ตอนที่4

3750 คำ
ตอนที่ 4 ไป๋เซียนตื่นแต่เช้าตรู่ก่อนที่นางนั้นจะตามหลี่ข่ายออกไปเก็บไข่ไก่ในเล้าหลังจวน หญิงสาวย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นัก บนพื้นเต็มไปด้วยมูลสัตว์ ถัดไปจากเล้าไก่เพียงไม่กี่ก้าวเป็นเล้าหมูก่ออิฐสูงขึ้นมา เสียงพวกมันร้องประสานด้วยความหิวโหย “คุณหนูกลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ” เห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียน บ่าวรับใช้สาวก็รีบเร่งมือเพื่อเก็บผลผลิต หลังได้ไข่ไกมาสามฟอง นางก็พาไป๋เซียนไปยังแปลงผักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท้ายจวนมากนัก “จะเอาผักและไข่พวกนี้ไปไหนเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่กำบังเดินตามบ่าวรับใช้สาวเข้าไปในแปลงปลูกมะเขือเทศ “บ่าวต้องเอาวัตถุดิบไปส่งที่ครัวก่อนยามเฉินเจ้าค่ะ” เพราะเสนาบดีไป๋มีบุตรสาวบุตรชายมากมาย ฉะนั้นจึงได้เขียนกฏเกณฑ์ในจวนขึ้นมาใหม่ โดยให้บ่าวรับใช้ส่วนตัวเป็นผู้ส่งมอบวัตถุดิบไปยังครัวและแนบกระดาษรายการอาหารที่ต้องการให้ทำไปด้วย แม่ครัวจะลงมือทำตามคำสั่งก่อนที่บ่าวรับใช้ของแต่ละเรือนจะยกอาหารไป ไป๋เซียนไม่เข้าใจ โดยปกติแล้วควรเป็นหน้าที่แม่ครัวที่ต้องเตรียมวัตถุดิบไม่ใช่หรือ? เห็นสีหน้าคุณหนูของตนแล้ว หลี่ข่ายก็รีบอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยทันที “เป็นกฎของที่นี่เจ้าค่ะ” ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่เว้นแม้แต่เรือนนายผู้เฒ่า ทุกเช้าพวกนางต้องตื่นก่อนฟ้าสางเพื่อซักผ้า กวาดถูกเรือนให้สะอาด เตรียมน้ำสำหรับอาบพร้อมอาภรณ์และเครื่องประทินผิว หลังจากนั้นจึงจะปลีกตัวไปเก็บผลผลิตเพื่อนำวัตถุดิบไปส่งที่ครัว “เป็นกฏที่แปลกมาก” ไป๋เซียนเอ่ยก่อนที่นางนั้นจะเงยหน้ามองหอคอยไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเรือนนัก หลี่ข่ายเห็นว่าผู้เป็นนายให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้าจึงได้รีบอธิบายทันที “นั่นคือหอคอยสังเกตุการณ์เจ้าค่ะ” “มีไว้ทำไมเหรอ” “หลายสิบปีก่อนบ้านเมืองไม่ได้สงบร่มเย็นเหมือนทุกวันนี้เจ้าค่ะ ตระกูลขุนนางและคหบดีจำต้องสร้างเอาไว้เพื่อปกป้องการรุกราน” ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ บ้านเมืองระส่ำระส่ายเพราะฮ่องเต้ทรราชส่งทหารไปปล้นชิงดินแดนผู้อื่น ส่งผลให้เหล่าราษฎรนั้นหวาดหวั่นกลัวศัตรูจะร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายของพระองค์ ทำให้เหล่าขุนนางต้องสร้างหอคอยเอาไว้ในจวนเพื่อสอดส่องศัตรูที่อาจบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ แต่โชคดีที่ทรราชผู้นั้นอายุไม่ยืนยาวนัก หลังพ่ายแพ้ต่อชนเผ่าทางชายแดนจึงตรอมตรมพระทัยและสิ้นพระชนม์ภายในระยะเวลาไม่ถึงปี “แสดงว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้งานแล้วงั้นเหรอ” “เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้สาวเดินตรงไปที่ครัวโดยมีไป๋เซียนเดินตามอยู่ห่างๆ หลี่ข่ายนั้นไม่ต้องการให้ผู้เป็นนายเดินตามหลังจึงขอร้องให้อีกฝ่ายเดินทิ้งระยะ กลัวว่าหากฮูหยอนใหญ่หรือเจ้านายคนอื่นๆมาเห็นเข้านางอาจถูกลงโทษได้ “วันนี้ข้ามีมะเขือเทศกับไข่ ข้าขอน้ำแกงร้อนๆด้วยได้หรือไม่” หลี่ข่ายเอ่ยถามแม่ครัวร่างท้วม แม้อีกฝ่ายจะดูอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลาแต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจต่อบ่าวไพร่ด้วยกัน ทั้งยังมีฝีมือการปรุงอาหารที่ไม่เป็นสองรองใคร ในอดีตอีกฝ่ายเคยเป็นแม่ครัวมือหนึ่งแห่งหอชุ่นฮวา แต่เพราะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อสิบปีก่อน ทำให้นางต้องระหกระเหินอยู่พักใหญ่ โชคดีที่คุณหนูไป๋ซินนั้นเมตตา รับมาเป็นบ่าวในจวน ช่วงแรกอยู่โรงซักล้าง แต่เพราะนางนั้นมักจะเจียดเวลาเข้าครัวอยู่เสมอ คุณหนูไป๋ซินได้ลิ้มลองรสชาติอาหารของอีกฝ่ายเพียงครั้งแรกก็ประทับใจเป็นอย่างมาก จึงได้ขอให้มารดานั้นโยกย้ายอีกฝ่ายไปทำงานในครัวแทน “ย่อมได้ วันนี้มีขนมเซาปิ่ง เจ้าอย่าลืมนำกลับไปที่เรือนเหลียนฮวาด้วย” อีกฝ่ายกำชับเพราะหลายครั้งที่หลี่ข่ายมักจะหลงลืมเป็นประจำ ทำให้นางต้องคอยฝากบ่าวรับใช้ผู้อื่นนำไปให้ที่เรือน เนื่องจากคุณหนูไป๋ซินได้กำชับเรื่องสำรับอาหารของคุณหนูหกเป็นพิเศษ นางจึงไม่อาจกระทำสิ่งใดให้ขาดตกบกพร่อง “ขอบใจท่านมาก” “นายเจ้าก็คือนายข้าเช่นกัน” ไป๋เซียนได้ยินทุอย่างชัดเจนเพราะนางนั้นยืนหลบอยู่หน้าประตู ใบหน้างามเผยให้เห็นรอยยิ้ม รู้สึกตื้นตันใจที่อย่างน้อยตัวประกอบเช่นนางก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด ยังมีคนคอยใส่ใจดูแล เห็นว่าบ่าวทั้งสองกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมอาหาร นางจึงปลีกตัวออกไปเดินเล่นสำรวจจวน ขณะนั้นหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ บุรุษผู้นั้นแสยะยิ้มก่อนสะบัดใส่เฉียดใบหน้านางไปเพียงนิดเดียว “น้องสาวข้า เจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วงั้นเหรอ” ชายหนุ่มผู้นั้นกวาดตามองไป๋เซียน แม้อาศัยร่วมจวนเดียวกันแต่เขากลับนางนั้นแทบไม่ได้พบหน้า ไป๋เซิงลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำว่าเขามีน้องสาวนามว่าไป๋เซียน หญิงสาวหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา นางกำลังคาดเดาว่าเขานั้นคือพี่ชายต่างมารดา แต่ดูจากอาภรณ์ที่ปักเลื่อมลายทองแล้วนางก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นคือบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ท่าทางยโสโอหัง แววตาหยายามเหยียดยามมองผู้อื่น คงไม่ใช่ใครที่ไหน คนผู้นี้คือไป๋เซิงอย่างแน่นอน “เหตุใดเจ้าถึงได้มองข้าเช่นนั้น” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นสายตาของนาง แต่ไป๋เซียนไม่ได้อยากสร้างศัตรู หรือหากไม่อาจเลี่ยงนางจะไม่ยอมเป็นผู้ริเริ่มเด็ดขาด หญิงสาวพยายามพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยท่าทางอ่อนน้อม แต่ดูเหมือนยิ่งก้มศีรษะลงต่ำอีกฝ่ายก็จ้องจะเหยียบหัวนางอยู่ตลอดเวลา “ข้าไม่ได้เจอท่านพี่นาน เลยพยายามทบทวนความจำไงเจ้าคะ” “เซียนเอ๋อร์ของข้ายังคงปัญญาทึบเช่นเดิม” ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มบนใบหน้างามก็เริ่มจางหาย นางจ้องเข้าไปในดวงตาชายหนุ่มจนเขานั้นรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียเอง ไป๋เซียนไม่ใช่คนประเภทยอมให้ใครมาเหยียบย่ำดูถูก นางก้าวเข้าไปหาพี่ชายขณะที่เขาผงะและก้าวถอยหลังจนเกือบตกบ่อน้ำ ส้นเท้าข้างหนึ่งลื่นไหลจนทำให้เสียหลัก ไป๋เซียนยื่นมือไปดึงคอเสื้ออีกฝ่ายก่อนกระชากกลับขึ้นมา ไป๋เซิงตะหนกตกใจ เขาหอบหายใจก่อนทรุดนั่งลงราวกับคนไร้เรี่ยวแรง “ท่านพี่ ท่านไม่รู้หรือว่าด้านหลังคือบ่อน้ำ” หญิงสาวแสร้งถามด้วยท่าทางไร้เดียงสา ขณะที่ผู้เป็นพี่ใบหน้าซีดเซียวราวไก่ต้ม ไป๋เซิงเข้าใจเจตนาของน้องสาว เขามองท่าทางไร้เดียงสานั้นด้วยสายตาที่หวาดหวั่น เมื่อครู่นางเกือบฆ่าเขา หากตกลงไปในบ่อน้ำลึกไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตทำให้ความกลัวเกาะกินใจชายหนุ่ม เขาลุกขึ้นก่อนรีบวิ่งออกไป “อะไรของเขา แกล้งแค่นี้ทำเป็นโอเว่อร์” หญิงสาวพึมพำเมื่อเห็นท่าทางของพี่ชาย นางยกยิ้มสาแก่ใจที่ได้ดัดหลังอีกฝ่าย ขณะที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น หลี่ข่ายก็เดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยเรียกนางด้วยท่าทางร้อนรน “คุณหนูเจ้าคะ” “มีอะไรเหรอหลี่ข่าย” “ฮูหยินใหญ่ให้มาตามคุณหนูไปที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” หญิงสาวรู้สึกขนลุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินบ่าวรับใช้เอ่ยถึงสตรีผู้หนึ่งที่นางนั้นไม่ปรารถนาจะได้พบหน้า ฮูหยินใหญ่ผู้นี้จิตใจหยาบช้า ใส่ร้ายป้ายสีอนุภรรยาต้องต้องระเห็จออกจากจวนตระกูลไป๋นับไม่ถ้วน อนุบางคนถึงขั้นต้องอุ้มท้องเดินไปตามถนนที่หนาวเหน็บเพียงเพราะสามีเชื่อคำใส่ร้ายของฮูหยิน ไป๋เซียนรับรู้เรื่องราวนี้จากหนังสือที่นางได้อ่านค้างไว้ หญิงสาวจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปพบกับสตรีผู้นั้นเพราะกลัวว่าหากทำอะไรขวางหูขวางตาอาจเดือดร้อนเอาได้ แม้นางจะใจกล้าหน้าด้านเพียงใด แต่นางก็ไม่กล้าพอที่จะกวนตะกอนในใจสตรีผู้นั้น “ไปเถอะเจ้าค่ะ ทุกคนรออยู่เจ้าค่ะ” “ทำไมข้าต้องไปล่ะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” ระหว่างทางไปเรือนใหญ่ หญิงสาวก็ได้เอ่ยถามบ่าวรับใช้ หากเป็นเรื่องร้ายแรงนางจะได้คิดว่าวิธีแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่ากำลังจะเผชิญกับอะไร “เสนาบดีไป๋กำลังจะเดินทางไปกับคณะทูตเจ้าค่ะ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” ไป๋เซียนไม่เข้าใจ จะไปไหนมาไหนแล้วเหตุใดต้องเรียกนางไปร่วมรับรู้ด้วย ไร้สาระเสียจริง! มาถึงเรือนใหญ่ที่โอ่อ่ากว่าเรือนนางหลายสิบเท่า หญิงสาวมองข้าวของเครื่องใช้ลายโบราณอย่างสนใจแต่ไม่ทันได้เอื้อมมือไปสัมผัส ไป๋ซินก็เรียกเอาไว้พอดี “น้องหก ไม่คิดว่าเจ้าจะมาด้วย” ผู้เป็นพี่ขยับเข้ามายืนให,น้องสาวที่นางนั้นรักใคร่เป็นที่สุด ไป๋เซียนน่าเอ็นดูทั้งยังเชื่อฟังนางอยู่เสมอ เหมือนน้องสาวคนอื่นๆที่มักจะอิจฉาริษยาคอยเหน็บแนมยามได้ดีและทับถมยามที่ย่ำแย่ “ท่านพ่อจะไปไหนเหรอเจ้าคะ” “เมืองต้าหยาง ท่านพ่อจะร่วมเดินทางไปกับคณะทูตเพื่อรับเครื่องราชบรรณาการ” ไป๋เซียนขมวดคิ้ว เครื่องราชบรรณาการโดยปกติแล้ว เมืองขึ้นควรที่จะเดินทางมามอบให้ไม่ใช่หรือ เหตุใดคนจากแคว้นนี้ถึงเป็นฝ่ายเดินทางไปรับเองเล่า “เจ้าคงแปลกใจ เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง” ไป๋ซินเอ่ยกับน้องสาวก่อนที่นางนั้นจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรกเริ่มระหว่างสองเมือง ต้าหยางเคยเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เป็นที่กบดานของโจรภูเขา แต่เพราะไม่ต้องการที่จะอยู่อย่างหลบซ่อนอีกต่อไป คนเหล่านั้นจึงได้รวมกำลังและยึดหมู่บ้านเล็กใหญ่ก่อนขยายอำนาจด้วยการบุกยึดเมืองชายแดนของแคว้นนี้ ฮ่องเต้ไม่อาจนิ่งเฉย ส่งกองกำลังไปปราบจนพ่ายแพ้แต่เมื่ออีกฝ่ายประกาศเจตจำนง พระองค์จึงรู้สึกเห็นพระทัยจึงได้เสนอเงื่อนไขบางอย่างแลกกับเครื่องบรรณาการ นั่นคือหญิงงามนามว่าเฟิ่งเฉียน สตรีนางนั้นเป็นบุตรสาวของผู้นำกำลังทัพ เพื่อช่วยเหลือทุกคนให้หลุดพ้นทางโทษทัณฑ์ นางจึงยอมสละตัวเองเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้ฮ่องเต้ แต่เพราะคนที่นั่นไม่มียานพาหนะที่จะเดินทางไกลได้ จึงจำต้องร้องขอให้ทางเมืองหลวงส่งคนไปรับสิ่งของบรรณาการแทน “สงสารผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันนะเจ้าคะ” ไป๋เซียนได้ยินเรื่องราวของสตรีผู้นั้นแบ้วก็รู้สึกหดหู่ใจ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและทุกคนในเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย เฟิ่งเฉียนผู้นั้นถึงขั้นยอมสละความสุขทั้งชีวิต คิดแล้วช่างน่าเศร้า เกิดเป็นสตรีในยุคสมัยที่บุรุษเป็นใหญ่นั้นช่างยากลำบากยิ่งนัก เพียงไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนใหญ่ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ไป๋เซียนก่อนที่คุณหนูสามไป๋ซูซูจะตรงเข้ามาหาหญิงสาวทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน ไป๋ซินเห็นเช่นนั้นก็เบี่ยงกายหลบเล็กน้อยเพื่อให้น้องสาวอีกคนแทรกตัวเข้ามาในวงสนทนา “น้องหก คาดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” ไป๋ซูซูไม่แม้แต่จะปรายตามองพี่สาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง นางเอ่ยทักทายน้องสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันนานก่อนจะกวาดตามองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ดูเอาเถิด เมื่อก่อนเคยสนใจเรื่องความงามที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ไป๋เซียนจะดูงดงามโดดเด่น แม้แต่ไป๋ซินที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามล่มเมืองยังดูไร้ราศรีเมื่อเผลอยืนเคียงข้าง “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านเช่นกัน” ไป๋เซียนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำราวกับไม่อยากสนทนากับอีกฝ่าย ไป๋ซินเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มตึงเครียดขึ้นมาจึงได้พยายามชักชวนไป๋เซียนไปที่อื่น แต่ไป๋ซูซูกลับรั้งคนทั้งสองเอาไว้ “เหตุใดเจ้าถึงได้สนิทสนมกับพี่ใหญ่นัก” “น้องสาม นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องไร้สาระ” ไป๋ซินเอ่ยเสียงดุ ไป๋ซูซูคิดจะทำสิ่งใดมีหรือที่นางนั้นจะไม่รู้ คงตั้งใจจะสร้างความอับอายให้ไป๋เซียนด้วยการพูดจาเปรียบเทียบ แต่หารู้ไม่ว่านางกับน้องหกผู้นี้ไม่มีทางที่จะบาดหมางใจต่อกัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามยุยงปลุกปั่นเพียงใด ก็ไม่อาจสั่นคลอนความสัมพันธ์พี่น้องได้ “ข้าแค่อยากสนทนากับน้องหก เหตุใดท่านต้องกีดกัน” “เพราะเพียงเจ้าอ้าปาก ข้าก็เห็นลิ้นไก่ของเจ้าอย่างไรเล่า” ใบหน้างามชาวาบเมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาวต่างมารดา ทั้งสองเกือบจะปะทะอารมณ์กันแต่ขณะนั้นท่านผู้เฒ่าเดินเข้ามาเสียก่อน ทุกคนจึงรีบคำนับอีกฝ่ายตามธรรมเนียม ชายชรากวาดมองหลานๆทั้งสิบเจ็ดคนก่อนที่เขาชะงักและชี้มือที่สั่นเทาไปยังไป๋เซียนก่อนเอ่ยขึ้น “บ่าวรับใช้ เหตุใดไม่ไปยืนรวมกันตรงนั้น” ไป๋ซูซูยกมือปิดปากก่อนยิ้มเยาะที่อีกฝ่ายถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไป๋เซียนไม่ได้รู้สึกอะไรแค่เวทนาเจ้าของร่างที่นอกจะเป็นเพียงตัวประกอบแล้ว ปู่แท้ๆก็ยังจดจำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ่าวรับใช้อีก “นางคือไป๋เซียนเจ้าค่ะ หาใช่บ่าวรับใช้” ไป๋ซินรีบแก้ไขความเข้าใจผิดของชายชรา เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนหันไปทักทายหลานชายไม่สนใจใยดีนางเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนมองลากสายตามองพี่สาวที่ส่งสายตาดูแคลน “น้องหก ข้าเห็นใจเจ้าเหลือเกินที่ท่านปู่จำเจ้าไม่ได้” ถึงจะเอ่ยออกมาแบบนั้นแต่แววตากลับฉายความรู้สึกที่ขัดแย้ง ไป๋ซูซูเดินจากไปทิ้งให้ไป๋เซียนมองตามด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายนั้นพยามเยาะเย้ยนางต่อหน้าพี่น้อง “อย่าได้ใส่ใจเลยน้องหก” “ข้าไม่ถือโทษโกรธคนจิตไม่ปกติหรอกพี่ใหญ่” หญิงสาวว่าอย่างนั้น ไป๋ซูซูเติบโตมากับมารดาที่มีอาการทางอารมณ์ ไม่แปลกที่นางจะดูคุ้มดีคุ้มร้ายในบางครั้ง ไป๋เซียนกลับมาที่เรือน กว่าจะเสร็จสิ้นพิธีก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม หญิงสาวหิวโหยจนปวดแสบปวดร้อนในท้อง นางไม่รอช้ารีบตักข้าวคำโตเข้าปากทันที “คุณหนู ค่อยๆกินเจ้าค่ะ” เห็นผู้เป็นนายตักข้าวคำใหญ่คำแล้วคำเล่า นางก็รีบเปลี่ยนช้อนจากขนาดใหญ่เป็นช้อนขนาดเล็กเพื่อลดปริมาณอาหารในแต่ละคำ หลี่ข่ายดูแลไป๋เซียนเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว เพื่อสุขภาพที่ดีและยืนยาวนางจึงต้องเคร่งครัด “นี่หลี่ข่าย ช่วยเล่าเรื่องของข้าให้ฟังหน่อยสิ” นั่งครุ่นคิดไปมาชักอยากจะรู้เรื่องราวของไป๋เซียนตัวประกอบให้มากกว่านี้ จึงได้ขอให้อีกฝ่ายนั้นเล่าให้ฟัง หลี่ข่ายยกยิ้มก่อนเอ่ย “คุณหนูไม่เบื่อหรือเจ้าคะ ฟังแต่เรื่องเดิมๆ” “เรื่องเดิมที่ไหน เจ้ายังไม่เคยเล่าเรื่องนิสัยของข้าให้ตัวข้าฟังเลยนะ” บ่าวรับใช้สาวพยายามคิดทบทวน แต่นางจำได้ว่าเคยเอ่ยไปบ้างแล้ว หลี่ข่ายเห็นว่าช่วงนี้ไป๋เซียนหลงลืมเรื่องราวหลายอย่าง นางจึงได้เริ่มต้นเล่าใหม่อีกครั้งหวังทบทวนความทรงจำของอีกฝ่าย “เช่นนั้นบ่าวจะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” ไป๋เซียนไม่เคยได้รับความรักจากบิดา แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังเจียดเบี้ยเลี้ยงมาที่เรือนเหลียนฮวาทุกเดือนไม่เคยขาด เด็กสาวตัวน้อยกำพร้าแม่ไร้การเหลียวแลจากบิดา สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้นางนั้นกลายเป็นคนเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้างดงามไม่เคยมีรอบยิ้มประดับ แม้ว่ามารดาของหลี่ข่ายจะพยายามดูแลเอาใจใส่ แต่ก็ไม่อาจทดแทนความอ้างว้างในใจของเด็กหญิงได้ “คุณหนูเคยเก็บตัวอยู่ในเรือนเป็นปีจนผิวกายซีดขาว” นางยังคงจำได้ ในปีนั้นไป๋ซูซูในวัยสิบสองหลอกล่อไป๋เซียนให้ออกไปวิ่งเล่นด้วย ก่อนจับน้องสาวมัดกับเสาและใช้หินขว้างปาอย่างสนุกสนาน โชคดีที่ไป๋ซินเดินผ่านมาและเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน ทำให้ไป๋เซียนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้หญิงสาวกลัวที่จะออกไปเผชิญหน้ากับผู้คน ช่วงเดือนแรกหลังเกิดเรื่องราว ไป๋เซียนร้องไห้ผวาทุกคืนจนหลี่ข่ายต้องขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยเพื่อคอยปลอบโยน หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธเคืองแทนไป๋เซียนผู้นี้เป็นอย่างมาก พลางเข่นเขี้ยวอยู่ในใจว่าหากได้พบหน้าไป๋ซูซูอีกครั้ง นางจะขอแก้แค้นให้อีกฝ่ายนั้นอยู่ไม่สู้ตายเลยทีเดียว! “คุณหนูไม่สนิทกับพี่น้อง จะมีเพียงคุณหนูไป๋ซินที่ยังพอพูดคุยได้” ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่นางจะสนิทสนมกับไป๋ซินที่สุด เพราะพี่สาวผู้นี้จิตใจดีเป็นที่หนึ่ง ทั้งยังอ่อนหวานอ่อนโยน ไม่น่าเล่าบุรุษตระกูลจางทั้งสองถึงได้รักได้หลงจนทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยครั้ง “ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ฉลาดเลือกคบคน” แม้ฟังๆดูแล้วจะไม่มีข้อดีเลยสักอย่างนอกจากใบหน้าที่งดงาม แต่อีกหนึ่งข้อดีก็คือการยอมรับไมตรีจากพี่สาวต่างมารดาอย่างไป๋ซิน ไป๋เซียนถอนหายใจยาว หลังได้ฟังเรื่องราวของตัวเองจนหมดสิ้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเห็นว่านี่เพิ่งจะเข้ายามลู่ นางจึงได้เอ่ยชวนบ่าวรับใช้ให้ออกไปตลาดด้วยกัน “ข้าอยากได้ผ้ามาตัดชุด เจ้าพาข้าไปซื้อได้หรือไม่” หลี่ข่ายพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่นางนั้นจะปาดผ้าหมาดลงบนโต๊ะเพื่อทำความสะอาด ไป๋เซียนสังเกตมานานหลายวัน นางไม่เคยเห็นบ่าวรับใช้ผู้นี้เกียจคร้านจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือ ข้าเห็นเจ้าเดินไปเดินมาทั้งวัน” “ไม่หรอกเจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของบ่าว” ไป๋เซียนไม่เห็นด้วยที่บ่าวรับใช้จะโหมงานหนักเช่นนี้ สำหรับนางแล้วหลี่ข่ายไม่ใช่คนชนชั้นต่ำศักดิ์กว่า แต่คือสหายที่ดีที่สุด ฉะนั้นแล้วนางจึงสั่งให้อีกฝ่ายหยุดทำงานและชวนไปตลาดด้วยกัน หลี่ข่ายไม่มีทางเลือกจำต้องทำตามคำสั่ง ที่ตลาดในวันนี้คนพลุกพล่านเป็นอย่างมาก ไป๋เซียนสอดส่องสายตามองหาร้านขายผ้าก่อนจะรีบแทรกฝูงชนเดินเข้าไปด้านใน “เชิญแม่นางน้อย” เห็นสตรีงามย่างกายเข้ามาในร้าน ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยต้อนรับ ไป๋เซียนเลือกผ้าอยู่นานเพราะเงินที่มีจำกัดทำให้นางนั้นซื้อผ้าได้เพียงสามผืนเท่านั้น “ผืนนี้เพิ่งได้มาจากพ่อค้าต่างแดน” ชายหนุ่มเห็นว่าไป๋เซียนดูสนอกสนใจผ้าผืนหนึ่งเป็นพิเศษจึงได้อวดอ้างที่มาของสินค้าทันที “ข้าอยากได้สีสันฉูดฉาดกว่านี้” ชายหนุ่มไม่รอช้ากุลีกุจอรื้อผ้าสีงดงามออกมาวางบนโต๊ะให้หญิงสาวเลือกจนกว่าจะพึงพอใจ ไป๋เซียนยื่นผ้าให้หลี่ข่ายก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางกลับไปยังจวนตระกูลไป๋ เดินทางกลับมาถึงจวน สองนายบ่าวไม่รอช้ารีบเตรียมข้าวของเพื่อตัดชุดไว้สำหรับสวมใส่ ส่วนอาภรณ์ในตู้ ไป๋เซียนตั้งใจจะเอาไปขายต่อถูกๆ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังหาแหล่งรับซื้อไม่ได้ “ข้าควรจะทำอย่างไร” หญิงสาวเอ่ยขณะที่นางนั้นกำลังสอยด้ายอย่างยากลำบาก เข็มปักผ้าในยุคสมัยนี้ใหญ่กว่าโลกปัจจุบันที่นางจากมา แต่เพราะเหตุใดถึงร้อยด้ายยากเย็นนัก “คุณหนู ให้บ่าวช่วยไหมเจ้าคะ” “ช่วยหน่อยละกัน ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าคงไม่ได้ลงมือปักผ้า” หลี่ข่ายจัดการเข็มและด้ายอย่างง่ายดายก่อนที่สองนายบ่าวจะช่วยกันตัดชิ้นส่วนผ้าเป็นไปตามรูปทรงผู้สวมใส่ “เจ้าว่าชุดนี้สวยหรือไม่” ไป๋เซียนเอ่ยถามบ่าวรับใช้สาว หลี่ข่ายหรี่ตามองภาพที่อยู่ในกระดาษก่อนที่นางจะพยักหน้า หญิงสาวยอมรับว่าฝีมือการออกแบบของคุณหนูนั้นเป็นเลิศ เพียงแต่ดูแปลกไปเสียหน่อยสำหรับคนเมืองนี้ “ข้าอยากตัดชุดใส่เอง” เห็นเสื้อผ้ามอซอของไป๋เซียนคนเก่าแล้ว นางก็ได้แต่นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นสวมใส่ไปได้อย่างไร ทั้งบาง ทั้งเก่า สีก็มอซอไร้ชีวิตชีวา นางไม่อาจทนใส่ได้จึงต้องยอมเจียดเงินที่มีเพื่อซื้อผ้ามาตัดอาภรณ์เอง คอยดูเถิด! ข้าจะเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดบนแผ่นดินนี้ให้ได้ หญิงสาวเอ่ยกับตัวเองในใจก่อนที่จะลงมือตั ดผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เส้นทางสู่ดาวของนางกำลังจะกลับมาอีกครั้ง นางจะเปลี่ยนตัวประกอบไร้ค่าให้กลายเป็นนางเอกและเป็นนางเอกที่ทุกคนจะต้องจดจำไม่มีวันลืมเลือน!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม