กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งรอบกายเหมือนกับดึงสติให้เธอกลับมาอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และไม่แน่ใจด้วยว่าเธอมาทำอะไรที่กันแน่...
ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ครอบครัวของเธอมักจะใช้เป็นประจำยามที่ใครคนใดคนหนึ่งมีอาการเจ็บป่วย งั้นแสดงว่าถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ก็แปลว่าคนในบ้านของเธอนั้นป่วยงั้นหรือ?
คิดได้ดังนั้นพิมนภาก็พาร่างของตัวเองก้าวขาฉับ ๆ เพื่อจะไปถามไถ่ประชาสัมพันธ์ในทันที แต่พอดีกับที่คุณพยาบาลคนสวยมีสายเรียกเข้ามาจากโทรศัพท์ จึงทำให้เธอที่ได้รับการสั่งสองเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดีหยุดยืนนิ่งให้หล่อนได้พูดคุยที่โทรศัพท์ก่อนเพราะมันคงจะเป็นเรื่องสลักสำคัญมากกว่า...
“คนไข้มีอาการหัวใจเต้นผิดปรกติหรือคะ?...รอสักครู่ดิฉันจะรีบไปประสานงานกับคุณหมอค่ะ...ห้องของคนไข้ พิมนภา ชุติวรวงศ์นะคะ ทราบแล้วค่ะ...” หลังจากวางสายลงหล่อนก็รีบกระเสือกกระสนตัวอย่างรวดเร็วเดินผ่านหน้าเธอไปเหมือนกับเธอเป็นดินธาตุอากาศ
และเมื่อครู่นั่นมันเป็นชื่อของเธอ...
แม้ตัวเธอจะตกใจแต่ก็ยังพอมีสติที่จะเดินตามคุณพยาบาลคนนั้นไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ทุกย่างก้าวของหล่อนเดินไปอย่างเร่งรีบ และมันก็ทำให้เธอต้องเดินเร่งฝีเท้าตามไปด้วย และเพียงไม่นานนักร่างของหล่อนก็ผลักประตูเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง
เธอยังยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะตามเข้าไปดีหรือไม่ เพราะมันอาจจะเป็นแค่คนชื่อเหมือน และถ้าหากเธอเดินเข้าไป คงจะดูเสียมารยาทไม่น้อยเลย
สายตาเหลือบไปมองที่แผ่นป้ายชื่อ ซึ่งมันก็เป็นชื่อที่ทำให้เธอหัวใจเต้นระรัวเพราะความหวาดหวั่น เพราะทุกคำทุกตัวอักษร...ล้วนแล้วแต่สะกดเหมือนกันกับชื่อของเธอไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่จริงหรอกน่า...ถ้าคนที่อยู่ในห้องนั้นเป็นเธอ แล้วเธอที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นใครกัน?
“ฮึก...ฮือ พิมลูกแม่” เสียงร่ำไห้จากน้ำเสียงที่เธอนั้นแสนจะคุ้นเคยดังมาดึงสติให้เธอต้องรีบหันเหไปสนใจ
เพราะมันช่างคลับคล้ายคลับคลากับเสียงของมารดาเธอไม่มีผิดเพี้ยน...
ความสงสัยใคร่รู้ทำเอาเธอต้องตั้งสติอีกครั้ง พิมนภาวางมือลงไปที่แผ่นประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะมองสอดส่องเข้าไปทางกระจกของประตูที่อยู่เหนือศีรษะของเธอเล็กน้อยด้วยหัวใจที่สั่นไหว
แต่ภาพตรงหน้ากลับทำเอาเธอแทบเข่าทรุด แผ่นหลังที่แสนจะคุ้นเคยของทั้งบิดาและมารดาของเธอนั้นพอจะช่วยยืนยันได้อีกเสียงหนึ่งว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นและถูกบดบังด้วยร่างของคุณพยาบาล...อาจจะเป็นเธอจริง ๆ
พิมนภาผละตัวออกมาจากประตูอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัว น้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยทำให้เธอไม่สามารถจะบังคับมันต่อไปได้อีก มันค่อย ๆ ไหลนองอาบแก้มของเธออย่างต่อเนื่องด้วยความหวาดหวั่น เสียงฝีเท้าหนักที่เดินใกล้เข้ามาทำให้เธอรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว
“พี่กล้า...” เสียงร้องเรียกเปร่งออกไปแผ่วเบาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
พิมนภารีบพุ่งตัวเข้าไปหาแฟนหนุ่มทันใดเพื่อหวังจะได้ยินคำตอบอะไรจากปากของเขาบ้าง แต่เมื่อเธอไปหยุดยืนตรงหน้าเขา ชายหนุ่มกลับเดินผ่านตัวของเธอไปเหมือนกับเธอไม่มีร่างกาย และผลุบหายเข้าไปในห้องที่ยังมีเสียงร่ำไห้ของมารดาเธอไม่ขาดสาย
“ไม่จริง...” สติของเธอแทบขาดผึ่ง
เธอหันหลังกลับไปที่ห้องนั้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เธอเลือกจะผลักประตูเข้าไปในห้อง เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าคนที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ!
