จิตวิปลาส

2494 คำ
“คุณท่านเจ้าขา! คุณท่าน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่าา” เสียงของพวงทองดังมาแต่ไกลทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นตัวเลยด้วยซ้ำ จนพระนายต้องวางขนนกลงก่อนและเงยหน้ามองหาบ่าวที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา และทันทีที่ถึงจุดหมาย เจ้าหล่อนก็ทิ้งตัวนั่งลงหายใจหอบเหนื่อยอย่างอ่อนแรง “มีเรื่องอันใดหรือ...ใยต้องรีบร้อนเช่นนี้” เขาถามคนตรงหน้าที่ยังยกมืออังหัวใจเอาไว้ทั้งยังหายใจหอบเหนื่อย วิ่งมาเช่นนี้ได้ดูอายุอานามตัวเองบ้างหรือไม่เล่า! “อีพิมเจ้าค่ะ อีพิม” หล่อนว่าและกลับไปปรับลมหายใจอีกครั้ง ส่วนคนที่ได้ยินชื่อของใครบางคนก็เกิดร้อนใจขึ้นมาทันใด จนต้องรีบเอ่ยเร่งให้คนเฒ่าคนแก่รีบพูดออกมาโดยเร็ว “มีเรื่องอันใด...พิมเป็นอันใดหรือ” “อีพิมมันวิปลาสเจ้าค่ะคุณท่าน เอาแต่แหกปากกรีดร้องไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ!” “ฮึก...ฮืออ ออกไป เอาฉันออกไปจากที่นี่เสียที ฮึก!” เสียงกรีดร้องดังออกมาจากในห้องให้คนที่ต้องลงมาดูด้วยตัวเองต้องรีบแหวกฝูงชนเข้าไปดูให้แน่ชัด และทันทีที่บ่าวไพร่ทั้งหลายพบเขา ผู้คนก็ต่างแหวกทางออกและยังนั่งลงทำความเคารพกันเสียยกใหญ่ ซึ่งคนที่ร้อนใจกว่าสิ่งใดก็หาได้ใส่ใจใครอื่น เพราะจิตใจตอนนี้ของเขาร้อนรุ่มเป็นห่วงคนในห้องนั้นเหลือเกิน “มีเรื่องอันใดกันแม่นาง” สภาพที่เขาพบเห็นทำเอารู้สึกหดหู่ไม่น้อยเลย คนตรงหน้าตาบวมเปร่งจากการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมเผ้าถูกทึ้งเสียจนดูรุงรังไม่เป็นทรง แถมร่างกายยังมีรอยฝกช้ำซึ่งอาจจะเกิดจากการทุบตีตัวเองก็เป็นได้ ส่วนข้าวของภายในห้องก็กระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง บ่งบอกว่าคนกระทำนั้นคลุ้มคลั่งเพียงใด “หยุดเดี๋ยวนี้พิมพิลาไลย!” “ฮึก...ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว เอาฉันออกไปจากที่นี่ทีเถิด!” น้ำเสียงขึงขังของเขานั้นใช้ไม่ได้ผล คนตรงหน้ายังดูคลุ้มคลั่งและฟูมฟาย ทั้งยังทึ้งผมตัวเองไปมาจนเขาคิดว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง มิเช่นนั้นเจ้าหล่อนได้ระบมไปทั้งร่างกายแน่ “พวงทองออกไปก่อน...จัดการให้คนหน้าห้องกลับไปทำงานของตนเองด้วย” “แต่คุณท่าน...” “ข้าสั่งอันใดก็แค่ทำตาม...อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง!” “เจ้าค่ะ” ก่อนที่บ่าวคนสนิทจะโค้งตัวให้และเดินออกไปตามคำสั่งในทันที พระนายหันมองบ่าวที่เดินจากไปจนลับตา ก่อนที่เสียงฮือฮาหน้าห้องจะเงียบกริบลง เป็นสัญญาณว่าทุกคนได้ออกไปจากที่ตรงนี้แล้ว พระนายจึงหันกลับมามองที่เจ้าหล่อนอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปใกล้และยกมือขึ้นไพร่หลังเอาไว้อย่างที่ตนเองนั้นชอบทำ “มีเรื่องอันใดรึแม่นาง...เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่” พระนายพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบคนที่มีอารมณ์รุนแรง แต่ดูจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ เพราะเธอยังเอาแต่นั่งร้องไห้แทบขาดใจอยู่ตรงนั้น ซึ่งเขาไม่ชอบที่จะเห็นมันเลย... “ฮึก...” เธอนั่งยกเข่าขึ้นชันและก้มหน้าลงไปซุกอยู่ตรงนั้นและร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างอ่อนแรง พระนายทนมองดูภาพตรงหน้าแทบจะไม่ไหว เขาค่อย ๆ เดินเข้าใกล้เธออย่างเชื่องช้า ก่อนจะนั่งลงให้ตนเสมอกันกับหล่อน เขามองดูรอยฟกช้ำตามร่างกายและรอยเฆี่ยนที่ยังคงมีรอยเจือจางอย่างสงสารจับใจ และสายตาก็พลันไปสะดุดกับยาทาที่พวงทองคงเอามาวางเอาไว้ก่อนหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบมันและแตะลงไปที่ผิวกายของหล่อนอย่างแผ่วเบา ความแสบปะทุขึ้นมาจนเธอเผลอไหล่สั่น สมองของเธอตอนนี้กำลังสับสนจนเกินจะทนไหว แต่ถึงแม้เธอจะเจ็บที่แผลเพราะถูกแรงกด แต่ก็ถือว่ามันช่างอ่อนโยนและแผ่วเบามากจนเธอไม่คิดจะร่นถอยหนี “หากมีเรื่องทุกข์ใจอันใด...เจ้าสามารถระบายให้ข้าฟังได้” น้ำเสียงอ่อนนุ่มละมุนนั้นมันทำให้เธอเริ่มมีสติ ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องนั้นทำให้เธอเบาใจลงได้ ที่เธอสติแตกเมื่อครู่มันอาจจะเป็นเพราะเสียงดังจากคนที่จอแจอยู่ทางด้านนอก แต่ตอนนี้เสียงเหล่านั้นเงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่ความอบอุ่นจากตัวของเขาที่แผ่ซ่านปกคลุมมาจนถึงตัวเธอให้ได้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย “หากข้าบอกอะไรไป...ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่” เธอถามออกไปทั้งยังก้มหน้าหงุดอยู่เช่นนั้น พิมพิลาไลยพยายามปรับน้ำเสียงและลมหายใจของตัวเองให้คงที่ เขาคนนี้ดูอ่อนโยนและมีเหตุผล หากเธอได้ระบายให้เขาฟังบ้าง...เธออาจจะยกเรื่องทุกข์ใจออกไปได้ส่วนหนึ่ง “ข้าจะเป็นผู้ฟังที่ดี...และจะตอบคำถามของเจ้ายามที่เจ้าต้องการคำตอบ” คำตอบของเขาทำเอาเธอใจชื้น พิมพิลาไลยเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนที่เธอจะหันหน้ามาหาเขาเพื่อจะพูดคุย ส่วนคนที่วันนี้ระวังตัวเองดีแล้ว ก็ไม่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ให้ได้เกิดเรื่องเช่นเมื่อวานขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะมันทำเอาเขาไม่เป็นตัวเองเสียเท่าไหร่... “ท่านจำที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ ว่าข้าเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงของคนป่วย” เธอเริ่มที่จะเล่าเท้าความก่อน ส่วนคนที่จำได้ดีก็พยักหน้ารับให้เป็นคำตอบ “แท้จริงแล้วข้าไม่ได้ฝัน...