ท่านผู้เฒ่าที่เห็นว่าวันนี้หลานสาวคนโปรดไม่แวะมาหาก็ออกมานั่งรอหน้าเรือนทั้งยังชะเง้อคอมองหานาง ไป๋เซียนที่แอบอยู่หลังต้นไม้ถึงขับหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นท่าทางของชายชรา ดูเหมือนว่าเขานั้นจะรอนางอยู่เป็นแน่ หญิงสาวแอบขยับเข้ามาใกล้ประตูเรือนมากขึ้นเพื่อฟังบทสนทนาระหว่างท่านปู่และบ่าวรับใช้คนสนิทของเขา
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเรือนป่ายเหอเงียบเหงาถึงเพียงนี้”
อาศัยอยู่เพียงลำพังมานานนับสิบี แต่ไม่มีวันใดที่เขาจะรู้สึกเหงาเช่นนี้มาก่อน ชายชราทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า ความงามของเรือนแห่งนี้ไม่อาจฟื้นฟูความเหี่ยวเฉาในใจ ท่านผู้เฒ่าเอื้อมหยิบไม้เท้าก่อนเดินลงบันไดทีละขั้นและหยุดยืนมองฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำ
หลังคู่ชีวิตทยอยจากไป เขาก็ไม่คิดรับสตรีใดเข้าจวนอีก อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทุกวันภายในใจของเขาจึงปราศจากกามารมณ์ ชายชราถอนหายใจ พลางลูบหนวดยาวเคราครึ้มสีดอกเลาอย่างเชื่องช้า หลายวันมานี้ไป๋เซียนไม่แวะเวียนมา เขาจึงรู้สึกว่าภายในเรือนนั้นช่างเงียบเหงาเมื่อไร้เสียงเจื้อยแจ้วของอีกฝ่าย
“เจ้าไปที่เรือนเหลียนฮวา ตามไป๋เซียนมาพบข้า”
หญิงสาวแอบอยู่หลังกระถางต้นไม้ใหญ่เมื่อได้ยินท่านปู่เรียกหาจึงได้โผล่หน้าออกไปทันที ชายชรายังไม่รู้ตัวว่าบัดนี้หลานสาวที่เขาคิดถึงยืนอยู่ด้านหลัง นางค่อยๆย่องไปหยุดยืนด้านหน้าก่อนคำนับท่านปู่อย่างนอบน้อม
“คารวะท่านปู่ ไป๋เซียนมาแล้วเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงสดใสของนางทำให้ชายชราเผยรอยยิ้มแห่งความดีใจ เขารีบสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปเตรียมอาหารว่างรวมทั้งชาอย่างดีมาต้อนรับหลานสาวคนโปรด
ไป๋เซียนนั่งลงข้างท่านปู่ก่อนที่นางนั้นจะรินชาและใช้มือพัดไล่ไอความร้อนเล็กน้อยก่อนยื่นให้อีกฝ่าย
“ข้ากำลังจะให้คนไปตามเจ้าพอดี”
“ท่านปู่อยากเจอข้าหรือเจ้าคะ”
เพราะได้รับพระราชทานถั่งเช่าจากฮ่องเต้มามากมาย ท่านผู้เฒ่าจึงตั้งใจจะจัดสรรปันส่วนให้หลานสาวคนโปรดเพราะได้ยินมาว่าสุขภาพนางไม่ค่อยแข็งแรงนัก ทั้งยังล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง หากได้ยาอายุวัฒนะจากสมุนไพรชนิดนี้จะช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนของโลหิต และทำให้สุขภาพร่างกายนั้นแข็งแรงมากขึ้น
ชายชราพยักหน้าก่อนที่เขาจะหยิบกล่องไม้ออกมาจากสาปเสื้อและส่งให้หญิงสาว ด้านในเป็นสมุนไพรถั่งเช่า ในยุคสมัยนี้ถือเป็นสมุนไพรบำรุงกายชั้นดีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวังหลวง
“ท่านปู่เก็บไว้ไม่ดีหว่าหรือเจ้าคะ ข้ายังอายุน้อย สิ่งเหล่านี้คงไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก”
หญิงสาวกล่าว นางเห็นว่าท่านผู้เฒ่าแก่ชรามากแล้ว ฉะนั้นของเหล่านี้เหมาะที่จะใช้พเอบำรุงดูแลร่างกายอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“รับไปเถิด ข้ายังแข็งแรงดี อีกนานกว่าที่ปรโลกจะเปิดประตูต้อนรับ”
ชายชราเอ่ยขึ้นก่อนที่เขานั้นจะสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปยกกระดานหมากรุกมาที่นี่ ไป๋เซียนที่ไม่เคยเล่น ทำให้นางนั้นแพ้ยอดฝีมืออย่างท่านปู่ไปอย่างง่ายดาย
“เจ้าต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้”
ไป๋เซียนพยักหน้าขณะที่นางนั้นเหลือบไปเห็นไป๋ซูซูกำลังเดินกรีดกรายอยู่ในสวนดอกไม้หน้าเรือน ก่อนที่อีกฝ่ายจะตรงเข้ามาในศาลาและคำนับท่านปู่ก่อนนั่งลงข้างพี่สาวต่างมารดา ชายชราหรี่ตามองหลานสาวอีกคนด้วยความงุนงงก่อนเอ่ยถาม
“เจ้าชื่ออะไร”
ไป๋ซูซูรู้สึกรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เพราะนางนั้นไม่เป็นที่จดจำของท่านปู่ได้มากเท่าคนไร้ค่าอย่างไป๋เซียน ได้ยินว่าช่วงนี้อีกฝ่ายเดินทางมาประจบประแจงชายชราถึงเรือนป่ายเหอ ไป๋ซูซูยอมไม่ได้ที่จะให้ความโปรดปรานถูกแย่งชิงไป นางจึงรีบเดินทางมา ไม่คาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายหักหน้าเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นหลานที่ได้รับการโปรดปรานไม่แพ้ไป๋ซิน แต่ยามนี้ท่านปู่กลับจดจำนางไม่ได้
“ข้าไป๋ซูซูเจ้าค่ะท่านปู่”
สตรีงามน้อยใจจนใบหน้าสลด นางหลุบสายตามองต่ำ ชายชราที่เห็นเช่นนั้นก็มีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เขาพยายามที่จะจดจำชื่อและใบหน้าบุตรหลานให้ได้ แต่ช่างเย็นเหลือเกิน
แต่หารู้ไม่นั่นไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย หลายปีก่อนเมื่อครั้งที่ไป๋ซูซูอายุเพียงสิบสามปี นางมักจะมาวิ่งเล่นที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นชายชราเริ่มมีอาการหลงลืมบ้างเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จดจำหลานสาวผู้นี้ได้ดีกว่าใคร
ทว่าเมื่อนางอายุสิบห้าปี ก็ไม่เคยแวะเวียนมาที่นี่อีกเลย กาลเวลาทำให้ความทรงจำของชายชราเริ่มลบเลือน เขาลืมแม้กระทั่งบุตรสาวบุตรชายของตนเอง
หลายปีมานี้เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้เงาบุตรหลานมาคอยดูแล มีเพียงบ่าวไพร่ไม่กี่คนที่ยังคงอยู่รับใช้
“เจ้าคือไป๋ซูซู ส่วนเจ้าไป๋เซียน ข้าจำได้แล้วล่ะ”
ชายชราว่าอย่างนั้นก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปในเรือน ขณะที่สองสตรีนั่งเผชิญหน้า ซูซูเหยียดยิ้มมมองน้องสาวต่างมารดาอย่างดูแคลน
“เจ้าไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิด”
ไป๋เซียนเลิกคิ้วขณะที่นางนั้นปรายตามองพี่สาว สตรีผู้นี้เห็นใครดีกว่าไม่ได้ต้องคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแก ทำตัวเป็นนางร้ายในละครไปได้ น่ารังเกียจจริงๆ!
“ท่านปู่คิดสิ่งใดอยู่ถึงได้ยอมให้เจ้ารับใช้ใกล้ชิดเช่นนี้”
ไป๋ซูซูกล่าวพลางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย นางเคยเป็นหนึ่งในหลานสาวที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด ฉะนั้นแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากหากนางต้องการแย่งชิงความโปรดปรานกลับมาจากไป๋เซียน
“พี่สาม ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าที่ท่านปู่โปรดปรานข้านับเป็นความโง่เขลางั้นเหรอ”
ไป๋ซูซูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตะหนกไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพลิกแพลงคำพูดนางไปไกลถึงเพียงนี้
“พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น!”
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าท่านจะคิดกับท่านปู่เช่นนี้ หากท่านปู่ได้ยินคงเสียใจมาก”
ไป๋เซียนแสร้งทำหูทวนลมไม่สนใจคำแก้ตัวของไป๋ซูซู คุณหนูสาวแห่งจวนตระกูลไป๋ถึงกับร้อนรนนั่งไม่ติด นางผุดลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายที่พยายามปรักปรำใส่ร้าย
“เจ้ากล้าดียังไงมากล่าวหาข้าเช่นนี้!”
น้ำเสียงเล็กแหลมไม่อาจทำให้ไป๋เซียนรู้สึกสะทกสะท้านหรือหวาดหวั่น นางยังคงยั่วยุอีกฝ่าย หวังให้ไป๋ซูซูทนไม่ไหวและกลับไปเสียที
“พี่สาม ให้ท่านโกรธเคืองท่านปู่มากเพียงใด ก็ไม่ควรด่าท่านปู่ว่าโง่เขลา”
ขณะนั้นชายชราเดินออกมาพอดี เขาได้ยินหลานสาวทั้งสองถกเถียงจึงเงี่ยหูฟัง ไป๋เซียนเห็นชายผ้าที่โผล่พ้นขอบประตูออกมาก่อนที่นางจะรีบเร่งเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนมากขึ้น
“เจ้าพูดเช่นนี้ต้องการให้ท่านปู่เข้าใจผิดในตัวข้างั้นเหรอ!”
“พี่สาม! ท่านกำลังจะบอกว่าท่านปู่โง่เขลาถึงขั้นมองไม่ออกเลยหรือว่าใครถูกใครผิด ท่านคิดเช่นนี้กับท่านปู่ได้อย่างไรกัน ท่านปู่ถือเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะ แต่ท่านกลับเอาแต่ยัดเยียดความโง่เขลาเบาปัญญาให้ท่านปู่ไม่หยุดหย่อน”
ไป๋เซียนขบขันจนแทบไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะยามเห็นสีหน้าพี่สาวต่างมารดา ไป๋ซูซูรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่นางนั้นจะถกเถียงกับอีกฝ่าย เพราะยิ่งพูดก็กลายเป็นการปัดความผิดเข้าหาตัว หญิงสาวสูดลมหายใจลึกจ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนตัดสินใจสะบัดหน้าเดินหนีไปด้วยความแค้นเคืองใจ
ไป๋เซียนที่เห็นว่าพี่สาวเดินไปไกลมากแล้วก็ถึงกับกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่
“ข้าก็นึกว่าฟ้าถล่ม ที่แท้ก็เสียงหัวเราะเจ้า”
หญิงสาวลดเสียงลงเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงขบขัน ชายชราส่ายศีรษะก่อนที่เขาจะยื่นกล่องไม้ยาวให้หญิงสาว
ท่านผู้เฒ่าสังเกตเห็นว่าหลานสาวผู้นี้ไม่มีปิ่นประดับผมเหมือนสตรีวัยเดียวกัน อาจเพราะเมื่อครั้งอายุสิบห้าปีอีกฝ่ายไม่ได้เข้าร่วมพิธีเกล้าผมปักปิ่นเนื่องจากล้มป่วยนอนซมอยู่แต่ในเรือน
การปักปิ่นสำคัญมากสำหรับสตรี เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าพวกนางนั้นเติบโตและพร้อมที่จะเป็นภรรยาของบุรุษสักคน
“เจ้าโตแล้ว อีกไม่นานก็ต้องออกเรือน จะมาหัวเราะเสียงดังเช่นนี้ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้าขณะที่ท่านผู้เฒ่านั้นกำลังบิดมวยผมครึ่งหนึ่งตวัดม้วนขึ้นกลางศีรษะก่อนปักด้วยปิ่นทอง ไป๋เซียนย่อกายเล็กน้อยพลางเอ่ยขอบคุณท่านปู่ที่เมตตา
“แต่ถึงข้าจะปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะอยากออกเรือนนะเจ้าคะ”
นางหวงแหนอิสระและชีวิตที่ไร้ซึ่งพันธะ ทั้งนางเป็นสตรีที่มาจากอนาคต จึงไม่อาจรับธรรมเนียมหนึ่งบุรุษร้อยสตรีได้ หากต้องใช้สามีร่วมกับผู้อื่นนางคงไม่อาจทานทน อีกทั้งยังกังวลเรื่องความสะอาดและอีกสารพัดโรคที่อาจเกิดขึ้น
ในยุคสมัยที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก นางก็ไม่อาจวางใจ และหากไม่อาจเลี่ยงต้องแต่งงานกับบุรุษสักคนที่มักมาก นางคงต้องขอปฏิเสธไม่ร่วมหลับนอนกับคนผู้นั้นเด็ดขาด!
“ข้าไม่อาจอยู่ดูแลเจ้าไปได้ตลอดชีวิต ฉะนั้นแล้วข้าควรหาบุรุษดีๆสักคนให้เจ้าดีหรือไม่”
ไป๋เซียนถึงกับยกยิ้มจืดเจื่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ ด้วยกลัวว่าหากนางดื้อรั้นจะทำให้ทุกสิ่งที่พยายามมาตลอดหลายวันต้องสูญเปล่า
ไป๋เซียนเดินทางกลับมาที่เรือนเหลียนฮวา แต่ไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนเสียงบ่าวด้านนอกก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูหกเจ้าคะ ฮูหยินให้มาตามไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”
หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนที่นางนั้นจะเดินตามอีกฝ่ายไปที่เรือนใหญ่ เมื่อมาถึงก็รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าเหล่าพี่น้องมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอะไรบางอย่าง
“น้องหก ข้าคิดว่าเจ้าเข้านอนเสียแล้ว”
ไป๋ซินเอ่ยกระซิบก่อนที่นางจะเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่าย
“ท่านพ่อกำลังจะกลับมา ทุกคนจึงต้องมารวมตัวกันที่นี่”
ไป๋เซียนพยักหน้าไม่ได้ใส่ใจมากนัก อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงบุตรสาวนอกสายตา จะมาหรือไม่มาก็ไม่สำคัญอะไร มองไปรอบกายมีผู้คนมากมายยืนเรียงราย นางจึงคิดไม่ออกว่าเสนาบดีไป๋ซานนั้นจะเฉลี่ยความรักให้บุตรชายบุตรสาวทั้งสิบแปดคนได้อย่างไร
“น้องหก ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้ากับน้องสามทะเลาะกัน”
ไป๋เซียนถึงกับยกยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางพยักหน้าก่อนเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่สาวฟัง ไป๋ซินที่ได้ยินก็รู้สึกขบขันแต่ยังคงสงวนท่าทีไม่ได้แสดงออกมากนัก ต่างจากไปเซียนที่กลั้นหัวเราะจนตัวโยน
ไป๋เซียนยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตัดเย็บเสื้อผ้าที่นางนั้นออกแบบด้วยตัวเอง โดยมีหลี่ข่ายคอยปรับแก้ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูโดดเด่น หญิงสาวยกม้วนผ้าออกมาจากตู้ก่อนที่นางจะนั่งลงบนเตียงและใช้กรรไกรตัดผ้าออกเป็นสี่ส่วน
ส่วนแรกเพื่อใช้ในการตัดเย็บแขนเสื้อ ส่วนที่สองเพื่อตัดเย็บชายกระโปรง ส่วนที่สามสำหรับตกแต่ง และส่วนที่สี่นางตั้งใจจะตัดเย็บเป็นถุงเท้าโดยใช้ผ้ายืดสอดแทรกไว้ด้านในอีกที
“หลี่ข่าย วันนี้ข้าอยากไปเดินตลาด”
ไป๋เซียนเอ่ยบอกความประสงค์ของนางในวันนี้ หญิงสาวอุดอู้อยู่ในเรือนมานานหลายวัน ทั้งช่วงนี้ได้เดินทางไปเยี่ยมท่านปู่เนื่องจากอีกฝ่ายไปเยี่ยมญาติที่เมืองข้างเคียงและอาจใช้เวลานานหลายวัน
“เช่นนั้นคุณหนูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ตื่นเช้าเพียงล้างหน้ายังได้ชำระล้างร่างกาย หลี่ข่ายจึงรีบไปเตรียมอาบใส่ถังไม้ก่อนที่ไป๋เซียนจะลงไปแช่ กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆลอยขึ้นมาแตะจมูกขณะที่หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง
นางกำลังคิดถึงเนื้อหาในหนังสือที่เคยอ่านค้างไว้ด้วยความคาใจ ด้วยอยากรู้ว่าเรื่องราวต่อไประหว่างไป๋ซินและจางเหยียนเหอจะเป็นเช่นไร ทั้งสองจะได้แต่งงานกันก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะลงเอยกับจางเหยียนหลงหรือไม่
ไป๋เซียนอึดอัดใจ หากรู้ว่าจะหลุดมาอยู่ที่นี่นางคงจะรีบเร่งอ่านให้จบโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นความสัมพันธ์ของทั้งสามคน
ตลาดยามสายผู้คนพลุกพล่าน ไป๋เซียนสวมอาภรณ์สีเขียวโดดเด่นสะดุดตา สตรีที่พบเห็นต่างมองด้วยสายตาชื่นชมมีบ้างที่ริษยาในความงามล่มเมือง คุณหนูหกแห่งตระกูลไป๋มีความสุขเป็นอย่างมากที่นางนั้นโดดเด่นจนเป็นที่สนใจ หญิงสาวเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับก่อนที่นางนั้นจะหยิบถุงเงินส่งให้หลี่ข่าย
“เจ้าว่าสองอันนี้ อันไหนเหาะกับข้ามากกว่ากัน”
หญิงสาวเอ่ยถามพลางนำปิ่นทั้งสองอันมาเทียบให้หลี่ข่ายดู บ่าวรับใช้สาวหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่กำลังครุ่นคิด ก่อนชี้ไปยังปิ่นที่อยู่ในมือข้างซ้าย
“ชิ้นดีเหมาะกว่าเจ้าค่ะ”
ไป๋เซียนพยักหน้าก่อนจะลองปักปิ่นลงบนมวยผม คันฉ่องสีทองสะท้อนภาพหญิงงามกับเครื่องประดับบนศีรษะ ในขณะที่กำลังชื่นชมความงดงามอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นกำไลหยกสีขาวแกะสลักเป็นลวดลายอักษรมงคล ไป๋เซียนไม่รอช้ารีบหยิบขึ้นมาดูทันที
“สวยมากเลย เอาอันนี้ด้วย”
หลี่ข่ายรับมาถือไว้ก่อนจะเดินตามคุณหนูของตนขณะที่สายตาก็มองหาเครื่องประดับสักชิ้นหวังจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ไป๋เซียนเห็นว่าบ่าวรับใช้สาวดูสนใจถุงหอมจึงคว้ามาถือเอาไว้
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย นางก็ยื่นของสิ่งนั้นให้กับหลี่ข่ายที่ยืนงุนงง
“ให้บ่าวหรือเจ้าคะ”
ไป๋เซียนพยักหน้า เพื่อตอบแทนที่อีกฝ่ายดูแลนางเป็นอย่างดี จึงตั้งใจซื้อให้เพราะเห็นว่าหลี่ข่ายคอยจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองเดินไปตามทาง ก่อนเข้าไปในตลาดที่เมไปด้วยผู้คน แต่หลี่ข่ายเห็นว่าทางข้างหน้าอาจถูกเบียดเสียดจึงได้ชักชวนคุณหนูของตนให้เดินอ้อมไปอีกทาง
“ทำไมเราไม่เดินเข้าไปตรงนั้นเลยล่ะ”
ไป๋เซียนไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้สาวพาเธอเดินอ้อมมาอีกตรอกเพื่อหลบเลี่ยงฝูงชน
“ยิ่งเบียดเสียดยิ่งอันตรายเจ้าค่ะ เสี่ยงทรัพย์สินหายนะเจ้าคะคุณหนู”
“จริงด้วย”
ไป๋เซียนเข้าใจก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในร้านบะหมี่เล็กๆซึ่งตั้งอยู่ในตรอกแคบ กลิ่นน้ำซุปโชยาแตะจมูกทำให้สองนายบ่าวรู้สึกหิวโหยขึ้นมา ไป๋เซียนนั่งลงริมระเบียงก่อนมองลงไปด้านล่างเห็นสตรีผู้หนึ่งถูกขัดขวางโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ชี้ให้หลี่ข่ายดู
“คนพวกนั้นจะทำอะไรนาง”
ไป๋เซียนกังวลใจเกรงว่าอีกฝ่ายจะตกอยู่ในอันตราย เพราะหากเป็นเช่นนั้นนางคงไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้สตรีผู้นั้นถูกฉุดกระชากไป หลี่ข่ายถอนหายใจยาวขณะมองไปยังสตรีผู้นั้นก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้น
“แม่นางผู้นั้นเป็นคนของหอนางโลมเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซียนก็คลายใจ ยิ่งเห็นว่าสตรีงามเดินตามกลุ่มบุรุษนั้นเข้าไปในตรอกแคบแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญ นางก็ละความสนใจแทบจะทันที หลี่ข่ายมองหาหลงจู๊ก่อนที่นางจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและสั่งบะหมี่สองชาม
ชายวัยกลางคนยกอาหารวางบนโต๊ะ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจละสายตาจากไป๋เซียนได้ หลี่ข่ายเห็นว่าอีกฝ่ายจับจ้องคุณหนูของตนมากเกินไปจึงได้ตำหนิขึ้นมา
“เจ้าไม่มีงานทำงั้นหรือ”
ชายวัยกลางคนชะงักก่อนรีบถอยห่างจากทั้งสองและเดินตรงไปที่บันได แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหันกลับมามองไป๋เซียนเป็นระยะ หลี่ข่ายไม่พอใจนักที่อีกฝ่ายใช้สายตาจาบจ้วงล่วงเกิน จึงจ้องมองชายผู้นั้นเขม็ง
“ไม่เอาน่าหลี่ข่าย เขาอาจมองเพราะข้าสวย”
ไป๋เซียนไม่ใส่ใจ ชีวิตนางพบเจอผู้คนมามาก ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้คุกคามนางก็ไม่คิดถือโทษโกรธเคืองอะไร แต่หลี่ข่ายไม่เห็นด้วย อย่างไรเสียคุณหนูของนางก็เป็นถึงบุตรสาวเสนาบดี จะยอมให้ผู้อื่นโลมเลียด้วยสายตาได้อย่างไร
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู”
“เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ตราบใดที่ข้าไม่คิดอะไรเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวหรอก”
นางไม่อยากคิดอะไรมากมาย เพราะสิ่งที่นางต้องการคือได้รับความสนใจจากผู้คน หากนางไม่ต้องการให้ผู้ใดสนใจก็คงไม่สวมอาภรณ์โดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้ออกมาเดินนอกจวน
หญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงสว่างมานานหลายปี นางจึงรู้สึกดีเป็นอย่างมากที่ได้รับความสนใจ
บะหมี่หมดชามแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่ลุกไปไหน ไป๋เซียนสนใจขบวนรถม้าที่กำลังแล่นผ่านตรอกนี้ไปยังตลาดด้านหน้า ทุกคันประดับประดาด้วยผ้าสีแดง ทั้งยังบรรทุกหีบไม้หลายใบตรงไปยังทิศตะวันออก
“พวกเขาจะไปไหนกัน”
ไป๋เซียนสงสัยนางจึงได้เอ่ยถามบ่าวรับใช้สาว
“รถม้าจวนตระกูลซุนเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณหนูตระกูลซุนกับแม่ทัพหลี่”
โดยปกติแล้วเจ้าสาวจะต้องนำสินเดิมติดตัวเข้าบ้านสามี ยิ่งนำไปมากเท่าไหร่ครอบครัวสามีก็ยิ่งเกรงใจมากเท่านั้น นอกจากบรรดาศักดิ์แล้วความมั่งคั่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้สตรีอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข
“นางคงร่ำรวยมาก”
“เดิมทีเป็นตระกูลคหบดีเจ้าค่ะ”
เพิ่งผลัดเปลี่ยนเป็นตระกูลขุนนางได้ไม่กี่ปี เนื่องจากบุตรชายคนโตของคหบดีผู้นี้สอบจอหงวนติดอันดับหนึ่งในสาม จึงมีโอกาสได้รับราชการเข้าทำงานในราชสำนักเริ่มจากตำแหน่งขุนนางเล็กๆจนปัจจุบันไต่เต้าได้เป็นถึงขุนนางขั้นสองในระยะเวลาเพียงสี่ปีเท่านั้น ทั้งเขายังเป็นขุนนางที่อายุน้อยเช่นเดียวกับเสนาบดีจางเหยียนเหอ
“หมายถึงพ่อค้างั้นเหรอ”
หลี่ข่ายพยักหน้า แรกเริ่มเดิมทีตระกูลนี้ค้าขายอัญมณี แต่เมื่อประมุขแก่ชราจนไม่อาจเดินทางได้เหมือนเมื่อก่อนจึงผันตัวมาเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ห่างจากตรอกนี้ไม่มากนัก
หลังพูดคุยกันเสร็จสิ้น ทั้งสองก็เดินลงมาด้านล่างก่อนที่ไป๋เซียนจะชวนบ่าวรับใช้สาวให้เข้าไปเลือกซื้อผ้าเพื่อนำกลับไปตัดเย็บอาภรณ์ ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในร้าน จู่ๆก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาขวาง หลี่ข่ายรีบขยับมายืนตรงหน้าคุณหนูของตนก่อนกางมือออกเพื่อปกป้องอีกฝ่ายจากอันตรายที่กล้ำกลาย
“เจ้าบ่าวชั้นต่ำ หลบไป!”
ไป๋เซียนไม่พอใจมองกลุ่มบุรุษท่าทางป่าเถื่อนด้วยสายตาแข็งกร้าว นางดันหลี่ข่ายออกก่อนจะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นอย่างไม่เกรงกลัว
“พวกเจ้ามาขวางทางข้าทำไม”
หญิงสาวเอ่ยถาม ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆก้มศีรษะลงและถอยห่างออกไป ขณะนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา มุมปากกระตุกยิ้มก่อนมองไป๋เซียนด้วยสายตาโลมเลีย หลี่ข่ายไม่พอใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงหลานชายของเสียนเฟย สนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในยามนี้ ทั้งเขายังเป็นบุตรชายขุนนางใหญ่ตระกูลหม่า
“เพียงเห็นหน้าเจ้าข้าก็รู้สึกสะดุดตา”
ไป๋เซียนเหยียดยิ้มก่อนที่นางจะพยายามเดินเลี่ยงเข้าไปด้านใน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถือวิสาสะคว้าข้อมือ ทั้งยังพยายามที่จะรั้งนางเข้าไปในอ้อมแขน
“ปล่อยข้า!”
นางยินดีหากเป็นที่สนใจและยินดีหากเขาจะชื่นชม แต่ต้องมีขอบเขตใช่ล่วงเกินกันเช่นนี้ ไป๋เซียนเริ่มไม่พอใจ ใบหน้างามฉายให้เห็นถึงความรังเกียจ
แต่มีหรือที่บุรุษหน้าหนาอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลหม่าจะสนใจ เขาใช้นิ้วโป้งไล้ลูบผิวเนียนอย่างหลงใหลขณะที่สายตานั้นยังคงโลมเลียนางไม่หยุด
“คุณชาย ได้โปรดปล่อยมือคุณหนูของข้าเถิดเจ้าค่ะ”
หลี่ข่ายพยายามเอ่ยขอร้องก่อนที่อีกฝ่ายจะสะบัดฝ่ามือใส่หน้าบ่าวรับใช้สาวจนกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น ไป๋เซียนที่เห็นเช่นนั้นก็โมโหเป็นอย่างมาก นางพยายามดึงข้อมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะฉุดกระชากนางขึ้นรถม้า
“หากท่านไม่ยอมปล่อย ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เดิมทีหญิงสาวตั้งใจจะประนีประนอม แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการเช่นนั้น ไป๋เซียนสะบัดมือออกก่อนที่นางจะฟาดขาใส่หลังคุณชายบ้ากามเต็มแรง เขาร้องเสียงหลงขณะที่ร่างถลาฟุบลงบนพื้น บ่าวรับใช้ต่างกรูเข้ามาช่วยกันพยุงผู้เป็นนายก่อนย่างเข้าหาไป๋เซียนหวังจะสั่งสอนอีกฝ่ายที่บังอาจทำร้ายคุณชายของตน
แต่หญิงสาวมีหรือจะยอมให้ตัวเองถูกรังแก นางนกชายหระโปรงเล้กน้อยก่อนกระแทกฝ่าเท้าลงบนยอดอกบุรุษร่างสูงจนถลาล้มก้นจ้ำไปอีกคน
ชาวบ้านที่รายล้อมต่างพากันกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง เมื่อเห็นคุณชายใหญ่ตระกูลหม่านั้นถูกสตรีทำร้ายจนหมดสภาพ ไป๋เซียนเข้าไปพยุงหลี่ข่ายลุกขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะอาศัยช่วงชุลมุนและรีบเข้าไปซ่อนตัวในตรอกแคบ รอจนกว่าคนเหล่านั้นล่าถอยหลับไป ทั้งสองจึงรีบเดินทางกลับจวนตระกูลไป๋ทันที
บ่าว
รับใช้สาวเป็นกังวลอย่างมาก เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงบุตรชายตระกูลหม่าทั้งยังเป็นหลานชายคนโปรดของเสียนเฟย คงสืบได้ไม่ยากว่าไป๋เซียนคือใคร