ตอนที่5

4065 คำ
ผู้คนหลบหลีกรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านถนนคับแคบ จางเหยียนเหอนั่งอยู่ด้านในด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของเขาถือตำราบันทึกประวัติศาสตร์สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน ชายหนุ่มมักใช้เวลาว่างเพื่อศึกษาเรื่องราวบ้านเมืองมากกว่าดื่มเหล้าเคล้านารีหรือพูดคุยเรื่องไร้สาระ “มู่เฉิง ถึงไหนแล้ว” เขาเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่นั่งอยู่ด้านนอกเคียงข้างผู้บังคับม้า บุรุษต่ำศักดิ์กว่าชะโงกหน้าเข้ามาก่อนเอ่ยตอบ “เลี้ยวขวาด้านหนาก็ถึงจวนตระกูลไป๋แล้วขอรับนายท่าน” จางเหยียนเหอเพียงพยักหน้าก่อนหลุบตามองตำราที่เขานำมาด้วย เมื่อหลายวันก่อนได้พบว่าที่พ่อตาเข้าโดยบังเอิญจึงได้สนทนากัน เสนาบดีไป๋ซานกล่าวว่าบุตรสาวของเขานั้นชื่นชอบการอ่านและยามนี้กำลังตามหาตำราแพทย์เพื่อศึกษา จางเหยียนเหอที่ได้ยินเช่นนั้นจึงได้ใช้เวลาทั้งวันเพื่อค้นหาตำราในห้องหนังสือ เพียงเพื่อต้องการที่จะเอาใจคู่หมั้น เขายอมสละเวลาส่วนตัวเพื่อหาสิ่งที่นางต้องการ “มู่เฉิง เจ้ายกตะกร้าผลไม้ไปไว้ที่ครัว เดี๋ยวข้าจะไปพบท่านเสนาบดีไป๋” ชายหนุ่มเดินตรงไปยังเรือนใหญ่โดยมีบ่าวรับใช้ของจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับ ทว่าน่าเสียดายที่เสนาบดีไป๋นั้นไม่อยู่ ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไปไหนจึงเอ่ยถามบ่าวรับใช้สาวที่กำลังรินชาอยู่ไม่ไกล “ท่านเสนาบดีไปที่ใดงั้นหรือ” “เรียนใต้เท้า นายท่านเดินทางไปต้าหยางกับคณะทูตเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มแปลกใจเหตุใดเรื่องนี้เขาถึงได้ผ่านหูผ่านตาเขาไปได้ คิดแล้วก็นึกตำหนิมู่เฉิงที่ไม่บกพร่องในหน้าที่ไม่รายงานเรื่องสำคัญให้เขารับรู้ “แล้วคุณหนูใหญ่ไป๋ซินอยู่หรือไม่” “อยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางหลุบตาลง ใบหน้านางแดงระเรื่องเมื่อสบเข้ากับใบหน้าหมดจดราวเทพเซียน “เช่นนั้นเจ้าไปตามนางมาพบข้า” จางเหยียนเหอต้องการที่จะพบไป๋ซินเพื่อมอบตำราที่นางต้องการ ระหว่างที่รอเขาก็เดินสำรวจข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง ขณะนั้นเขาเหลือบไปเห็นแจกันใบใหญ่ลวดลายสวยงามจึงได้เข้าไปดูใกล้ๆด้วยความสนใจ ลวดลายดอกไม้สอดแทรกด้วยสาวงาม ผ่านการแกะสลักอย่างประณีตลงตัว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ของสิ่งนั้น เขามักจะใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมักละเลยไม่สนใจ เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ บ่าวรับใช้สาวคนเดิมเดินกลับมา นางมีท่าทางกระอักกระอ่วนก่อนเอ่ยกับชายหนุ่ม “คือคุณหนูไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ ทั้งฝากเรียนใต้เท้าให้กลับไปก่อน” ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยแต่ดวงตากลับว่างเปล่า เขารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียไป๋ซินก็ไม่มีทางออกมาหาเขา แต่ถึงอย่างนั้นจางเหยียนเหอก็ยังคงมีความหวังว่าวันนี้อาจเป็นโชคดีของเขา ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนที่เขาจะยื่นตำราให้บ่าวรับใช้สาว “เช่นนั้นข้าฝากสิ่งนี้ให้นางด้วย ฝากบอกนางว่าข้าขอให้นางหายดีในเร็ววัน” ชายหนุ่มก้าวเดินออกมาจากเรือนใหญ่ก่อนเดินลัดเลาะแปลงดอกไม้ ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีดังแว่วออกมาจากศาลากลางน้ำ จึงอดไม่ได้ที่จะหันมอง นับตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้ยินสตรีใดหัวเราะดังราวกับเสียงม้าเช่นนี้มาก่อน “เป็นอย่างไรบ้างหลี่ข่าย ข้าสวยไหมล่ะ” ว่าแล้วนางก็หมุนตัวไปมาจนกระโปรงสะบัดปลิวพลิ้ว หลี่ข่ายพยักหน้าก่อนที่นางนั้นจะก้มหน้าเย็บผ้าต่อพลางเหลือบมองไปยังกระดาษแผ่นใหญ่ที่ไป๋เซียนออกแบบอาภรณ์ไว้ให้ นางตั้งใจที่จะเย็บให้ได้ตามแบบที่คุณหนูของตัวเองต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางจุดที่อาจต้องปรับแก้เนื่องจากนางไม่อาจหาผ้าตามแบบที่อีกฝ่ายต้องการได้ ไป๋เซียนมีความสุขเป็นอย่างมาก นางได้สวมใส่เสิอผ้าที่นุ่งลื่นทั้งยังโดเด่นกว่าสตรีใดในใต้หล้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลกตาจนเกินไปเพราะเกรงว่าจะถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาดมากกว่าชื่นชม “คุณหนูเจ้าขา ตรงนี้ข้าวจะเย็บติดกันแบบนี้นะเจ้าคะ” “ได้เลย แต่ขยับขึ้นไปอีกหน่อยจะดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยกับบ่าวรับใช้สาวก่อนที่นางนั้นจะหมุนไปหมุนมา พลางกางแขนกางขาทำท่าทำทางแปลกประหลาด จางเหยียนเหอที่แอบมองอยู่ถึงขั้นขมวดคิ้วพลางหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่เคยพบเจอสตรีใดดูซุกซนราวกับลิงค่างเช่นนี้มาก่อน “นางเป็นใคร” เขานึกสงสัยว่าสตรีตรงหน้านั้นคือใคร แต่ดูจากผิวพรรณและการแต่งกายแล้วก็พอจะเดาได้ว่านางนั้นอาจเป็นหนึ่งในบุตรสาวของเสนาบดีไป๋ เพียงแต่เขาไม่เคยเห็นก็เท่านั้น “นายท่าน” “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้คนสนิท เพราะมัวแต่สนใจสตรีตรงหน้าจึงไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายนั้นเดินมาถึงตั้งแต่ตอนไหน มู่เฉิงมองตามสายตาของผู้เป็นนายไปยังเบื้องหน้า ก่อนเห็นสตรีผู้หนึ่งหมุนตัวไปมาพลางสะบัดแขนราวกับกำลังร่ายรำ “ข้าเพิ่งมาถึงขอรับนายท่าน” เมื่อครู่ที่ยกตะกร้าผลไม้ไปไว้ที่ครัว เขาได้พบกับคุณหนูไป๋ซิน เห็นอีกฝ่ายกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำขนม จึงถูกเรียกไปช่วยยกเตา “เจ้าไปเสียนานจนข้านึกว่ารออยู่หน้าจวน” “คุณหนูไป๋ซินขอให้ช่วยยกเตาขอรับ” จางเหยียนเหอได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็หม่นลง นางคงไม่อยากเจอหน้าเขาถึงขั้นโป้ปดว่านอนซมอยู่ในเรือน ชายหนุ่มรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อครั้งที่รู้ว่าเขาและนางจะต้องหมั้นหมายกันก็พยายามเข้ามาพบปะพูดคุยหวังสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ทว่าดูเหมือนจะมีเขาที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว ชายหนุ่มมองลอดออกไปนอกม่านกั้น ขณะที่รถม้าแล่นผ่านหอสุราเขาก็มองขึ้นไปด้านบนชั้นสองก่อนเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตากำลังยืนหันหลังคุยกับสาวงาม จางเหยียนเหอเพ่งมองอยู่อ่างนั้นจนอีกฝ่ายหันกลับมา จางเหยียนหลง! เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง โดยที่พี่ชายของเขานั้นรู้ตัวว่าน้องชายกำลังมองมาทางนี้ จึงตั้งใจยั่วโทสะอีกฝ่ายด้วยการขยับเข้าไปใกล้สาวงามมกขึ้น นางมีท่าทางเอียงอายขณะที่หลบสายตาคมของแม่ทัพหนุ่ม จางเหยียนเหออารมณ์ขุ่นมัวเมื่อเห็นเช่นนั้น ขณะที่เขาปรารถนาดีและซื่อสัตย์ต่อไป๋ซินมากกว่าผู้ใด นางกลับละเลยความหวังดีนั้น และเลือกที่จะมอบหัวใจให้บุรุษอย่างจางเหยียนหลง เสนาบดีหนุ่มไม่เข้าใจว่าเขาบกพร่องอย่างไร เหตุใดไป๋ซินถึงได้พยายามหลบหลีกอยู่เสมอ จางเหยียนเหอพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับหญิงสาว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ที่ศาลาริมน้ำ ไป๋เซียนหยิบหมวกปีกกว้างมาพลิกดูก่อนที่นางนั้นจะลองสวม แต่กลับพบว่ามันค่อนข้างหลวมเนื่องจากนางวัดขนาดผิดไป หญิงสาวไม่รอช้ารีบปรับแก้ทันที เนื่องจากในวันพรุ่งนี้นางตั้งใจจะตามไป๋ซินไปเที่ยวเล่นที่ตลาด นางจึงต้องเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมสำหรับการเฉิดฉายในวันพรุ่ง “ข้าว่าจะตัดตรงนี้ออก” หญิงสาวเอ่ยก่อนชี้ไปยังชายกระโปรงที่ยาวจนลากพื้น หลี่ข่ายอ่านหนังสือไม่ออก นางอาศัยดูรูปภาพและทำตามนั้น แต่ทว่าก็ยังผิดพลาดจนได้ “ตรงนี้นะเจ้าคะ” “ใช่ๆ เจ้าตัดออกไปเลยแล้วก็เย็บเก็บให้เรียบร้อยล่ะ” นางมองออกไปนอกศาลาเห็นฟ้าเริ่มมืดครึ้มก็รีบพับผ้าเก็บใส่กล่องไม้ ไป๋เซียนและหลี่ข่ายเดินกลับมาที่เรือนระหว่างพบแมวตัวหนึ่งกำลังตะกุยดิน หญิงสาวมีจิตใจเมตตารักสัตว์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรเมื่อเห็นแมวน้อยน่ารักดวงตากลมเปล่งประกายก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปหา “คุณหนูเจ้าคะ อย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้สาวรีบห้ามไว้ก่อนมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง “มีอะไรเหรอหลี่ข่าย” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะนั้นสายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่เจ้าแมวตัวเล็ก มันทำท่าจะเดินเข้ามาคลอเคลียแต่หลี่ข่าวกลับรั้งคุณหนูของตนให้ถอยออกห่าง “นี่คือแมวของคุณหนูสามไป๋ซูซูเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก นึกเสียดายที่ไม่อาจอุ้มมันได้ดั่งใจต้องการ แม้ว่าเจ้าแมวตัวน้อยจะน่ารักน่าชังแต่หากเจ้าของมันหวงนักนางก็ไม่อยากเข้าไปข้องแวะยุ่งเกี่ยว ไป๋เซียนหันมองเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยตาละห้อยก่อนเดินจากไป “ไม่คิดว่ายุคนี้จะมีแมวด้วย” “มีเจ้าค่ะ แต่ความจริงแล้วไม่นิยมเลี้ยง” เนื่องจากกลัวว่าขนแมวจะติดอาภรณ์และยังเป็นสัตว์ที่ซุกซนชอบรุกล้ำอาณาเขตผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้ผู้คนไม่นิยมเลี้ยงเพราะดูแลยากยิ่ง แต่ไป๋ซูซูหาได้ใส่ใจ แม้นางจะเลี้ยงแมวแต่ก็เข้มงวดกับบ่าวรับใช้เป็นอย่างมาก หากอาภรณ์ของนางมีขนแมวติดแม้แต่เส้นเดียว บ่าวในเรือนนั้นจะต้องถูกทำโทษด้วยการโบยตี แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของคนเหล่านั้นก็ตาม ไป๋เซียนเดินกลับมาถึงเรือนก่อนที่นางนั้นจะนั่งลงบนตั่งไม้ข้างหน้าต่าง ขณะนั้นนางเหลือบไปเห็นบ่าวรับใช้วัยชราที่เดินย่องอยู่ไม่ไกลจึงนึกถึงท่านผู้เฒ่าขึ้นมา หญิงสาวรู้เพียงว่ายามนี้นางต้องการหลุดพ้นจากคำว่าตัวประกอบ แต่หากไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ทว่าเมื่อเห็นชายชราผู้นั้นนางก็เริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น แผนการแรกของนางคือสร้างความจดจำให้ท่านผู้เฒ่า นางต้องการที่ผลักดันตัวเองให้เป็นหลานคนโปรดของอีกฝ่าย จึงได้คิดหาหนทางที่จะทำให้ท่านปู่นั้นรักและเอ็นดูนาง หญิงสาวเห็นว่าการที่นางนั้นเป็นหลานสาวคนโปรดจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ประการแรกฮูหยินใหญ่จะไม่กล้าแตะต้องนาง เนื่องจากอีกฝ่ายหวั่นเกรงอำนาจบารมีของท่านผู้เฒ่า ประการที่สองแม้นางจะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากบ่าวรับใช้แต่หากเป็นหลานรักท่านปู่ ผู้คนก็อาจมองข้ามข้อนี้ไปและจดจำนางในฐานะหลานสาวของอีกฝ่าย ประการที่สาม นางต้องการที่จะใช้ชีวิตในจวนนี้โดยไม่ต้องมีผู้ใดมากวนใจ “หลี่ข่าย พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมท่านปู่ที่เรือน” บ่าวรับใช้สาวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าตื่นตะหนก ท่านผู้เฒ่าไม่ชอบให้ผู้ใดไปรบกวนช่วงเวลากลางวัน จึงได้รีบคัดค้าน “อย่าเลยเจ้าค่ะคุณหนู ท่านผู้เฒ่ามักงีบตลอดทั้งวัน เกรงว่า….” “เกรงอะไรเล่าหลี่ข่าย ข้ากำลังหาวิธีให้เราทั้งสองอยู่สุขสบายในจวนนี้นะ เจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะถูกไล่ตะเพิดออกมา คอยดูวันพรุ่งนี้เถิด ข้าจะทำให้ท่านปู่อยากเจอหน้าข้าทุกวันเลย” หญิงสาวเอยอย่างมั่นใจว่านางนั้นจะสามารถเอาชนะใจท่านผู้เฒ่าได้ แม้นางจะเป็นเพียงหลานสาวที่ถูกลืม แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สืบสายเลือดเขาเช่นกัน