แต่ทันทีที่เธอได้พบเห็น...ร่างของเธอก็ทรุดลงทันใดพร้อมกับน้ำตามากมายมันหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาอย่างเก็บกั้นมันเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป...
ใบหน้าของเธอซีดเซียวไร้เลือดเนื้อ ชีพจรที่ฉายชัดกลับเต้นถี่อ่อนเหมือนใกล้จะหยุดลงเต็มที เธอนั่งมองแผ่นหลังของคนทั้งสามที่เป็นที่รักของเธอด้วยความรู้สึกหวาดกลัว พวกเขาต่างร่ำไห้มองเธอที่นอนอยู่บนเตียงก่อนที่คนเป็นมารดาเธอจะเป็นลมล้มพับลงไป
“แม่!” เธอพยายามเข้าไปประครองร่างของมารดา...แต่มันก็ไม่เป็นผล
มารดาของเธอยังโชคดีที่พี่กล้าเข้ามารับตัวไว้ได้ทัน ก่อนที่คุณพยาบาลจะวอเรียกขอความช่วยเหลือและก็มีผู้คนอีกมากมายวิ่งกรู่เข้ามาในห้องของเธอ
เธอนั่งมองภาพเหล่านั้นด้วยน้ำตาที่มันไหลรินอย่างไม่อาจจะห้ามมันได้อีกต่อไป ผู้คนมากมายเดินผ่านตัวของเธอไปราวกับมองไม่เห็นเธอที่นั่งอยู่ตรงนี้
นี่เธอตายแล้วน่ะหรือ...
คำถามนี้มันผุดขึ้นมาในสมองพร้อมกับความหวาดกลัวที่เริ่มเกาะกินอยู่ในหัวใจ หรือมันเป็นเพียงฝันร้ายที่เธอยังไม่ตื่นดีกันแน่
พิมนภานั่งกอดเข่าซุกหน้าลงกับขาอย่างอ่อนแรง เสียงสะอื้นของเธอยังคงดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่ที่ตรงนี้กลับมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยินมัน
ทำไมกัน...เมื่อไหร่จะตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที
“พิม...” เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อยามที่ได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยเรียกกัน “พิมพิลาไลย...” น้ำเสียงสุขุมอ่อนนุ่มละมุนดังมาจากที่ไหนสักที่ที่เธอมองไม่เห็นคนเอ่ยเรียก
แต่คนที่เรียกเธอชื่อนี้...ไม่ได้อยู่ที่ภพชาตินี้
“ตื่นเถิดแม่นาง...ตัวเจ้ากำลังฝันร้าย” พิมนภาปิดหูเอาไว้อย่างไม่รับรู้
ไม่เอาอีกแล้ว...เธอไม่อยากกลับไปที่แห่งนั้นอีกแล้ว
เธอปิดหูเอาไว้ทั้งสองข้างพร้อมทั้งปล่อยโฮออกมาอีกครั้งอย่างหวาดกลัวสุดขีด และดูเหมือนสติของเธอจะเริ่มเลือนลางเข้าไปทุกที แต่เสียงเอ่ยเรียกที่ยังดังอยู่นั้นยังไม่จางหายไปไหน
“ไม่ไป...ฉันไม่เอาแล้ว ฮึก...ฮือ” เสียงร่ำไห้สุดท้ายของเธอดับห้วงลงพร้อมกับสติของเธอที่วูบหายไป...
“พิมพิลาไลย...”
“เฮือกกกกก!” เธอสะดุ้งตัวสุดขีดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเหงื่อไคลที่ท่วมท้นทั่วร่างกาย
พิมพิลาไลยหันมองไปรอบกายทั้งยังหอบหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น ใจของเธอเต้นสั่นระรัวจนแทบจะทะลุอกจนต้องยกมือขึ้นมาอังเอาไว้และพยายามปรับลมหายใจให้กลับมาคงที่
“มิเป็นไร...เจ้าแค่ฝันร้ายเท่านั้น” เสียงสุขุมนุ่มลึกที่เธอได้ยินในห้วงความฝันที่เหมือนความจริงทำเอาเธอรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว
แต่เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ใกล้เธอถึงเพียงนี้ การหันหน้ากลับไปหาเขาของเธอ กลับกลายเป็นจังหวะที่ทำให้ริมฝีปากของเธอจูบลงไปที่แก้มเขาทันใดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่คนที่ตกใจดูจะไม่ใช่เธอแต่กลับกลายเป็นคนตรงหน้าเธอเสียมากกว่า เขาเด้งตัวรุดออกจากเธออย่างเร็วไวก่อนจะยืนหันหลังให้ทั้งยังเอามือไพร่หลังเอาไว้อย่างวางมาดผู้ดี
“จะ...เจ้า”
“ข้า ข้าขออภัย...” เพราะเธอก็ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรจึงรีบเอ่ยออกไปอย่างนั้นเพราะหวาดกลัว
ความเขินอายเข้ามาแทนที่ความกลัวก่อนหน้าให้หายไปชั่วครู่ เธอรู้สึกเกรงใจเขาจนต้องรีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมาทันควัน เพราะหลังจากที่ได้ฟังจากปากของป้าพวงทองแล้ว คน ๆ นี้ดูจะเป็นคนมีอิทธิพลในที่แห่งนี้ไม่น้อยเลย เกิดเขาไม่ชอบใจแล้วมาสั่งเฆี่ยนเธอเหมือนที่เธอเคยโดนแล้ว...คนที่จะแย่เอาก็แน่นอนว่ามันต้องเป็นเธอ
“ข้าเดินผ่านมาแถวนี้...ได้ยินเสียงร้องของเจ้าเข้าพอดี...ฝันร้ายหรือ?” เขาถามไถ่เธอทั้งยังไม่ยอมหันกลับมาสบตากัน แต่มันกลับเป็นชนวนให้เธอนึกขึ้นได้ว่าเรื่องเมื่อครู่มันหน้าหวาดกลัวเพียงใด
ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีเสียงอันใดอีกเลยให้เขาได้ยิน พระนายจึงหันกลับมามองคนที่อยู่ในห้องด้วยกัน ก่อนตาจะเบิกโพรงขึ้นเล็กน้อยที่เห็นน้ำตาของหล่อนกำลังไหลริน
“ท่านจะทำเช่นไร...หากฝันว่าตัวเองป่วยและเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนไข้” เสียงถามอย่างคนเพ้อฝันของหล่อนทำเอาเขาใจหาย
พระนายนั่งลงให้เสมอกันกับหล่อนก่อนจะมองคนตรงหน้าที่นั่งร่ำไห้โดยไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับไปเลย
พิมพิลาไลยหันมองคนข้างกายที่ยังเงียบอยู่เล็กน้อย การจดจ้องใบหน้าเธอไม่วางตาของเขาเช่นนั้น ทำเอาเธอเผลอทำตัวไม่ถูกและก้มหน้าลงอย่างเจียมตัวเอง
นึกไปถึงคำของป้าพวงทองที่บอกว่าเธอเป็นทาส...งั้นก็แปลว่าเธอไม่คู่ควรที่จะพูดคุยกับเขางั้นสินะ
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย...มันเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น” แต่เขากลับยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อยอย่างคนใจดีและตอบเธออีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ก่อนจะยืดตัวเต็มความสูงอีกครั้ง “ข้าต้องไปแล้ว...กินข้าวกินปลาเสียเถิด พวงทองบอกว่าเจ้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย” ก่อนจะพาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินจากไปจนประตูปิดเงียบลง
พิมพิลาไลยหันมองสำรับอาหารที่คนป้านำมาให้เธอตามคำบอกกล่าวของคนที่พึ่งเดินจากไป เธอพึ่งได้ฟังเสียงของเขาชัด ๆ ตอนนี้ว่ามันเป็นเสียงนุ่มละมุนหวานหู ชายส่วนมากก็มักจะมีน้ำเสียงที่ทุ้มหนาไม่หวานหูเหมือนเช่นคนนี้ แถมหนวดเคราที่ติดอยู่เหนือปากกลับดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับของปลอมที่เธอเคยเห็นในละครหลังข่าว
หรือเขาจะปลอมตัวเป็นชาย?
เธอสะบัดหัวไล่ความคิดที่เผลอคิดเรื่องอะไรบ้าบอก่อนจะพาสังขารที่ยังคงเจ็บปวดอยู่เดินไปที่สำรับอาหาร ในใจก็คิดอลเวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องฝันหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่
แต่ใด ๆ คือเธอกลับมาที่แห่งนี้อีกแล้ว...
เธอไม่อยากฝืนเลย ไม่อยากฝืนทำเป็นเข้มแข็งเพราะเธอนั้นหวาดกลัวเหลือเกิน หากภาพที่เธอพบเห็นเมื่อครู่นั่นเป็นความจริงเล่า? แปลว่าตัวของเธอตายแล้วน่ะหรือ? แล้วเหตุใดเธอถึงกลับมาอยู่ที่แห่งนี้อีกครั้งทั้ง ๆ ที่เธอก็หลับไปแล้วกันแน่?
พิมพิลาไลยนั่งน้ำตาเอ่อนองทั้งยังตักกับข้าวเข้าปากระบายความหิวโหย
เมื่อไหร่ฝันร้ายนี้จะจบสิ้นลงไปเสียที...
แล้วเธอจะยังได้กลับไปพบหน้ากับบิดามารดาของเธออยู่ใช่ไหม? หากคืนนี้เธอหลับลงไปอีกครั้งทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า?
ขอร้องเถิด...ใครสักคนก็ได้ มาพาเธอออกไปจากฝันร้ายนี้เสียที...