“เจ้ามิต้องกลัว...ข้ามิทำอันตรายเจ้า” เสียงชายตรงหน้าของเธอบอกอย่างแผ่วเบาทั้งยังยกมือปรามอย่างยอมแพ้ว่าจะไม่ทำอะไรเธอ
เธอกลับมาอีกแล้ว...กลับมาที่แห่งฝันร้ายอีกแล้ว
เธอหายใจหอบถี่ทั้งยังถอยกรูดดันตัวเองไปจนติดกับผนังไม้ ทันทีที่หลังติดกับผนัง เธอก็เผลอร้องซี๊ดขึ้นมาอย่างเจ็บปวด เพราะทางด้านหลังของเธอยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อน น่าจะเกิดจากการที่คนแก่คนนั้นเฆี่ยนหลังเธอเป็นแน่
“อย่าขยับตัวเช่นนั้น...แผลของเจ้ายังมิหายดี” เขายังเอ่ยบอกเสียงเบาให้เธอนึกเบาใจ ก่อนเธอจะค่อย ๆ ผ่อนท่าทีที่เกร็งลง แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจมากนัก
ในความรู้สึกของเธอบอกว่าชายคนนี้จะไม่ทำอันตรายเธออย่างที่เขาพูดหรอก แต่ที่เธอตกใจและเผลอร่นถอยหนี มันเป็นเพราะว่าเธอตกใจที่กลับมาอยู่ที่สถานที่แห่งนี้อีกครั้ง แถมความรู้สึกเจ็บปวดมันก็กลับมาเหมือนกับคราวก่อนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
“เจ้ามีนามว่าอันใดรึ?” เขายกมือไพร่หลังและมองตรงมาทางเธออย่างวางมาดผู้ดี
และเธอพึ่งสังเกตุว่าหมวกที่เขานั้นสวมใส่ บัดนี้มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่บอกได้เลยว่าผ่านการดูแลมาอย่างดี คิ้วหนา ตาคม จมูกโด่ง ปากกระจับสวยเช่นนั้น หากเป็นหญิงตัวเขาคงงดงามไม่น้อยเลย
“จะมองข้าอีกนานหรือไม่?” เสียงของเขาดักทางให้เธอเผลอก้มหน้าหงุด แต่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกไปให้คนตรงข้ามถอนหายใจดังเฮือกและพาตัวเองเดินออกไปทางประตู “ข้าจะให้คนมาใส่ยา...อย่าขยับตัวมากนักล่ะ” พูดทิ้งท้ายเพียงเท่านั้น ก่อนที่เขาจะปลีกตัวเดินจากไปให้เธอนั้นมองตาม
เพียงไม่นานก็มีหญิงแก่เดินเข้ามาหาเธอแทน เป็นหญิงรุ่นราวคราวแม่แถมฟันยังดำจากการเคี้ยวหมากก็มิปาน หล่อนนุ่งกระโจมอกเช่นเดียวกันกับเธอ...ดูแล้วเหมือนกับบ่าวไพร่สมัยก่อน
“หันหลังมา...ข้าจะใส่ยาให้” หล่อนว่าเช่นนั้นก่อนจะโบกมือหยอง ๆ เพื่อบอกให้เธอนั้นนอนลง
เธอมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจตามสัญชาตญาณ แต่คนแก่กลับจิ๊ปากใส่อย่างขัดใจก่อนจะเดินมาเขกหัวเธอดังโป๊กจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“ลูกเต้าเหล่าใคร! มิได้ยินที่ข้าพูดรึ ข้ารุ่นราวคราวเดียวกับแม่เอ็งแล้ว หากจะประสงค์ร้ายคงใส่ยาฆ่าเอ็งไปตั้งแต่ยังหลับมิตื่น!” หล่อนว่าเช่นนั้นจึงทำให้เธอนึกเบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง ก่อนจะยอมนอนราบลงไปตามคำสั่ง
“อื้อ!”
“ข้าเบามือที่สุดแล้ว...อดทนเอาเถิด” หล่อนว่าก่อนจะใส่ยาให้เธอไปเรื่อย ๆ
เธอได้แต่กัดฟันแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวดที่มันยังคงหลงเหลืออยู่ ในใจก็นึกสับสนว่านี่เธอฝันอีกแล้วหรือ ถ้าหากเธอหลับไปทุกอย่างมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม?
“เอ็งหลับไปตั้งสองวัน หิวข้าวหิวปลาบ้างหรือไม่?” หล่อนถามเธอขึ้นมาอย่างใจดี ก่อนจะหันไปจัดเก็บอุปกรณ์ที่ตนนำเข้ามาด้วย
แต่เธอกลับเงียบ ไม่ปริปากจะพูดอะไรจนคนแก่หันมาจิ๊ปากใส่อีกครั้ง ทั้งยังเดินเร่งเข้ามาหวังจะเขกหัวเธออีกหน จนเธอต้องยกมือขึ้นป้องไว้อย่างระวัง จนหล่อนได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้งอย่างระอาใจ
“สงสัยจะเป็นใบ้อย่างที่คุณท่านว่า...งั้นข้าจะไปเตรียมกับข้าวกับปลาให้ก็แล้วกัน” หล่อนพูดอย่างนั้นก่อนจะเก็บข้าวเก็บของเพื่อหวังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวจ่ะ...” เธอรั้งคนแก่เอาไว้จนหยุดชะงักกึก หล่อนหันมาหาทั้งยังเดินเร่งฝีเท้าเข้ามาและฝากรอยเขกกระบาลเอาไว้อีกครั้งให้เธอได้แต่ร้องโอดครวญ
“นางนี่! ปากก็มีมิได้เป็นใบ้ ข้าพูดตั้งหลายครั้งทำเป็นเมินเฉย” เธอยกยิ้มแหย่ให้คนตรงหน้าอย่างยอมแพ้
แต่เพราะว่ามันมีเรื่องบางอย่างคาใจ จนต้องปริปากเอ่ยเรียกเอาไว้ก่อน เพราะกลัวเจ้าหล่อนจะเดินหายจากไปโดยที่ยังไม่ได้รู้ความจริงอะไรเลย
“คือ...ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมจ้ะ?”
“เอ็งเป็นเพียงทาส...มิต้องมาใช้คำว่า ‘ฉัน’ เหมือนที่พวกคุณ ๆ เขาใช้กันหรอก เรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ อย่างเก่านั้นเถิด ข้ามิถือหรอก” คนตรงหน้าโบกไม้โบกมือไปมาเชิงว่าไม่เป็นไรอย่างที่เจ้าหล่อนว่าจริง ๆ
นั่นทำให้เธอเริ่มจะประมวล และพยายามจะปรับใช้คำให้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ หากเธอหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็คงไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว เรื่องแค่นี้คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร...
“จ่ะ...คือข้าอยากจะถามอะไรหน่อยได้ไหมจ้ะ?”
“หากมิใช่การนินทาเจ้านาย...ข้าก็ตอบเอ็งได้อยู่ดอก” หล่อนวางข้าวของลงก่อนจะลงมานั่งให้เสมอกันกับเธอ
“ป้าชื่ออะไรจ้ะ?”
“บ่ะ! ข้าก็นึกว่าเอ็งมีเรื่องอันใดสลักสำคัญ เสียเวลาข้าจริงเชียว!” คนตรงหน้าฟึดฟัดใส่และเตรียมจะเก็บข้าวของเดินจากไปอีกครั้ง พิมจึงชะโงกตัวเข้าไปหาและเกาะแขนเอาไว้ไม่ให้หล่อนถอยหนี
“เดี๋ยวจ่ะ ๆ พูดกับคนไม่รู้จักครั้งแรกก็ต้องถามชื่อเสียงเรียงนามก่อนไงจ้ะ แล้ว...ขะ ข้าจะถามต่ออีก” เธอรู้สึกกระดากปากกับการเรียกตัวเองว่าข้าอย่างไรชอบกล
“ข้าชื่อพวงทอง อยู่ในบ้านหลังนี้มาหลายสิบปีแล้ว เอ็งมีอันใดจะถามข้าอีก”
“แล้วเอ่อ...คุณท่านของป้าล่ะจ่ะ เขาเป็นใครหรือ...เหมือนข้าจะจำได้ว่าเขาเป็นคนช่วยเหลือข้าไว้” เธอถามอย่างนั้น เพราะตุ๊กตารูปปั้นที่เธอไปซื้อมาจากร้านขายของเก่ามันมีชื่อเสียงเรียงนามพร้อมยศถาบรรดาศักดิ์สลักเอาไว้อยู่
หวังว่าเธอคงไม่ได้บังเอิญขนาดนั้นหรอก...
“อ้อ! ท่านพระยาน่ะหรือ?”
“...”
“นั่นน่ะคือท่านพระยาพระนาย เป็นคุณท่านในบ้านหลังนี้ ท่านช่วยเหลือเอ็งเอาไว้จากการที่เอ็งกำลังถูกเฆี่ยนหลังจนเกือบตาย สภาพของเอ็งตอนคุณท่านหามมา...ข้าคิดในใจแล้วว่าเอ็งไม่รอดแน่ แต่คุณท่านที่เป็นคนมีเมตตา บอกให้ข้าดูแลเอ็ง...และจะปล่อยเอ็งไปได้ก็ต่อเมื่อเอ็งหมดลมหายใจแล้วเท่านั้น” คนตรงข้ามเธอเล่าความอย่างภาคภูมิใจ
“พระยาพระนาย? หมายความว่าเขาชื่อพระยาพระนายหรือ?”
“บ่ะ! เอ็งนี่โง่เขลาแท้ ก็พระยาคือตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ส่วนพระนายก็คือชื่อของคุณท่าน พระยา พระนาย บริรักษ์ภัคดี นั่นแหละคือชื่อที่เอ็งควรสำเนียกเอาไว้ว่าคุณท่านช่วยชีวิตเอ็ง อ้อ! แล้วเรียกว่าคุณท่านนะ อย่าริอาจไปเรียกคุณท่านกับใครอื่นว่าเขา มิเช่นนั้นเอ็งได้ถูกชาวบ้านรุมประนามแน่” หล่อนว่าอย่างนั้นให้เธอนึกย้อนความไปถึงรูปปั้นดินเผา
เธอจำได้เลือนรางว่าก่อนขึ้นว่า พระยา มันมีคำว่า เจ้า นำหน้าก่อน และที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือชื่อของเขา...เหมือนชื่อเดียวกันกับคนที่อยู่ในรูปปั้น!
“แล้วถ้าเป็นเจ้าพระยาแหละจ้ะ”
“เจ้าพระยา ก็มียศถาบรรดาศักดิ์มากกว่า พระยา ส่วนมากคนที่ได้ใช้คำว่า เจ้าพระยา ก็มักจะตายกันก่อนจะได้ยศใหม่กันเสียหมด เพราะไปออกรบทำคุณงามความดีหรือทำอะไรให้เป็นที่น่าจดจำทำนองนั้น”
“อ๋อจ่ะ...”
“ว่าแต่เอ็งเถิด...ชื่ออันใดเล่า?” พวงทองถามบ้างจนเธอที่คิดอะไรอยู่ต้องรีบเบือนหน้าหันกลับไปสบตา ในใจก็แอบลังเลว่าควรจะบอกความจริงไปดีหรือไม่
แต่ไหน ๆ พอตื่นมาก็จะไม่ได้เจอแล้ว บอกไปเลยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร มันก็แค่ความฝันที่เหมือนจริงก็เท่านั้น...
“พิมจ่ะ”
“ชื่อสวยอย่างกับพวกคุณหญิงจริงเชียว...พิมพิลาไลยรึ ชื่อเหมาะกับน่าตาดีแท้” เจ้าหล่อนยกยิ้มโชว์ฟันดำก่อนจะหันไปหยิบข้าวหยิบของอีกครั้ง
เธอที่ตั้งใจอยากจะขัดว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ชื่อนั้น แต่พอคิดไปคิดมาแล้วเชื่อมันก็ไพเราะเสนาะหูดี แถมคนสมัยใหม่ยังไม่ค่อยมีคนชื่อนี้ให้ได้ยินมากเท่าไหร่ เธอจึงยิ้มรับกลับไปอย่างเป็นมิตรไมตรี แถมยังคิดในใจว่าคุณป้าคนนี้ช่างใจดี...เหมือนกับคุณยายของเธอไม่มีผิด
“ข้าไปเอาข้าวเอาปลามาให้เอ็งก่อน...พักผ่อนเถิด แผลหายดีแล้วเอ็งต้องมาทำงานทดแทนที่คุณเขายอมซื้อเอ็งมาและช่วยชีวิตเอ็ง” พวงทองว่าเช่นนั้นก่อนจะปลีกตัวเดินออกไปทางประตู
พิมมองคนแก่เดินจากไปทั้งอย่างนั้น ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนอนบนเสื่อที่ปูเอาไว้ก่อนหน้า นอนหนุนหมอนแข็ง ๆ แล้วก็คิดถึงหมอนนุ่ม ๆ ที่อยู่ในห้องของเธอ ก่อนที่ความเจ็บปวดจากบาดแผลจะทำให้เธอเผลอเคลิ้มและค่อย ๆ จมลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด
พวงทองเดินจากออกมาจากห้องของเธอและเดินตรงไปเก็บข้าวเก็บของพวกยาเอาไว้ในที่ของมัน และเดินพาร่างอ้วนท้วมขึ้นมาบนเรือนใหญ่เพื่อมาพบกับคุณท่านที่ฝากฝังเธอเอาไว้กับหล่อน
หล่อนหย่อนก้นนั่งลงหน้าประตูห้องทำงานของผู้เป็นนายที่กำลังขีดเขียนกลอนบางอย่างในสมุดจดบันทึก เห็นท่านเปรยสายตามามองกันเล็กน้อยก่อนจะวางขนนกที่จิ้มน้ำหมึกเพื่อใช้ขีดเขียนและพยักหน้าให้เธอหนึ่งครั้ง...หมายถึงหล่อนสามารถเข้าไปพูดคุยได้แล้ว
“หล่อนพูดได้เจ้าค่ะคุณท่าน” บ่าวไพร่คนเก่าคนแก่ยกยิ้มให้กับผู้เป็นนาย
เขาเป็นคนฝากฝังว่าให้พวงทองดูแลหล่อน เพราะเขาเองก็รู้สึกถูกชะตาด้วยจากการได้พบเจอเพียงแค่ครั้งเดียว
“แล้วชื่อเสียงเรียงนามเล่า...”
“หล่อนชื่อ พิมพิลาไลย เจ้าค่ะ คุณท่านจะเรียกหล่อนว่า พิม ก็ย่อมได้”
“เช่นนั้นหรือ...” เขาละสายตาออกจากหล่อนก่อนจะก้มมองบทกลอนที่ตัวเองพึ่งเขียนลงสมุดจดหมาด ๆ “เจ้าอยากจะอ่านบทกลอนที่ข้าเขียนหรือไม่?” เขายกยิ้มให้กับพวงทองที่เป็นคนเก่าคนแก่ในบ้านมานมนาน และตอนเด็ก ๆ หล่อนก็คือคนที่ให้นมเขา หรือจะเรียกอีกอย่างว่าแม่นมก็ย่อมได้
“บ่าวอ่านหนังสือยังมิคล่องเลยเจ้าค่ะ หากคุณท่านอยากให้บ่าวฟัง กรุณาอ่านให้บ่าวฟังเถิดเจ้าค่ะ” คนเฒ่าคนแก่ก้มหน้าอย่างนอบน้อมและมันทำให้คนที่อยากจะให้หล่อนได้รู้หนังสือถึงกับจ้างคนมาสั่งสอนต้องส่ายหน้าอย่างระอาใจกับความดื้อรั้นของคนเฒ่าคนแก่
“ข้าให้คนมาสอนหนังสือมิใช่หรือ...เหตุใดยังอ่านมิได้เล่า” น้ำเสียงดุ ๆ เชิงต่อว่า ทำเอาบ่าวถึงกับนั่งสลดอย่างจำยอม
แม้หล่อนจะรู้ว่าคุณท่านคงแค่เป็นห่วง แต่ก็อดจะรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะหล่อนเป็นบ่าวเพียงแค่ไม่กี่คนที่คุณท่านอยากให้อ่านออกเขียนได้
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ...” เจ้าหล่อนก้มหน้ายอมรับอย่างสำนึกผิด เป็นเพราะหล่อนไม่ตั้งใจและละเลยเอง มิใช่คนสอนมิได้เรื่องดอก...
“เอาล่ะ...ครั้งนี้ข้าจะอ่านให้ฟัง แต่ครั้งหน้า...เจ้าต้องอ่านให้ข้าฟังบ้าง ตกลงหรือไม่?”
“เจ้าค่ะคุณท่าน”
‘…ครั้นแรกพบคณึงหาประจักษ์จิตร
รอคอยพิศมาเนิ่นนานเฝ้าคอยหา
เพียงได้พบแลดูเจ้าถูกชะตา
บอกข้ามาเจ้าหรือไม่ใช่บุพเพฯ ...’