ไม่มีทางที่เขาจะผลักไสนางได้ลงคอหรอก ไป๋เซียนด้อมๆมองๆเข้าไปในเรือนใหญ่ด้านหน้า นางหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ก่อนหันมองหลี่ข่ายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง บ่าวรับใช้สาวดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากนางรู้ดีว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ หากผู้ใดกวนใจก็จะถูกไล่ตะเพิดออกมาเสียทุกครั้ง ทำให้ไม่มีบุตรหลานคนไหนกล้าเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ช่วงกลางวัน เรือนป่ายเหอเงียบสงบไร้บ่าวรับใช้ ไป๋เซียนยังคงชะเง้อมองไปข้างในแต่เห็นบ่าวรับใช้ของตนกล้าๆกลัวๆจึงได้บอกให้อีกฝ่ายกลับไปเย็บผ้าที่เรือน ส่วนนางนั้นจะเข้าไปพบท่านปู่ หลี่ข่ายเป็นห่วงจึงพยายามเกลี้ยกล่อมคุณหนูของตนให้กลับเรือนด้วยกัน แต่มีหรือที่คนอย่างไป๋เซียนจะยอมฟัง นางดื้อรั้นไม่เคยฟังใคร เดินดุ่มเข้าไปในเรือนป่ายเหออย่างรวดเร็ว “คุณหนู!” หญิงสาวมองไปรอบๆก่อนที่นางจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีใครบางคนแตะมือลงบนไหลบาง หันไปก็พบว่าเป็นพ่อบ้านฉู่ เขาเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในจวนและเป็นบ่าวคนสนิทของท่านผู้เฒ่า “เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” หญิงสาวหน้าซีด นางกรอกตาไปมาก่อนตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย “คะ คือ คุณหนูของข้า นางเข้าไปในเรือนป่ายเหอแล้ว” หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวเหงื่อแตกพลั่ก นางเหลียวหลังมองกลับไปก่อนเอ่ยขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยพาคุณหนูขอนางออกมา แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเฉย สายตาราบเรียบมองเข้าไปในเรือนเห็นไป๋เซียนกำลังชะเง้อมองหาท่านผู้เฒ่าก็ดึงสายตากลับมามองคนตรงหน้า “ปล่อยนางไปเถอะ” “ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ หากท่านผู้เฒ่าไม่พอใจ….” พ่อบ้านหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบ เขารั้งข้อมือบางก่อนพานางไปจากตรงนี้ หลี่ข่ายพยายามบิดข้อมือออกแต่ถึงอย่างนั้นสตรีอ่อนแอเช่นนางก็ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายไหว ชายหนุ่มพาหญิงสาวมาที่เรือนใหญ่ ก่อนขอให้นางช่วยทำความสะอาดห้องตำรา ส่วนตัวเขานั้นกำลังนั่งบันทึกบัญชีรายรับรายจ่าย ซึ่งแต่เดิมนี่คือหน้าที่ของฮูหยินใหญ่แต่นางไม่ยอมหยิบจับบัญชีมานานหลายปีแล้ว “พ่อบ้านฉู่ ข้ากังวลเรื่อง….” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อยก่อนทาบน้ำเรียวลงบนริมฝีปากตัวเอง เขาต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ไม่อาจให้สิ่งใดรบกวน หลี่ข่ายถอนหายใจยาวใบหน้านางงอง้ำขณะที่ชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาฉายความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด “เจ้ากังวลสิ่งใด” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นดูหวาดกลัวและไม่อยากให้คุณหนูไป๋เซียนเข้าไปในเรือนป่ายเหอ “คุณหนูของข้า นางจะถูกลงโทษหรือไม่ที่แอบเข้าไปในเรือนท่านผู้เฒ่าเช่นนี้” นางกลัวเหลือเกินว่าจะไม่อาจปกป้องคุณหนูหกได้ หลี่ข่ายเคร่งเครียดจนใบหน้าบิดเบี้ยว นางไม่อาจสนใจงานตรงหน้าได้มากเท่าความปลอดภัยของผู้เป็นนาย “ข้าอยากให้ท่านไปช่วย…” “เจ้าทำราวกับว่าเรือนป่ายเหอเป็นสถานที่อันตราย” “ข้าไม่คิดเช่นนั้น เพียงแต่ท่านผู้เฒ่าไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวน” พ่อบ้านหนุ่มส่ายศีรษะ จวนตระกูลไป๋กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยข่าวลืมจริงเท็จเต็มไปหมด แต่ทว่าน่าแปลกที่ทุกคนเลือกเชื่อเรื่องโป้ปด “ข้าคือบ่าวคนสนิทของท่านผู้เฒ่า ข้ารู้จักเขาดีที่สุด” หลี่ข่ายสบสายตาชายหนุ่มก่อนที่นางจะถอนหายใจอีกครั้งแต่หาใช่เพราะโล่งใจ เพียงแต่นางคงทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งภาวนาให้สวรรค์เมตตาคุณหนูหกไป๋เซียน หญิงสาวลงมือทำความสะอาดห้องตำรา โดยมีสายตาพ่อบ้านหนุ่มชำเลืองมองเป็นระยะ ภายในเรือนป่ายเหอ ไป๋เซียนเดินหาท่านผู้เฒ่าไปพร้อมๆกับการสำรวจเรือนใหญ่โตนี้ไปด้วย ที่นี่ใหญ่โตกว่าเรือนหลังเล็กๆของนางถึงห้าเท่า ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงถูกวางเรียงตลอดโถงทางเดิน หญิงสาวได้ยินเสียงคล้ายเครื่องดนตรีเอ้อร์หูดังมาจากสวนด้านหลังจึงได้รีบเดินตามเสียงนั้นไป ชายชรานั่งหลับตาขณะที่กำลังบรรเลงท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยความเศร้า สายลมอ่อนพัดผ่านทำผมสีดอกเลาปลิวไสว “เข้ามาสิ” เพราะรับรู้ได้ว่ายามนี้มีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังเขาจึงได้เอ่ยทัก ชายชราลืมตาก่อนเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือหนึ่งในหลานสาวที่เขานั้นพบหน้านับครั้งได้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เคยจดจำชื่อนาง “เจ้าคือไป๋ซูซูหรือไป๋เซี่ยล่ะ” หญิงสาวมีสีหน้าหน่ายใจ อย่างน้อยท่านปู่ก็จำชื่อหลานสาวบางคนได้ แต่หากจำนางไม่ได้แม้กระทั่งชื่อแซ่หรือใบหน้า หญิงสาวอย่างร่ำไห้แต่ก็อยากหัวเราะในคราวเดียวกัน “ข้าไป๋เซียนเจ้าค่ะ น่าน้อยใจที่ท่านจำข้าไม่ได้” หญิงสาวตัดพ้อ อย่างไรเสียนางเป็นหลานสาวเขาเช่นกัน แต่เหตุใดถึงไม่เคยจดจำนางได้เลย ไป๋เซียนยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนนั่งลงบนโขดหินตรงข้ามท่านผู้เฒ่า นางรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองไม่ถูกไล่ตะเพิดอย่างที่หวัง “ข้าคิดว่าจะถูกท่านปู่ไล่เสียแล้ว” “พูดจาไร้สาระ ข้าจะไล่เจ้าด้วยเหตุใด” “ก็ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่ชอบให้ผู้ใดมารบกวนเวลานี้” ชายชราพยักหน้า เหตุการณ์นั้นย่อมเกิดขึ้นหากเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังพักผ่อน แต่ยามนี้เขาพักผ่อนหย่อนใจและอารมณ์ดี ไม่ได้อยากขับไล่ด่าทอผู้ใด “ไป๋เซียน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเจ้า” ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บในใจราวกับมีธนูปลายแหลมพุ่งมาปัก หญิงสาวแสร้งทาบมือลงบนอกก่อนทำท่าราวกับเจ็บปวดจนตัวงอ ดวงตาชายชราเบิกกว้างเล้กน้อยเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น “เจ้าเป็นอะไรไป” “ข้ากำลังจำลองให้ท่านเห็นว่าข้าเจ็บปวดกับคำพูดไร้เยื่อใยของท่านปู่” “ข้าตกใจแทบแย่ เจ้านี่มันน่าตีนัก” เขาต่อว่าหลานสาวที่ทำเอาชายชราเช่นเขาเกือบหัวใจวาย แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกขบขันกับการกระทำของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย “เจ้ามาก็ดี ข้ากำลังเหงา หาคนดื่มชาด้วย” ชายชราเอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ก่อนที่นางจะยกชุดชาพร้อมขนมเข้ามาในเรือน ไป๋เซียนรู้สึกงุนงงที่นางได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีราวกับแขกคนสำคัญ คราแรกนางคิดว่าชายชราจะรับมือยากกว่านี้ แต่ที่ไหนได้ เขากลับเมตตานางมากกว่าที่คิด หญิงสาวรู้สึกตื้นตันใจเมื่ออีกฝ่ายนั้นใช้มือหยิบขนมก่อนใส่ในถุงผ้าและยื่นให้นางช้าๆ “เจ้ากินข้าวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เหตุใดถึงผอมบางเช่นนี้” “ท่านปู่ แบบนี้เรียกว่าหุ่นดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม คำพูดนั้นทำเอาชายชราถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาไม่เคยเจอสตรีใดที่พูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน สตรีที่เขาพบเจอมักเหนียมอายประหยัดถ้อยคำ ไม่พูดมากพูดมายเช่นหลานสาวผู้นี้ แต่ทว่าเมื่อได้พูดคุยกับนาง ความเหงาในใจก็มลายหายไป จางเหยียนเหอชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของท่านผู้เฒ่าดังออกมาจากในเรือน วันนี้เขาตั้งใจมาเยี่ยมเยียนอีกฝ่ายเพราะได้ยินว่าช่วงนี้ปวดเมื่อยในกระดูก ท่านแม่ของเขาจึงได้ฝากสมุนไพรมาให้ ชายหนุ่มคอยเดินไปหาต้นเสียงก่อนเห็นที่เขาจะคำนับท่านผู้เฒ่าและเลื่อนสายตามองไปยังไป๋เซียน “เสนาบดีจาง นั่งก่อนๆ” ชายชราเชิญอีกฝ่ายให้นั่งข้างเขา ก่อนแนะนำอีกฝ่ายให้หลานสาวได้รู้จัก “นี่เสนาบดีจาง เอ่อ เจ้าชื่ออะไรนะ ข้าลืม” จางเหยียนเหอหันมองชายชราเล้กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “จางเหยียนเหอขอรับท่านปู่” “เขาคือจางเหยียนเหอ ข้าคงจะชรามากแล้วถึงได้หลงลืมอยู่เรื่อย ดูเอาเถิด ขนาดหลานสาวข้ายังลืมนางเลยท่านเสนาบดี” หญิงสาวยกยิ้มจืดเจื่อนก่อนที่นางนั้นจะรินน้ำชาให้ชายหนุ่มอย่างมีน้ำใจ “ข้าไป๋เซียนเจ้าค่ะ เป็นหลานสาวที่ถูกลืมของท่านปู่” “เจ้านี่จริงๆเลย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจข้าผิดคิดว่าทิ้งขว้างเจ้า” ชายชราโวยวายใหญ่โต จางเหยียนเหอมองดูปู่กับหลานที่ถกเถียงกันเงียบๆโดยไม่พูดอะไร กว่าที่ศึกย่อมๆระหว่างสายเลือดจะจบลงก็ใช้เวลาพอสมควร “ยิ้มอะไรหรือเจ้าคะ ท่านเสนาบดี” จางเหยียนเหอชะงักรอยยิ้มยังคงค้าง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง ไป๋เซียนเลิกคิ้วพลางจ้องชายหนุ่ม “ข้าเห็นว่าเจ้ากับท่านปู่ถกเถียงกันแล้ว ดูเป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นใจยิ่งนัก” ไป๋เซียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ความสัมพันธ์อบอุ่นใจอะไรกัน นางกับท่านปู่กำลังถกเถียงเรื่องที่เขาหลงลืมนางอยู่ นับเป็นเรื่องที่ดูแล้วอบอุ่นใจงั้นเหรอ หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนรินชาให้ท่านผู้เฒ่าที่กำลังหอบหายใจ ตัวเขาชรามากไม่อาจเถียงสู้หญิงสาวอย่างไป๋เซียน จึงได้แต่ยอมแพ้ “ข้าคิดว่าเจ้าจะเข้าใจข้า” จู่ๆใบหน้าชายชราก็หม่นลง ไป๋เซียนเห็นเช่นนั้นก็ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน เมื่อครู่ยังโก่งคอถียงนางอยู่เลยแต่ยามนี้กลับตีหน้าเศร้าเสียแล้ว “ท่านปู่แล้วข้าไม่เข้าใจท่านอย่างไร” “เพราะข้าหลงลืม ทั้งพ่อเจ้าและพี่น้องเจ้าต่างคิดว่าข้าไม่รักไม่สนใจ พวกเขาถึงไม่เคยมาเยี่ยมเยียนดูแลข้า” ไป๋เซียนชะงัก สัมผัสได้ถึงความอ้างว้างในใจของท่านปู่ จางเหยียนเหอก็เช่นกัน เขาสบตากับหญิงสาวก่อนพยักเพยิดคล้ายกับว่าต้องการให้นางนั้นเอาอกเอาใจชายชรา เพื่อลบล้างความรู้สึกน้อยใจที่มีต่อบุตรหลาน “ท่านปู่ ข้าเข้าใจท่านที่สุดถึงได้มาหาท่านไงเจ้าคะ และที่ข้าเถียงเมื่อครู่ ข้าเพียงแค่หยอกล้อไม่ให้ท่านเหงาก็เท่านั้น” นางพยายามที่จะสร้างความสบายใจให้ชายชรา เมื่อครู่นางไม่ได้ตั้งใจเอาความกับเขา เพียงแต่ต้องการหยอกเล่นก็เท่านั้น ไม่คิดว่าท่านผู้เฒ่าจะน้อยใจคิดว่านางถือโทษโกรธเคืองที่เขาหลงลืมหลานสาวเช่นนางไป “ไป๋เซียน ข้ามีหลานสิบแปดคน บางคนข้าจำได้เพียงชื่อ บางคนข้าจำได้เพียงใบหน้า แต่จงจดจำไว้ว่าเจ้าจะเป็นหลานคนแรกที่ข้าจำได้ทั้งชื่อและใบหน้า” หญิงสาวรู้สึกตื้นตันใจ นางยกยิ้มก่อนเอ่ย “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่ ข้าจะมาหาท่านทุกวัน จนท่านปู่เบื่อหน้าไปเลย” จางเหยียนเผลอยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางนั้นของหญิงสาว นางดูแปลกแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึ กประทับใจในความกตัญญูของอีกฝ่าย ท่านผู้เฒ่าแก่ชราถึงเพียงนี้แต่บุตรหลานกลับไม่ใส่ใจ มีเพียงไป๋เซียนที่ตะหนักถึงความสุขท่านปู่ของนาง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม