแอบหวังว่าใครคนนั้นคงจะหันกลับมามองและเปลี่ยนใจกลับมาแก้มัดให้เธอ
แต่แล้วสิ่งที่ปรินทิพย์หวังไว้ในใจก็ไม่เกิดขึ้น ผู้ชายคนนั้นเดินหายเข้าไปในบ้านหลังนั้นเสียแล้ว นี่เธอต้องคลานไปที่นั่นจริงๆ หรือ?
บ้านไม้หลังกะทัดรัดตั้งตระหง่านอยู่บนเนินสูง บริเวณโดยรอบมีไม้ประดับหลากสีปลูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม หากจะเป็นการมาพักผ่อน ที่นี่ก็คงจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้บรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงามไม่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้เลย...
“คนบ้า คนใจร้าย...”
ทั้งที่ไม่เคยต่อว่าใคร แต่สำหรับครั้งนี้ปริทิพย์รับสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นกระทำกับเธอไม่ได้จริงๆ...
ปรินทิพย์ขยับตัวลุกขึ้นจากแอ่งน้ำอย่างยากลำบาก แต่ที่สุดเธอก็ยืนขึ้นมาได้ เธอรีบกระโดดออกจากแอ่งน้ำมายืนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้นแห้ง เมื่อรู้สึกหายเหนื่อยบ้างแล้วเธอก็เริ่มกระโดดออกไปเบื้องหน้าช้าๆ แม้ว่าจุดหมายที่อยู่ข้างหน้าจะไม่ไกลนัก แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรง อดสูกับสภาพของตัวเองที่กำลังประสบอยู่
“คนบ้า...แย่ที่สุด!” เสียงแหลมเล็กร้องออกมาอย่างตัดพ้อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านหลังงามที่อยู่เบื้องหน้า
‘ป่านนี้พี่ชายคงตามหาเธอให้วุ่นแล้วสินะ...’ ปรินทิพย์คิดขึ้นมาอย่างกังวล
ความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวทำให้ปรินทิพย์ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง เธอมองไปยังตัวบ้านที่ใครอีกคนเดินหายเข้าไปเมื่อครู่ก่อนและยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะออกมา แขนเรียวเล็กพยายามขยับไปมาหมายจะให้เชือกที่มัดไว้คลายตัวออก แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่เธอก็กัดฟันทนจนที่สุดเชือกก็เริ่มหลุดออก เมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระเธอก็รีบก้มลงไปแก้มัดเชือกที่ข้อเท้าทันที
และความพยายามที่จะเป็นอิสระเมื่อครู่ทำให้ข้อมือของเธอถูกเชือกบาดจนมีเลือดไหลให้เห็น หญิงสาวใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปบนบาดแผลพร้อมกับครางออกมาเบาๆ อย่างเจ็บแสบ แต่ในเวลานี้เธอจะมัวมาสนใจถึงเรื่องเจ็บเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะหนีไปจากที่นี่
ปรินทิพย์หันมองไปรอบตัวเห็นรถยนต์คันเดิมที่เธอเพิ่งถูกลากลงมาจอดอยู่ไม่ไกล เธอไม่รอช้ารีบวิ่งโขยกเขยกไปยังรถยนต์คันนั้นทันทีแม้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างแต่เธอก็ฝืนทนเอาไว้
ใบหน้าสวยแต่บัดนี้เลอะเทอะมอมแมมผุดรอยยิ้มดีใจขึ้นมาเมื่อมองเห็นกุญแจรถยังถูกเสียบคาอยู่ เธอรีบเดินไปเปิดประตูออกและหมายจะเข้าไปนั่ง แต่แล้วเธอกลับต้องสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจสุดขีด
“คิดจะทำอะไร?” เสียงห้วนสั้นตะคอกมา พร้อมเจ้าของเสียงก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวเธอ เขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวที่ตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมา
ปรินทิพย์ปล่อยมือออกจากประตูรถอย่างทันที ก่อนจะใช้มือข้างนั้นมาจับมือเขาไว้อีกที ใบหน้าสวยเหยเกไปเพราะรู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือตัวเองอย่างมาก
“เจ็บนะ...” น้ำเสียงสั่นเครือนั้นบ่งบอกว่าเธอกำลังเจ็บปวดอยู่จริงๆ และยืนยันถึงความรู้สึกนั้นด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่รินไหลลงสู่แก้ม เธอพยายามสะบัดข้อมือออกแต่มันก็ไร้ผล
“แรงก็มีอยู่แค่นี้ แล้วจะดิ้นไปให้เหนื่อยทำไม” เสียงห้วนมาพร้อมสายตาเยาะหยันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน
“ปล่อยฉันเถอะ ฉันเจ็บ อย่าทำอะไรฉันเลย”
“เธอคิดว่าคำพูดและแววตาใสซื่อของเธอจะทำให้ฉันเห็นใจเธออย่างนั้นเหรอ”
เสียงเหี้ยมของเขาทำให้ปรินทิพย์รู้ได้ทันทีว่าคำขอของเธอไร้ผล ครั้นเมื่อสบตาแน่วแน่เธอจึงได้เห็นว่าดวงตาคมเข้มวาววับฉายชัดถึงความเคียดแค้นอย่างมากมาย และคำถามเดิมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เธอไปทำอะไรให้ชายผู้นี้โกรธเคืองกระนั้นหรือ?...