ตอนที่ 2
ละอองฝนสาดเข้ามาทางหน้าต่างส่งผลให้ผู้ที่ฟุบหลับอยู่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น หญิงสาวรู้สึกรำคาญใจ ยิ่งลมกรรโชกรุนแรงละอองน้ำก็ยิ่งถูกพัดเข้ามา สตรีงามลุกขึ้นก่อนเดินโซเซเอื้อมมือปิดหน้าต่างบานใหญ่ สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตาทำให้คิ้วสวยขมวดแน่น ดวงตาหรี่ลงพลางกวาดมองไปรอบๆ
แต่เพราะเพิ่งตื่นจากหลับไหล ทำให้นางยังคงรู้สึกงุนงง
นางนั่งเหม่อมองสายตาฝนที่โปรยปรายลงมาพักใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นและกวาดตามองไปรอบๆอีกครั้งเมื่อสติกลับคืน
คิ้วสวยยังคงขมวดแน่น มองไปรอบกายพบว่านางกำลังยืนอยู่กลางห้องขนาดเล็ก นางมองไปยังม่านผืนเก่า ตั่งขนาดเล็ก ข้าวของเครื่องใช้ที่ดูบางตา ก่อนที่เนื้อหาในหนังสือจะไหลเข้ามาในหัว
“ทำไมมัน….”
นางรู้สึกแปลกใจที่สภาพแวดล้อมรอบๆช่างตรงกับเนื้อหาหนังสือที่นางเพิ่งอ่านไป ไป๋เซียนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆในใจ นางหย่อนปลายเท้าลงพื้นก่อนจะเดินสำรวจรอบๆอย่างระมัดระวัง
“จิงหลี่ เธออยู่ไหน”
หญิงสาวเรียกหาผู้จัดการเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่แถวนี้ แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบสงบเท่านั้น ไป๋เซียนใจคอไม่ดี นางค่อยๆแง้มประตูเปิดออกก่อนชะเง้อมองด้านนอก หมู่มวลดอกไม้กำลังเบ่งบานสะพรั่งสู้แสงแดดที่สาดส่อง
ไป๋เซียนก้าวเดินออกมาช้าๆก่อนจะกวาดตามองๆรอบๆอย่างหวาดระแวง ขณะนั้นมีสตรีผู้หนึ่งเดินผ่านมา นางค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนถอยให้หญิงสาวเดินผ่านไปก่อน
ไป๋เซียนมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงก่อนเอ่ยถาม
“เห็นผู้จัดการฉันไหมคะ”
ผู้ถูกถามขมวดคิ้วเอียงศีรษะก่อนส่ายหน้าเชื่องช้า
“บ่าวไม่เห็นเข้าค่ะ”
นางไม่อาจเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเอ่ยถึงผู้ใดจึงได้ตอบปฏิเสธไป ไป๋เซียนมองตามแผ่นหลังบางก่อนถอนหายใจยาว นางมุ่งหน้าไปตามทางเดิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ้นสุดตรงนี้จุดหมายปลายทางจะสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน
“คุณหนูหกจะไปไหนเจ้าคะ”
บ่าวรับใช้สาวที่เดินสวนมาเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าคุณหนูแห่งเรือนเหลียนฮวากำลังเดินเตร็ดเตร่เพ่นพ่าน ทั้งที่ปกติแล้วแทบจะไม่โผล่หน้าออกมาให้ผู้ใดเห็น ทั้งยังชอบเก็บตัวจนผู้คนลืมเลือนว่ามีสตรีชื่อไป๋เซียนอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้
สำนวนการพูดฟังแล้วแปร่งประหลาดนัก ไป๋เซียนไม่ไว้ผู้ใดทั้งสิ้น นางก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนเอ่ยกับบ่าวรับใช้สาว
“ฉันจะไปข้างหน้า แต่ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน”
หญิงสาวเอ่ยถามก่อนที่นางจะมองตรงไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายนั้นชี้ตรงไป เลี้ยวขวาผ่านบ่อน้ำใหญ่เดินไปอีกนิดก็จะถึงหน้าประตูจวน หิงสาวก้าวเดินออกมาก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า ผู้คนแต่งกายคล้ายคลึงกัน ชาวบ้านธรรมดาสวมชุดสีมอซอในขณะที่ผู้มีฐานะสวมอาภรณ์ที่มีสีสัน
ไป๋เซียนไม่ได้สนใจความเหลื่อมล้ำที่อยู่ตรงหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ ขณะที่ความหวาดหวั่นในใจทวีคูณมากขึ้น หญิงสาวยังไม่เข้าใจสถานกาณ์ในยามนี้ นางยังคงสับสนงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ!”
ไป๋ซานชะงักถอยหลังเล็กน้อยเมื่อเด็กสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดเข้ามาประชิดตัว สายตาที่สะท้อนความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยทำให้หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีเจตนาคุกคาม
“คุณหนูออกมาทำอะไรหน้าจวนเจ้าคะ”
สาวรับใช้ประคองผู้เป็นนายกลับไปยังเรือนเหลียนฮวา เมื่อมาถึงนางก็เตรียมต้มสมุนไพรและรินใส่กาน้ำชาเอาไว้ให้ไป๋เซียนดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย
“อีกเดี๋ยวก็เย็นแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูค่อยๆดื่มนะเจ้าคะ”
หญิงสาวไม่ได้สนใจฟัง นางยังคงสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต
“เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
บ่าวรับใช้สาวเห็นผู้เป็นนายนั่งเหม่อลอย ทั้งยังขมวดคิ้วคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ฉันอยู่ที่ไหน”
“จวนตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
“ตระกูลไป๋….ไป๋ซิน”
ไป๋เซียนพึมพำเสียงแผ่วเบา พลางกวาดมองไปรอบๆอีกครั้ง ฉากหนึ่งในหนังสือแล่นผ่านเข้ามาให้ความทรงจำอีกครั้ง
ความว่าไป๋ซินเคยมาเยี่ยมเยียนน้องสาวที่ล้มป่วย ในฉากนั้นมีการบรรยายถึงเรือนเหลียนฮวาอย่างละเอียด
“เป็นไปไม่ได้”
นางไม่มีทางเชื่อว่าตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสือนิยายที่เคยอ่าน ไม่มีทางที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ไป๋เวียนถกเถียงกับตัวเองในใจก่อนที่นางนั้นจะถอนหายใจยาวออกมา
“คุณหนูเจ้าขา คุณหนูใหญ่ฝากสิ่งนี้มาให้เจ้าค่ะ”
ช่วงนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉะนั้นแล้วผู้คนจึงนิยมทำขนมกุ้ยฮวาแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้ คุณหนูไป๋ซินก็เช่นกัน นางมักจะลงมือทำขนมด้วยตัวเองเพื่อนำไปแจกจ่ายให้คนเร่ร่อนและขอทาน
ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ทุกปีจะมีเหล่าคนยากไร้มายืนรอหน้าจวนเพื่อรับขนมจากคุณหนูใหญ่ผู้มีเมตตา
“คุณหนูใหญ่ ไป๋ซินเหรอ?”
“เจ้าค่ะ คุณหนูไป๋ซินแบ่งมาให้เจ้าค่ะ”
เพราะรู้ว่าน้องสาวผู้นี้ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ นางจึงคอยแบ่งปันเสื้อผ้าและอาหารมาให้ไป๋เซียนอยู่เสมอ ไป๋ซินเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ทั้งยังเป็นเพียงผู้เดียวที่คอยช่วยเหลือน้องสาวอย่างไป๋เซียน
“แล้วเธอเป็นใครล่ะ”
บ่าวรับใช้สาวชะงัก หรี่ตามองผู้เป็นนาย นึกสงสัยว่าเหตุใดวันนี้คุณหนูไป๋เซียนถึงได้พูดจาแปลกประหลาดทั้งยังทำราวกับว่าจดจำใครไม่ได้สักคน
“บ่าวคือหลี่ข่าย เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูเจ้าค่ะ”
หลี่ข่ายเป็นสาวรับใช้ของคุณหนูหกไป๋เซียน แต่หากในความเป็นจริงแล้ว นางเป็นญาติผู้น้องของอีกฝ่ายเพราะมารดานางและมารดาของหญิงสาวเป็นพี่น้องกัน แต่เพราะมารดาของไป๋เซียนงดงามกว่าหลายเท่าจึงมีวาสนาได้รับใช้เสนาบดีไป๋ และได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอีกคน
ทว่าหลังจากที่นางคลอดบุตรสาว ความโปรดปรานที่เคยมีให้ก็ลดน้อยลง มารดาของไป๋เซียนตรอมใจรับไม่ได้ที่ถูกสามีผลักไส จนกระทั่งล้มป่วยและสิ้นใจลงเมื่อครั้งที่บุตรสาวอายุเพียงห้าปี
นับตั้งแต่วันนั้นหญิงสาวก็เติบโตในเรือนเหลียนฮวาโดยมีผู้เป็นป้าคอยดูแลรับใช้ เนื่องจากไป๋เซียนนั้นสูงศักดิ์กว่า ต่อให้เป็นญาติสนิทกันเพียงใด พวกนางก็ตระหนักรู้ฐานะของตัวเอง
“คุณหนูจำอะไรไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ”
ไป๋เซียนไม่มีทางเลือกจำต้องพยักหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วนางหาจำสิ่งใดไม่ได้ แต่นางนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับร่างนี้เลยต่างหาก
“เช่นนั้นบ่าวจะไปตามท่านหมอมาตรวจดูนะเจ้าคะ”
หลี่ข่ายกังวลใจเป็นอย่างมาก นางจึงตั้งใจจะเดินทางไปโรงหมอแต่ไป๋เซียนกลับส่ายศีรษะและรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่า
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่หลงๆลืมๆ”
“แต่คุณหนูเจ้าขา….”
“ฉันขอนอนสักหน่อยก็แล้วกัน”
จนถึงตอนนี้นางคิดว่าตัวเองอาจอยู่ในความฝัน หญิงสาวล้มตัวลงนอนก่อนพยายามข่มตาหลับ แต่ทว่าเวลาผ่านไปนานว่าสองเค่อแววตาว่างเปล่ากลับจับจ้องอยู่บนคานไม้สูง
นางไม่อาจบังคับให้ร่างกายคล้อยตามจิตใจ สุดท้ายแล้วก็หยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนเดินออกไปนอกเรือน
ขณะที่กำลังเดินสำรวจหาทางออกไปจากที่นี่ ขณะนั้นเสียงใครบางคนก็เอ่ยเรียกจากทางด้านหลัง ไป๋เซียนหันกลับไปมองก่อนใช้สายตาพิจารณาอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง
“เซียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังจะไปที่ใด”
น้ำเสียงอ่อนหวานกังวาน ใบหน้าขาวนวลเนียนผ่องใส คิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกสันโด่ง ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากกระจับเล็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้ไป๋เซียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครบางคนที่นางนั้นคลับคล้ายว่าจะรู้จักเป็นอย่างดี
“ไป๋ซิน?”
“ข้าเอง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
“มะ ไม่จริง”
ไป๋เซียนไม่อาจเชื่อได้ว่านี่คือเรื่องจริง นางหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสือนิยายที่กำลังอ่านอยู่ ที่ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้พบไป๋ซินและยังมีวาสนาได้เป็นถึงน้องสาวนางเอก
แต่เดี๋ยวก่อน!
หากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่านางเป็นเพียงตัวประกอบงั้นเหรอ ไป๋เซียนในนิยายแทบไม่มีบทบาทเสียด้วยซ้ำ หากจำไม่ผิดอีกฝ่ายโผล่มากเพียงแค่สามสี่ตอน แต่ละตอนยาวไม่ถึงหนึ่งหน้า
หญิงสาวไม่อาจยอมรับได้ นางเคยหมู่ดาวท่ามกลางมวลผกา จะให้นางกลายเป็นกรวดหินไร้ค่าในโลกนี้ได้อย่างไร
“ถ้าท่านคือไป๋ซิน เช่นนั้นตอนนี้ท่านกำลังหมั้นหมายอยู่กับจางเหยียนเหอใช่หรือไม่”
ใบหน้างามของผู้เป็นพี่หม่นลงเล็กน้อยก่อนที่นางจะพยักหน้าช้าๆ หากพูดถึงจางเหยียนเหอแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบุรุษอีกคน
“งั้นแสดงว่าท่านก็รักกับแม่ทัพจางเหยียนหลงอยู่น่ะสิ”
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรเอ่ยเช่นนั้น!”
ไป๋ซินรีบปรามน้องสาวก่อนที่ทั้งสองจะปลีกตัวออกมาพูดคุยกันเพียงลำพัง หยิงสาวรู้สึกแปลกใจที่น้องสาวของนางรู้เรื่องจางเหยียนหลง ทั้งที่ความสัมพันธ์ของนางและเขาควรถูกปกปิดเป็นความลับเพื่อรักษาเกียรติของตระกูลทั้งสอง
“เจ้ารู้เรื่องข้ากับท่านแม่ทัพจางได้อย่างไร”
ผู้เป็นพี่คาดคั้นเอาความ นางอยากรู้ว่าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายไปถึงหูน้องสาวได้อย่างไร ไป๋เซียนครุ่นคิดหาคำตอบ ครั้นจะให้บอกไปตามตรงว่านางทะลุมาจากโลกอื่น ผู้คนก็คงได้คิดว่านางวิปลาสเป็นแน่
เรื่องแบบนี้เล่าให้ผู้ใดฟังคงไม่พ้นถูกหัวเราะเยาะกลับมา
“ก็สายตาท่านมันฟ้อง”
แววตาของไป๋ซินยามเอ่ยถึงจางเหยียนหลงมักจะมีประกายบางอย่างพาดผ่านอยู่เสมอ ตรงตามเนื้อหาในหนังสือทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ไป๋ซินหาได้เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย นางหวั่นใจกลัวว่าจะมีผู้คนรู้เรื่องนี้นอกเหนือจากไป๋เซียน
แม้ว่าลึกๆในใจของนางนั้นมีเพียงแม่ทัพหนุ่ม แต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล นางจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนใจหมั้นหมายกับจางเหยียนเหอ ตามที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไร แต่ข้าขอร้อง อย่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายให้ผู้ใดรับรู้”
“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก”
ไป๋เซียนคำมั่นสัญญา นางไม่ใช่คนปากมาก ฉะนั้นแล้วต่อให้นางล่วงรู้ความลับของอีกฝ่ายก็
ไม่ได้คิดจะเล่าให้ใครฟัง น่าเสียดายนักที่นางยังอ่านนิยายเรื่องนั้นไม่จบ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวของไป๋เซียนและจางเหยียนหลงจะเป็นเช่นไรต่อไป