แต่มันเป็นตัวของข้าจริง ๆ” “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า...ก็ตัวเจ้าอยู่กับข้าตรงนี้” เขาเริ่มถามอย่างไม่เข้าใจ หากเป็นความจริง...แล้วคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นใครกัน?  “พูดไปแล้วมันอาจจะฟังดูเหมือนว่าข้าเป็นคนบ้า...แต่ที่ข้าเห็น มันคือตัวของข้าในภพชาติปัจจุบัน” คนตรงหน้าของเธอเงียบไปทันใดจนเธอเริ่มจะใจเสีย “ข้าคิดไว้อยู่แล้วเชียว...พูดไปก็คงจะไม่มีใครเชื่อ...” “เล่าต่อเถิด...ข้าฟังอยู่” เธอหันมองหน้าเขาทันใดเพราะแปลกใจ “ท่านไม่มองว่าข้าเป็นคนบ้าหรือไร?” “ตัวของข้า...ข้าตัดสินใจเองได้ เล่าเรื่องที่ทุกข์ใจของเจ้ามาก็พอ” ใบหน้าจริงจังของเขาทำเอาเธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ที่ตัวเองพบเจอให้เขาได้ฟัง “จริง ๆ แล้วตัวของข้าไม่ได้ชื่อพิมพิลาไลย แต่ข้าชื่อว่าพิมนภา...ก่อนที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่ฉันบังเอิญไปซื้อตุ๊กตามาตัวหนึ่งจากร้านขายของเก่า มันเป็นตุ๊กตาดินเผาที่เป็นตัวของท่าน...หมายความว่า ตุ๊กตานั้นปั้นขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของท่าน แถมชื่อเสียงเรียงนาม ก็ชื่อเดียวกันกับท่านไม่มีผิดเพี้ยน...” “ข้าหรือ?...แล้วข้าชื่ออันใด?” เธอจับสังเกตุได้ว่าเขาก็ไม่ได้เชื่อเธอมากนัก เลยลองหยั่งเชิงถามดูว่าเธอจะตอบถูกหรือไม่ “แล้วแทนตัวเองว่าฉันเหมือนที่พวกฝารั่งเขาชอบพูดกัน...ไปเรียนมาจากที่ใด” แน่ชัดแล้วล่ะ...ว่าเขาไม่ได้เชื่อเธอ “คนสมัยฉัน...ไม่มีใครแทนตัวเองว่าข้ากันแล้ว ส่วนท่านก็ชื่อ พระนาย บริรักษ์ภัคดี ฉันพูดถูกไหม?” “เล่าต่อเถิด” “ฉันมาที่นี่ครั้งแรกตอนที่ตื่นจากการถูกเฆี่ยนและฉันก็วูบไปอีกครั้ง ตอนนั้นฉันกลับไปที่สมัยของฉันแล้ว แต่พอฉันหลับไปอีกครั้ง...ก็ถูกส่งกลับมาที่นี่ตามเดิม” เธอพูดทั้งยังก้มหน้าลงเพราะน้ำตามันเริ่มจะคลอหน่วย เธอกลัว...กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้กลับไป “ที่เจ้าต้องการจะบอกก็คือ...เจ้าย้อนอดีตกลับมางั้นหรือ?” “ใช่...ฉันต้องการจะบอกเช่นนั้น” เขาพยักหน้าให้เธออย่างเข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงอีกครั้ง “ข้าต้องไปแล้ว...ถ้าหากว่าเหงาก็เดินขึ้นไปหาข้าที่เรือนใหญ่ได้ หากเจ้าเป็นคนสมัยใหม่...ก็คงจะอ่านหนังสือออก ที่ห้องของข้ามีหนังสือมากมาย ถ้าหากสนใจข้าก็เชิญ” เขาว่าจบเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินไปที่ประตูไม้เพื่อจะพาร่างตัวเองออกไป แต่เขากลับหันมาหาเธออีกครั้ง “คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง...ข้าจะไปนั่งเป่าปี่ที่ศาลากลางสวนหย่อม หากอยากฟัง...ก็มาฟังได้” และเขาก็พาร่างสูงโปร่งของตนเองเดินจากไป พิมพิลาไลยนั่งคิดทบทวนว่าเธอควรจะทำเช่นไรต่อไปจากนี้ หากเธอจะต้องอยู่ในโลกนี้จริง ๆ และไม่ได้กลับไปพบกับครอบครัว...เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี พอคิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็พาลไหลออกมาอาบแก้มอีกครั้ง ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมต้องเป็นเธอที่ถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้กันเล่า... . . . “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณท่าน?” พวงทองที่รออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลรีบเดินมาถามผู้เป็นนายทันทีด้วยความเป็นห่วง “หล่อนคงจะจิตวิปลาสอย่างที่เจ้าว่า...” เขาหันกลับไปมองที่ห้องนั้นอีกครั้งด้วยหัวใจที่สิ้นหวังแต่ก็ยังไม่สิ้นสุด “รอดูไปก่อนเถิด...หากจะเป็นอันตราย ข้าจะส่งนางเข้าวังหลวง” “ต้องรุนแรงเช่นนั้นเลยหรือเจ้าคะคุณท่าน” หล่อนถามคุณท่านอย่างตื่นตกใจ การที่ถูกส่งเขาไปในนั้น เธอรู้ดีว่ามันโหดร้ายเพียงใด สำหรับคนที่สติไม่ดีหรือจิตวิปลาส “กฏต้องเป็นไปตามกฏ...ถึงข้าจะรู้สึกถูกชะตาแต่ก็มิอาจจะฝืนกฏได้” เขาว่าจบเท่านั้นก็เดินจากไปให้ผู้เป็นบ่าวได้แต่มองตามอย่างกังวลใจ เพราะหล่อนสัมผัสได้ว่าคุณท่านของเธอดูมีหวังมากเพียงใดตอนที่พาหล่อนกลับมาที่เรือน ปรกติคุณท่านของเธอไปตรวจตราก็มักจะส่งคนที่ถูกขายเข้าวังหลวงให้คนดูแลต่อทันใด แต่กลับนางคนนี้ท่านเลือกจะพาเธอกลับมาด้วย...มันแสดงให้เห็นได้เลยว่าคุณท่านสนใจในตัวของนางมากมายเพียงใด แค่นี้เธอก็ทั้งสงสารและเห็นใจคุณท่านจะแย่แล้ว การเกิดมาไม่ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองควรจะเป็นนั้นมันฝังใจคุณท่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ถายนอกที่ทำดูเหมือนเข้มแข็งแต่ภายในใจลึก ๆ เธอรู้สึกได้ว่าคุณท่านนั้นอ่อนแอ โถ่...คุณหนูน้อยของบ่าว ขอใครใครสักคนมาพาออกไปจากโลกที่แสนโหดร้ายนี้เสียทีนะเจ้าคะ...  ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงพาลให้คนที่ชื่นชอบท้องฟ้ายามค่ำคืนมานั่งอยู่ที่ตรงนี้ พร้อมกับปี่คู่ใจที่ได้หยิบยกขึ้นมาเมื่อใดก็รู้สึกดี ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความเดียวดายเกาะกุมหัวใจเขามาตลอดสามสิบปีนี้ ความลับบางอย่างที่เขาต้องรักษาเก็บไว้ตลอดชั่วชีวิตทำให้เขาไม่สามารถจะรักหรือถูกใจใครอื่นได้ เขาเคยคิดว่าสุดท้ายตัวเองคงต้องตายอย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย...แต่แล้วก็มีเธอเข้ามาเปลี่ยนความคิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะรู้สึกถูกใจ ถูกชะตาใครได้ง่าย ๆ เพราะการสั่งสอนอย่างเคร่งครัดเรื่องการไว้ใจคนนั้นมันค้ำคออยู่ แต่กับเธอคนนั้น...เขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลย...เพียงพบเจอครั้งแรกหัวใจของเขาก็พองโตจนต้องพาหล่อนกลับมาอยู่ด้วย มาอยู่ใกล้ ๆ เพียงแค่อยากเห็นหน้าเธอในทุก ๆ วันก็เพียงเท่านั้น พระนายหยิบปี่คู่กายขึ้นมาก่อนจะเริ่มบรรเลงเป็นบทเพลงเศร้าเพื่อปลอบใจตัวเอง เขามิได้รังเกียจหากหล่อนจะจิตวิปลาสหรือเป็นคนบ้าแต่อย่างใด แต่ถ้าหากเธอเป็นตัวอันตราย เขาก็ต้องส่งเธอไป...ส่งไปลงนรกอยู่ในวังหลวงตามกฎหมายบ้านเมือง บทเพลงไพเราะเสนาะหูแต่แฝงไปด้วยความเศร้าขับกล่อมให้คนที่ได้ยินถึงกับจิตใจเศร้าหมองตามลงไป บ่าวไพร่ทั้งหลายมิชอบวันที่พระจันทร์เต็มดวง เพราะพวกเขาไม่อยากได้ยินบทเพลงแห่งความเศร้าของผู้เป็นนายที่พวกเขาแสนรักและเคารพ ท่อนสุดท้ายจบลงพร้อมกับหัวใจของเขาที่เริ่มหม่นหมอง อยากดูแลรักษาเธอให้หายดี แต่ยังมิอาจรู้อนาคตที่จะมาถึง และเธอ...พอจะหวั่นไหวต่อกันบ้างหรือไม่? “เล่นเพลงเศร้าเช่นนั้น...คนฟังก็อดจะหดหู่ไม่ได้เลยนะเจ้าคะ” เสียงหวานหูดังมาใกล้ ๆ ให้เขาเผลอสะดุ้งตัว เป็นเพราะว่าเวลาบรรเลงดนตรีเขามักจะไม่สนใจรอบข้าง จึงทำให้ใครบางคนเข้ามาได้โดยที่ตัวเขาไม่รู้สึกตัวเลย “เช่นนั้นหรือ...” เธอเดินออกมาจากความมืดก่อนจะนั่งลงอยู่ด้านล่างของเก้าอี้อย่างเจียมตัวเอง “ข้ารู้...ว่าท่านคงจะไม่เชื่อที่ข้าพูด และคงมองว่าข้าสติไม่ดีไปเสียแล้ว...” หล่อนว่าอย่างนั้นทั้งเสียงเศร้าหมอง ซึ่งมันทำให้คนฟังอย่างเขา...ไม่ชอบใจเลย “ข้า...” “มิต้องกังวลไปดอก...หากใครมาพูดกับข้าเช่นนั้น มันก็คงยากที่จะเชื่อเช่นกัน...” เธอว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เจ้าจะไปที่ใด...” “มืดมากแล้ว...ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าคะคุณท่าน” เธอเดินออกไปให้คนด้านหลังได้แต่มองตาม หล่อนเดินก้มหลังเล็กน้อย อาจจะเพราะยังระบมกับแผลที่หลังอยู่ก็เป็นได้ “วันพรุ่งนี้...ข้าขอไปอ่านหนังสือที่ห้องของท่านได้หรือไม่?” “ข้ายินดี...หากบ่าวไพร่ของข้าจะอ่านออกเขียนได้” เขาตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกเศร้าหมองลงทันใดกับคำว่าบ่าวไพร่ที่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็น “ขอบคุณมากเจ้าค่ะคุณท่าน...ฝันดีนะเจ้าคะ” เพียงเท่านั้นหล่อนก็เดินจากไปให้พระนายได้แต่มองตามจนหล่อนลับสายตา “ฝันดี...พิมพิลาไลย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม