จดหมายผนึกด้วยขี้ผึ้งถูกวางไว้ที่ริมหนาต่างเรือน ไป๋ซินกำลังเหม่อมองออกไปด้านนอกเหลือบไปเห็นเข้าจึงค่อยๆหยิบขึ้นมา หลังจากที่ขอให้บ่าวรับใช้สาวออกไปข้างนอก นางก็นั่งลงบนเตียงใหญ่ก่อนเปิดดูอย่างช้าๆ คลี่ออกดูแล้วสายตาคู่สวยก็กวาดมองอักษรลายตวัด
ไป๋ซินถอนหายใจยาว เมื่อได้อ่านข้อความเชิญชวนกึ่งบังคับของจางเหยียนหลง
นางยอมรับว่าหัวใจรักมั่นเพียงเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอือมระอาในพฤติกรรมบางอย่าง แม้นางไม่อยากตามใจเขาแต่ก็ยังคงออกไปพบชายคนรักทุกครั้งที่เขาต้องการ
นั่นไม่ใช่เพราะนางกลัวเขาโกรธ แต่เป็นเป็นเพราะหัวใจของนางก็ร่ำร้องหาเขาเช่นกัน
ไป๋ซินรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ให้ผู้ใดรับรู้ เรื่องระหว่างนางกับจางเหยียนหลงเป็นเพียงความลับที่ต้องเก็บซ่อนอย่างมิดชิด ไม่อาจเปิดเผยได้
แม้ตำแหน่งขุนนางของเขาจะสูงกว่าจางเหยียนเหอหนึ่งขั้น แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะคุณชายตระกูลจาง เขากลับต้อยต่ำกว่าน้องชายมากนัก
มารดาของเขาเป็นเพียงฮูหยินรอง ตระกูลเดิมเป็นเพียงชาวนายากจนแต่เพราะความงามที่โดดเด่น ทำให้บิดาของเขานั้นตัดสินใจรับอีกฝ่ายเข้าจวน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเทียบเคียงฮูหยินใหญ่ที่มาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงได้
มารดาของชายคนรักสร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้ผู้คนในจวน เนื่องจากนางไร้การศึกษาไม่รู้ขนบธรรมเนียมและกฏเกณฑ์ของการเป็นสตรีที่ดี ทำให้เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นถูกสามีหมางเมิน ความโปรดปรานที่เคยมีให้กลายเป็นเพียงเรื่องราวความหลังที่ไม่อาจย้อนกลับคืนมา ความเลวร้ายของผู้เป็นแม่ส่งผลกระทบต่อบุตรชายอย่างจางเหยียนหลงโดยตรง แม้จะเป็นพี่ชายคนโตแต่เขากลับถูกริดรอนทุกสิ่งอย่างที่ควรเป็นของเขา ทั้งบิดาก็ไม่เคยสนใจใยดี หากไม่เพราะเขานั้นมีความอดทนและทะเยอทะยาน คงไม่อาจก้าวข้ามเส้นสายตระกูลโจวเพื่อแย่งตำแหน่งแม่ทัพมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นบุตรชายที่ไร้ความโปรดปรานจากบิดาอยู่ดี
ไป๋ซินคิดไม่ตกว่าควรทำเช่นไร บิดาของนางรู้เรื่องราวภายในภายใจจวนตระกูลจางดี ถึงได้ปฏิเสธไม่ยกนางให้จางเหยียนหลง ตัวนางเองก็ไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้บิดารับรู้
เก็บงำความลับไว้เช่นนี้ถือเป็นการประวิงเวลาที่ดีที่สุด
หากในวันหน้านางไม่อาจหลีกเลี่ยงจำต้องร่วมหอลงโลงกับจางเหยียนเหอ อย่างน้อยในเวลานี้ก็ขอให้นางได้เก็บเกี่ยวความสุขกับชายคนรักให้ได้มากที่สุด
ในยามนั้นนางแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าบิดาร่างสัญญาหมั้นหมายระหว่างนางกับจางเหยียนเหอขึ้นมา แม้เขาจะเป็นบุรุษที่ดีแต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนความรู้สึกในใจนางได้ หญิงสาวรู้สึกผิดทุกครั้งที่พยายามผลักไส แต่นางต้องการแสดงให้เขาเห็นว่านางไม่อาจมอบหัวใจดวงนี้ให้เขาได้
จางเหยียนเหอรู้ดีถึงความสัมพันธ์ลับของนางและแม่ทัพหนุ่ม แต่เขาก็เลือกที่จะเมินเฉย หากเป็นบุรุษอื่นคงจะถอนหมั้นและนำเรื่องนี้ไปประจานแพร่งพรายนานแล้ว
ไป๋ซินเผาจดหมายทิ้ง มองเถ้าถ่านที่ตกลงสู่พื้น นางอาจเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในเรือนได้ เพราะหากถูกค้นพบ ผู้ที่จะเดือดร้อนไม่ได้มีแค่นางแต่รวมทั้งบุรุษอันเป็นที่รักอย่างจางเหยียนหลง
ที่ตลาดช่วงบ่ายคล้อยยังคงมีผู้คนพลุกพล่าน หญิงสาวกระชับผ้าที่คลุมใบหน้าก่อนที่นางนั้นจะหลุบหายเข้าไปในตรอกเล็กข้างโรงสุรา สองขาก้าวตรงไปด้านหน้าโดยมีบ่าวรับใช้สาวคอยดูต้นทางให้
“เหตุใดเจ้ามาช้านัก”
เสียงทุ้มดุดันเอ่ยถามพลางรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ ลมหายใจร้อนพ่นรดใบหน้างามจนเปลือกตานั้นกระพริบถี่ด้วยความระคายเคือง
“ข้าต้องรอให้ท่านแม่งีบหลับ”
หญิงสาวกล่าวพลางเงยมองชายคนรัก ในแววตาของเขาส่องสะท้อนภาพนางขณะที่สบตากัน จางเหยียนหลงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกันเสียงคนโหวกเหวกโวยวายก็ทำให้ทั้งสองต้องรีบหลบเข้าซอกหลืบแคบ ความใกล้ชิดทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกาย นางเงยหน้าสบตาชายคนรักอีกครั้ง
“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้”
เขาเอ่ยเสียงเล็ดลอดไรฟัน เสียงนั้นกระซิบแต่ทว่ายังคงแฝงความดุดันเอาไว้ หญิงสาวเม้มปากแน่น แม้นางจะรักเขาเพียงใดแต่ก็ไม่เคยชินชาในความแข็งกร้าวไร้ความอ่อนโยนของอีกฝ่าย
ความรักที่เขามอบให้นั้น มันร้อนแรงจนแทบจะแผดเผาตัวนางให้มอดไหม้
ดอกไม้งามควรได้รับการทะนุทนอม ไม่ใช่ถูกบดขยี้จนบอบช้ำเช่นนี้
จางเหยียนหลงผู้ไม่เคยได้รับความรักจากใคร เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะถ่ายทอดความรู้สึกในใจอย่างไร พยัคฆ์ร้ายสนามรบกลับกลายเป็นคนโง่เง่าในสนามรัก เขารู้ว่าบางครั้งก็เผลอทำร้ายจิตใจสตรีอันเป็นที่รัก แต่ปากหนักเกินกว่าที่จะเอ่ยขอโทษนาง
“ท่านเรียกข้ามา แต่ไม่ให้ข้ามองหน้า เช่นนั้นก็ปล่อยข้ากลับเถิดเจ้าค่ะ”
หญิงสาวตัดพ้อด้วยความน้อยใจ นางอุตส่าห์เดินทางออกมาจากจวน เดินเท้ามาตั้งไกลเพียงเพราะใจนั้นปรารถนาที่จะได้พบหน้าเขา ทว่าเขากลับสั่งห้ามไม่ให้มองใบหน้าที่เฝ้าฝันถึงในทุกค่ำคืน
หญิงสาวน้อยใจจนน้ำตารื้น นางดันเขาออกก่อนหันหลังตั้งใจจะเดินจากไป
แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วพลางหรี่ตามองหญิงคนรัก เขาร้อนรนไม่รู้จะทำเช่นไรจึงเอื้อมมือไปกระชากหญิงสาวเข้ามาในอ้อมแขน
“เหตุใดเจ้าต้องโกรธเคือง”
ที่เขาไม่ต้องการให้นางเงยหน้ามองนั้น เพราะกลัวว่าจะไม่อาจระงับความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งพล่านได้ แต่เขาไม่รู้จะอธิบายให้นางฟังอย่างไร ชายหนุ่มหัวทึบทื่อเขากลอกตาไปมาราวกับคนโง่งม
“ท่านไม่ต้องการเห็นหน้าข้า”
เดิมทีไป๋ซินหาใช่สตรีงี่เง่าไร้ซึ่งเหตุผล แต่ยามที่อยู่ต่อหน้าจางเหยียนหลง นางกลับกลายเป็นเช่นนั้นไปเสียได้ หยิงสาวพยายามแล้วที่จะกักเก็บท่าทางและความรู้สึก แต่นางก็เผลอปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
“ข้าหาได้เอ่ยเช่นนั้น”
เขาเอ่ยก่อนรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด เพียงความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ความขุ่นข้องหมองใจก็มลายหาย แขนสองข้างยกเกี่ยวเอวสอบพลางซบใบหน้าลงบนอกแกร่ง
“ข้าคิดถึงเจ้า”
เขาเอ่ยเสียงกระซิบพลางกดจมูกลงบนศีรษะไป๋ซิน หญิงสาวยกยิ้มบาง คำพูดของแม่ทัพหนุ่มทำให้นางนั้นรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ทั้งสองโอบกอดกันอยู่อย่างนั้นนานราวหนึ่งก้านธูป ก่อนผละออกจากกันเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา แต่คนผู้นั้นหาใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของแม่ทัพหนุ่ม ที่เข้ามารายงานเรื่องเร่งด่วน
“ขออภัยท่านแม่ทัพ มีรับสั่งด่วนจากฝ่าบาทให้เข้าเฝ้าตอนนี้ขอรับ”
หญิงสาวสบตาชายคนรักก่อนพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองนางพร้อมที่จะสละเวลาส่วนตัวเพื่อให้เขานั้นได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ข้าจะให้คนของข้าคุ้มกันเจ้าระหว่างเดินทางกลับจวน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา ขณะนั้นจางเหยียนหลงจ้องมองใบหน้างามอย่างชั่งใจก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าฉกชิมริมฝีปากนางอย่างถือวิสาสะ
“ทะ ท่านแม่ทัพ!”
หญิงสาวผงะใบหน้าแดงก่ำ นางมองเขาเดินจากไปขณะที่ก้อนเนื้อข้างซ้ายสั่นไหวรุนแรง หญิงสาวเดินออกมาจากตรอกโดยมีคนของจางเหยียนหลงเดินตามอยู่ห่างๆเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย
ค่ำคืนนั้นหลังจากที่บ่าวรับใช้หลับสนิท ไป๋ซินเดินมานั่งริมหน้าต่าง ยามค่ำคืนอากาศหนาวเย็นและเงียบเหงา หัวใจของนางทวีความคิดถึงที่มีต่อชายคนรัก นางหนุนศีรษะด้วยแขนสองข้างที่วางซ้อนอยู่บนขอบหน้าต่างก่อนช้อนตามองดวงดาวที่กระจายอยู่เต็มผืนฟ้า
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวด้านล่างทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว นางพยายามเพ่งสายตามอง แต่เพราะความมืดมิดจึงไม่อาจสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ในนั้น ไป๋ซินคว้าถ้วยน้ำชาก่อนจะโยนลงไปจนสุดแรง แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้ยินเสียงสิ่งของที่ตกกระทบลงบนพื้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ขณะนั้นใครบางคนก็เดินออกมาจากเงามืดหลังพุ่มไม้ เขาถอดผ้าคลุมใบหน้าออกก่อนเงยมองหญิงสาวที่เบิกตากว้าง
“ท่านแม่ทัพ!”
ไป๋ซินหันมองบ่าวรับใช้สาวที่นอนอยู่บนพื้นก่อนที่นางนั้นจะค่อยๆย่องออกจากห้องอย่างช้าๆ มือบางรั้งข้อมือหนาก่อนพาเขาเข้าไปในห้องเก็บของหลังจวน
“ท่านเข้ามาในจวนได้อย่างไร”
ที่นี่มีเวรยามตลอดทั้งคืน คอยสำรวจตรวจตราความปลอดภัย นางจึงเกรงว่าหากมีใครมาพบเขาเข้าอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่
“อย่ากังวลใจไป ไม่มีใครรู้หรอกว่าข้ามาที่นี่”
“ท่านมั่นใจได้อย่างไร”
หญิงสาวร้อนใจ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าความเดือดร้อนจะมาสู่ตัวนาง แต่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของชายคนรักต่างหาก จึงได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปก่อนที่เวรยามจะเดินผ่านมายังบริเวณนี้
แม่ทัพหนุ่มรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ก่อนที่เขานั้นจะโน้มใบหน้าหวังฉกชิมความหวานจากริมฝีปากแดงเรื่อ แต่หญิงสาวกลับดันแผงอกจางเหยียนหลงเอาไว้
“ท่านแม่ทัพ ได้โปรด กลับไปเสียเถิด”
นางเอ่ยขอร้องเสียงหวานจนชายหนุ่มอดรนทนไม่ไหว เขารั้งใบหน้านางขึ้นก่อนกดริมฝีปากบดขยี้ความงามตรงหน้าอย่างไม่ปรานี กำปั้นเล็กทุบอกแกร่งหลายครั้งพลางส่งเสียงร้องอื้ออึงในลำคอ จางเหยียนหลงเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ไป๋ซินกอบโกยลมหายใจ
อาภรณ์ของนางถูกปลายนิ้วชายหนุ่มรั้งจนหลุดร่วงลงมาที่ไหล่ ขณะนั้นสติของหญิงสาวกลับคืน นางไม่รอช้ารีบดันเขาออกทันที
แม่ทัพหนุ่มอารมณ์พุ่งพล่าน เขาต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับหญิงสาวเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดแน่นมาตลอดหลายปี แต่ไป๋ซินไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างเกินเลยไปมากกว่านี้
จางเหยียนชะงักหลงก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนหลับตาลงสูดลมหายใจลึก หลังจากที่ตั้งสติได้เขาก็ลืมตามองหญิงคนรักที่นั่งอยู่บนก้อนฟาง นางหลุบตาลงเมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาของคนตรงหน้า
“ข้าไม่ทันยั้งคิด ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้านั้นมีคู่หมั้นแล้ว”
เขาประชดประชัน ด้วยเข้าใจว่าที่หญิงสาวปฏิเสธก็เพราะเกรงใจจางเหยียนเหอ แม่ทัพหนุ่มมีสีหน้าเย็นชา สายตาดุดันคู่นั้นจ้องมองหญิงคนรักนิ่ง ไม่ทันฟังเหตุผลก็แสดงท่าทางมึนตึงใส่หญิงสาวเสียแล้ว
“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
หญิงสาวพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าแม่ทัพหนุ่มจะหูดับไปเสียแล้ว เขาสะบัดผ้าก่อนคลุมใบหน้ามิดชิดและก้าวออกไป ทิ้งให้ไป๋ซินมองตามด้วยสายตาที่หมองหม่น นางเหนื่อยหน่ายใจเหลือเกิน แม้รักเขาเพียงใดก็อดเอือมระอาไม่ได้
หากไม่เพราะรัก นางคงไม่อดทนถึงเพียงนี้ หญิงสาวถอนหายใจยาวพลางขยับอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังและเดินกลับเข้าไปในเรือน เห็นบ่าวรับใช้สาวยังคงหลับสนิทก็โล่งใจ
ค่ำคืนนั้นหญิงสาวนอนไม่หลับ คิดมากเรื่องจางเหยียนหลงจนไม่อาจข่มตาลง นางหวั่นใจกลัวว่าเขาจะกอบเก็บความรู้สึกที่คั่งค้างและนำมันไปมอบให้สตรีอื่น ไป๋ซินกระสับกระส่ายก่อนผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกกังวลใจ
จางเหยียนหลงเข้าใจไป๋ซินผิดคิดว่านางนั้นแปรเปลี่ยนใจจึงได้ฉุนเฉียวตลอดทั้งวัน แม้แต่บ่าวรับใช้คนสนิทก็ยังโดนขับไล่ระเห็จระเหินออกจากเรือน ชายหนุ่มกวาดตำราบนโต๊ะร่วงหล่นเต็มพื้นก่อนที่เสียงฝีเท้าใครบางคนจะเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาเข้าใจว่าเป็นบ่าวรับใจจึงสบถด้วยความโมโห แต่แท้จริงแล้วผู้ที่มาเยือนคือต้นเหตุที่ทำให้เขานั้นรู้สึกหมางใจต่อหญิงคนรัก
จางเหยียนเหอมองสภาพห้องตำราที่เต็มไปด้วยข้าวของกระจัดกระจาย เขาถอนหายใจก่อนพับเก็บพัดในมือและเหน็บข้างเข็มขัด
“เจ้ามาทำไม!”
แม่ทัพหนุ่มตวาดถามเสียงดุดัน จางเหยียนหลงมักใช้อำนาจและกำลังข่มขู่ผู้อื่นอยู่เสมอ แต่จางเหยียนเหอไม่เคยนึกกลัว เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าต่อปากต่อคำกับพี่ชาย
เสนาบดีหนุ่มเดินเลี่ยงไปที่ชั้นไม้ ก่อนที่เขานั้นจะเลือกตำรามาสองสามเล่มและนั่งลงบนตั่งตัวยาวพลางเหลือบมองพี่ชายที่ยืนหน้าดำหน้าแดง ดวงตาดุดันแข็งกร้าวจ้องเขาเขม็ง
“นางทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองใจ”
เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาอยากรู้ว่าทั้งสองมีปัญหาบาดหมางอะไรถึงทำให้พี่ชายของเขาคลุ้มคลั่งมากถึงเพียงนี้
“ไม่ใช่นาง แต่เป็นเจ้า!”
จางเหยียนเหอละสายตาจากตำราก่อนเงยมองพี่ชายและกระตุกยิ้ม เมื่อวานเขาเข้าร่วมประชุมที่ราชสำนัก เมื่อตกกลางคืนก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ฉะนั้นแล้วเขาจะมีเวลาไปกวนใจอีกฝ่ายได้อย่างไร
“เข้าใจผิดแล้วพี่ใหญ่ ข้ากับท่านหาได้มีเรื่องบาดหมาง”
ตัวเขาไม่เคยหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน เมื่อครั้งยังเด็กมารดามักสอนเสมอว่าไม่ควรกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเช่นไรก็ปล่อยผ่านไป อย่าได้เสียเวลานำทองไปแลกเกลือเป็นอันขาด
จางเหยียนเหอจดจำคำพูดนั้นได้ดีเสมอ แม้ว่าจางเหยียนหลงจะพยายามรังแกแต่เขาก็ไม่เคยโต้ตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเพราะท้ายที่สุดแล้ว จางเหยียนหลงก็ต้องรับชอบชอบผลของการกระทำด้วยตนเอง
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ที่เจ้าไปพบไป๋ซินบ่อยครั้งก็เพื่อยั่วโทสะข้า”
“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากไปหรือเปล่า”
หากเขามั่นใจว่านางรักมั่นซื่อสัตย์แล้วจะกลัวสิ่งใด ไป๋ซินไม่เคยออกมาพบหน้าเขาสักครั้ง นางบ่ายเบี่ยงมาตลอดหลายปีเรื่องนี้จางเหยียนหลงเองก็รู้ดี แล้วเหตุใดถึงยังหวาดระแวงแคลงใจในตัวนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดกับนาง แต่เจ้าอย่าได้หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ”
แม้จะเอ่ยออกไปแบบนั้น แต่ในใจของเขากลับหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา จางเหยียนหลงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆแล้วเขานั้นก็หวาดกลัว กลัวว่าสักวันความพยายามของจางเหยียนเหอจะสำเร็จลุล่วง
“พี่ใหญ่ หากวันหนึ่งนางจะเปลี่ยนใจคงไม่ใช่เพราะข้า แต่เป็นเพราะท่านต่างหาก”
จางเหยียนหลงไม่เคยเข้าใจความต้องการของไป๋ซิน เขารักนางแต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ คอยแต่จะตักตวงเอาเปรียบหญิงสาว จางเหยียนเหอใช่ไม่รู้ไม่เห็นยามที่ทั้งสองลักลอบพบกัน
และการกระทำของพี่ชายอยู่ในสายตาของเขามาตลอดหลายปี
เสนาบดีหนุ่มจึงเรียนรู้ที่จะใช้ความอ่อนโยนเพื่อทลายกำแพงในใจของหญิงสาว ทว่านางกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใกล้ชิดเลยแม้แต่น้อย แผนการแทรกซึมจึงเป็นอันต้องจบสิ้นลง
จางเหยียนเหอส่งตำราทั้งสามเล่มให้บ่าวรับใช้คนสนิทก่อนที่เขาจะเดินทางไปพบผู้เป็นแม่ที่เรือนของนาง สตรีวัยกลางคนยังคงงดงามไม่เปลี่ยน ปลายพู่กันสะบัดไปทั่วทั้งผืนผ้าปรากฏเป็นรูปวาดของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้าง เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่นางเอาแต่วาดรูปบุตรชาย ความใส่ของผู้เป็นแม่ที่ต้องการจดบันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญของเขาทำให้จางเหยียนเหอนั้นรู้สึกซาบซึ้งในความรักและความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายมอบให้
มารดาของเขานามว่าเจียอี้มาจากตระกูลขุนนางแซ่กู่ ตระกูลขุนนางที่สืบทอดตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เจียอี้เป็นสตรีงดงามทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่งามที่สุดในแผ่นดิน ในเวลานั้นไม่มีสตรีบ้านไหนเทียบเคียงนางได้ แม่สื่อต่างหลั่งไหลเข้าไปที่จวนตระกูลกู่ หว่านล้อมเกลี้ยกล่อมอวดอ้างคุณสมบัติผู้ว่าจ้างหวังให้หญิงสาวนั้นยอมตกลงปลงใจ
แต่ ณ เวลานั้นนางหมั้นหมายกับบิดาของเขาเอาไว้แล้วจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการจับคู่ จำต้องเข้าพิธีแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่หลังจากนั้นไม่นานความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาก็แน่นแฟ้น บิดาของเขาทั้งรักใคร่และดูแลประคบประหงมมารดา
สร้างความอิจฉาริษยาให้กับมารดาของจางเหยียนหลงและอนุคนอื่นๆเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ ข้อมือท่าน…”
เห็นว่ามีผ้าพันอยู่ที่ข้อมือของผู้เป็นมารดาชายหนุ่มก็กังวลใจ เขาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยพลางประคองมืออีกฝ่ายขึ้นมาพลิกดูอย่างช้าๆ เจียอี้ยกยิ้มอ่อนโยนก่อนวางมือลงบนบ่ากว้าง
“ข้อมือแม่แค่เคล็ดเท่านั้น อย่าได้กังวลไปเลย”
ได้ยินเช่นนั้นก็คลายใจ เจียอี้หมุนข้อมือข้างที่บาดเจ็บเล็กน้อยก่อนที่เธอนั้นจะเอ่ยถามบุตรชาย
“ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับคณะทูตบ้างหรือไม่”
เพราะเป็นห่วงสามีที่เดินทางไปได้หลายวันแล้ว ทั้งเห็นว่าบุตรชายนั้นเพิ่งเข้าประชุมในราชสำนักเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงคิดว่าเขาน่าจะรู้ข่าวคราวของผู้เป็นบิดา
ทว่ายังไม่มีผู้ใดส่งสาร์นกลับมา ทำให้จางเ**ยนเหอไม่อาจรู้ได้ว่ายามนี้คณะทูตเดินทางถึงไหนแล้ว
“ยังไม่มีผู้ใดส่งข่าวกลับมาเลยขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้างามก็หม่นลง นางวางพู่กันบนแท่นหมึกก่อนสะบัดมือไล่บ่าวรับใช้สาวให้ออกไปรอด้านนอก เนื่องจากนางนั้นมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับบุตรชายเป็นการส่วนตัว
“ป่านนี้อาจเดินทางถึงแล้วก็เป็นได้”
เจียอี้พึมพำ นึกเป็นห่วงความปลอดภัยของสามีแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากคิดอะไรในแง่ร้าย ขบวนราชทูตมีทหารคุ้มกันหลายร้อยชีวิต คงไม่อาจเพลี้ยงพล้ำได้โดยง่ายหากถูกดักโจมตี
“ท่านแม่มีสิ่งใดอยากคุยกับข้าใช่หรือไม่”
เห็นว่าอีกฝ่ายไล่บ่าวรับใช้ออกไปก็คาดเดาได้ว่าอาจมีเรื่องสำคัญต้องการหารือกัน เจียอี้พยักหน้าก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อยให้พอดับกระหาย
“หลายวันมานี้แม่เห็นซีซวนเดินทางออกจากจวนบ่อยครั้ง”
เวรยามที่เฝ้าประตูเป็นผู้แจ้งเรื่องนี้กับนาง โดยเล่าว่าอีกฝ่ายนั้นจ่ายสินบนแลกกับการปกปิดเรื่องที่นางเดินทางออกไปข้างนอกยามวิกาล เจียอี้กังวลใจกลัวว่าซีซวนนั้นจะวางแผนทำเรื่องไม่ดี นำพาความเดือดร้อนมาสู่ตระกูลจาง
“แม่ไม่อยากเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องของนาง แต่ก็อดไม่ได้”
ในฐานะฮูหยินใหญ่ นางมีหน้าที่สอดส่องดูแลทุกคนในจวนตระกูลจาง เพราะรู้ว่าซีซวนนั้นเป็นคนเช่นไร นางจึงต้องจับตาดูอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ
มารดาของจางเหยียนหลงเป็นเพียงฮูหยินรองจากตระกูลชาวนายากจน ทั้งสองมักปะทะคารมกันบ่อยครั้งในหลายๆเรื่อง แต่ท้ายที่สุดแล้วเจียอี้ก็เป็นผู้ชนะเสมอมา
เรื่องนี้กลายเป็นปมแค้นภายในใจของซีซวน นางเก็บซ่อนความอิจฉาริษยาแต่ยังคงพยายามหาทางกระชากเจียอี้ลงจากตำแหน่งฮูหยินใหญ่ น่าเสียดายที่เสนาบดีจางนั้นโปรดปรานฮูหยินของเขาเป็นอย่างมาก ทำให้ซีซวนไม่อาจเอาชนะกู่เจียอี้ได้
ยิ่งเห็นว่าสามีนั้นเมินเฉยนางก็ยิ่งเรียกร้องความสนใจด้วยการสร้างความเดือดร้อน ให้คนในจวนต้องตามเก็บกวาดแก้ไขปัญหา
หลายปีก่อนซีซวนเคยถูกขับไล่ออกจากจวน แต่เพราะจางเหยียนหลงที่อายุเพียงแปดปีในเวลานั้นได้คุกเข่าอ้อนวอนขอรับความผิดแทนมารดา ทำให้เสนาบดีจางใจอ่อนยอมให้อภัย แต่ทว่าซีซวนก็ไม่ได้ซาบซึ้งในการกระทำของบุตรชายและไม่ได้สำนึกเลยว่าสิ่งที่นางทำนั้นสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากเพียงใด
เสนาบดีจางเอือมระอาเป็นอย่างมาก แต่เพราะเห็นแก่บุตรชาย เขาจึงยอมให้อภัยเสมอมา
“ข้าจะส่งคนไปสืบให้ ขอท่านแม่อย่าคิดมาก”
พักนี้มารดาสุขภาพไม่ค่อยดีนักเนื่องจจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งบ่าวรับใช้ยังรายงานว่านางทานอาหารได้น้อยลง ทำให้ชายหนุ่มเกิดความกังวลใจ
“แม่ก็ไม่ได้สนใจนางนักหรอก แต่หลายครั้งที่นางชักศึกเข้าบ้าน แม่เองก็เอือมระอานางเต็มทน”
หญิงวัยกลางคนกล่าวก่อนเอนกายพิงพนัก นางเครียดสะสมมานานหลายปีจนถึงวันนี้สุขภาพทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด
“หากเกินที่จะแก้ไขควบคุม เห็นทีคงต้องเด็ดขาดกับนาง”
เพื่อความสงบสุขของผู้คนในจวน จางเหยียนเหอจึงตั้งใจจะนำเรื่องนี้ไปเจรจากับจางเหยียนหลงหวังว่าอีกฝ่ายนั้นจะช่วยคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของซีซวน คงไม่มีใครที่จะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้ดีเท่าจางเหยียนหลงอีกแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ต้องหาทางสำรองเพื่อรับมือกับสตรีวัยกลางคน ซีซวนมักทำเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ นางสร้างความเดือดร้อนมาหลายครั้ง ถูกลงโทษมาสารพัดอย่างแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำของอีกฝ่ายได้เสียที
จางเหยียนเหอเห็นว่าหากครั้งนี้เลวร้ายกว่าที่ผ่านมา บิดาของเขาคงต้องจัดการอีกฝ่ายขั้นเด็ดขาดเป็นแน่ ดีไม่ดีนี่อาจเป็นฉนวนเหตุให้เกิดเรื่องราวเลวร้ายในภายภาคหน้าก็เป็นได้ เสนาบดีหนุ่มครุ่นคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด และแผนการแรกที่เขานั้นคิดได้คือการจับมือกับจางเหยียนหลงเพื่อหยุดยั้งซีซวน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจรับประกันได้
ว่าอีกฝ่ายจะร่วมร่วมมือหรือไม่ แม้จางเหยียนหลงจะยึดถือความถูกต้องเป็นอันดับหนึ่งเสมอ แต่เขาคงไม่อาจละทิ้งความกตัญญูได้เช่นกัน