ชางเยว่อาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เนื้อตัวหอมกรุ่น ลี่เซียงจับนางสวมเสื้อผ้าสีแดงสดใสใส่กางเกงเปิดก้นให้ ตอนที่มารดาส่งนางให้ท่านพ่อ ชางเยว่ก็สบตาท่านพ่อด้วยสีหน้ามุ่งมั่นราวกับกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจสำคัญไม่มีผิด ชางฉือหมิงกระตุกยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าลูกสาวตัวแค่นี้เหตุใดมีสีหน้าหลากหลายเหลือเกิน คราวนี้ก็ราวกับจะรู้ว่าตัวเองเป็นความหวังที่จะทำให้ท่านย่าใจอ่อน
เขาอุ้มลูกสาวพร้อมกับถือตะกร้าข้าวของเครื่องใช้เด็กตรงไปยังเรือนอวิ๋นโซ่วของมารดา ตอนที่ไปถึงสาวใช้เฝ้าประตูเห็นเด็กในอ้อมแขนนายท่านก็ทำตาโต นางเพิ่งเคยเห็นคุณหนูเป็นครั้งแรก นึกไม่ถึงว่าจะน่ารักน่าชังขนาดนี้ หากไม่ติดว่าเป็นคุณหนูแล้วล่ะก็คงจะเข้าไปหยอกด้วยความเอ็นดูเป็นแน่
ชางฉือหมิงเดินผ่านประตูเข้าไปโดยไม่สนใจใครจนกระทั่งถึงในเรือน มารดาของเขากำลังนั่งเอนหลังจิบชาอยู่ที่เก้าอี้นอนตัวโปรด พอได้ยินเสียงลูกชายเอ่ยเรียก ‘ท่านแม่’ ก็รีบลุกขึ้นมาสีหน้ายินดี
“ฉือหมิง! แวะมากินข้าวเย็นด้วยกันหรือ”
ตอนแรกนางเห็นไม่ชัดว่าห่อผ้าสีแดงในอ้อมอกเขาคืออะไรกันแน่ ยังเห็นที่แขนเขาคล้องตะกร้ามาใบหนึ่งด้วยก็นึกว่าลูกชายคงหิ้วของดีอะไรมาฝากตน รีบเรียกให้บ่าวรับใช้เข้าไปรับ
“นายท่านถือของมา พวกเจ้าไม่รู้จักเข้าไปรับหรือไร ต้องให้สั่งสอนเสียทุกเรื่องเชียว”
ชางฉือหมิงเพียงมอบตะกร้าให้พวกนาง ห่อผ้าในอ้อมแขนยังคงประคองไว้ เขาเดินเข้ามาใกล้มารดา
“ท่านแม่ขอรับ”
เจาซื่อหันมาหาลูกชายจึงค่อยเห็น ‘ของ’ ในห่อผ้าได้ชัดถนัดตา นางได้เจอหลานสาวที่ตนเองตั้งข้อรังเกียจโดยไม่ทันตั้งตัว ยามนี้ถึงกับพูดไม่ออกไปเสียแล้ว ได้แต่มองเจ้าซาลาเปาขาวอ้วนตรงหน้า
เด็กน้อยตาโตผิวขาวใสราวน้ำนมกำลังจ้องมองมาที่นาง พอสบตากัน ริมฝีปากน้อยๆ ก็ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีชมพู แก้มยุ้ยแดงราวกับลูกท้อสุก เป็นเด็กหญิงที่งดงามมาก หากใครได้เห็นคงต้องตกหลุมรักในทันที กลิ่นหอมนมอ่อนละมุนติดอยู่บนผิวนุ่มนิ่ม เจาซื่อมองเทพธิดาตัวน้อยอย่างตกตะลึง
“อาเยว่ ทักทายท่านย่าเสียสิ”
เสียงของบุตรชายปลุกให้นางตื่นจากภวังค์ เจาซื่อรีบชักสีหน้าในทันที
“บอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องพานางมา เกิดนางเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาสตรีผู้นั้นจะมาว่าเอาได้”
ชางฉือหมิงไม่สนใจท่าทางมึนตึงของมารดา เขาจับลูกสาวเข้าไปใกล้มารดาอีกนิดจนผิวอุ่นๆ ของชางเยว่สัมผัสมือของผู้อาวุโส หวังจะให้ชางเยว่ชวนท่านย่าพูดคุยอ้อแอ้อย่างที่นางทำเป็นประจำ
ชางเยว่ไม่ได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้วดังที่บิดาคาดหวัง นางกำลังพยายามบังคับปากและลิ้นที่กล้ามเนื้อยังไม่พัฒนาเต็มที่อย่างสุดชีวิต
“ไนไน..ไนไน”
เสียงใสๆ ของเด็กน้อยฟังดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่ชางฉือหมิงกลับกล่าวกับมารดาอย่างตื่นเต้นยินดี
“ท่านแม่! ท่านฟังสิขอรับ! อาเยว่เรียกท่านว่าไหน่ไน! (ท่านย่า) ”
เจาซื่อตวัดสายตามองหลานสาวที่จ้องมาตาแป๋วพลางเอ่ยว่า ‘ไนไน’ ไม่หยุดก่อนจะรีบเบนสายตาไปทางอื่น ยามเอ่ยน้ำเสียงก็ติดจะขึ้นจมูก
“เด็กก็ส่งเสียงร้องไปตามประสา นางเพิ่งอายุสามเดือน ไหนเลยจะพูดได้เร็วเพียงนั้น นางยังไม่รู้เรื่องเสียหน่อย”
“ไนไน...ไนไน”
ชางเยว่ยังไม่ละความพยายาม นางมองท่านย่าด้วยดวงตาสีน้ำตาลใส น่ารักจนแทบลืมหายใจ เจาซื่อกำมือแน่น พยายามจะไม่ยื่นมือไปลูบแก้มยุ้ยๆ นั่น
“ข้าหิวแล้ว ไปบอกให้โรงครัวยกสำรับมาเร็วหน่อย”
เจาซื่อหันไปสั่งสาวใช้เป็นการตัดบท ไม่อยากจะสนใจสองพ่อลูกคู่นี้ พอสาวใช้ออกจากห้องไป ชางฉือหมิงก็เอ่ยกับมารดา
“ตอนลูกบอกอาเยว่ว่าจะพานางมาหาท่านย่า อาเยว่ดีใจใหญ่เชียวขอรับ ใช่หรือไม่อาเยว่ของพ่อ”
ท้ายประโยคเขาก้มลงถามเด็กน้อยในอ้อมแขน ชางเยว่รีบรับคำอย่างกระตือรือร้น
“แอ้ๆๆ ”
แต่เจาซื่อใจแข็งนัก ตอนนี้นางทำทีเป็นหันไปหยิบหนังสือบนโต๊ะมาพลิกดู ตั้งใจว่าจะเมินเฉยให้ถึงที่สุด
เด็กน้อยหาได้ยอมแพ้ อุตส่าห์ได้มีโอกาสพบท่านย่าทั้งที ในเมื่อลูกอ้อนใช้ไม่ได้ผล ชางเยว่ก็เริ่มบีบน้ำตา นางเบะปากร้องไห้แงๆ เสียงเบา น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นราวกับเม็ดมุก ท่านพ่อไม่เท่าทันอุบาย เห็นนางร้องไห้ก็ตกใจ รีบปลอบโยนอย่างร้อนรน
"อาเยว่เป็นอะไรไป เหตุใดอยู่ดีๆ จึงร้องไห้"
ท่าทางลนลานของบุตรชายทำให้ฮูหยินใหญ่ทนต่อไปไม่ได้ เขาเป็นบุรุษย่อมเป็นธรรมดาที่จะดูแลเด็กไม่เป็น สัญชาตญาณความเป็นแม่ของเจาซื่อเริ่มทำงานในทันที
"เด็กอ่อนขนาดนี้ซี้ซั้วอุ้มมาโดยไม่มีคนเลี้ยงมาด้วยได้อย่างไร เจ้านี่จริงๆ เลย"
เจาซื่อบ่นพลางวางหนังสือในมือลง รีบชะโงกมาดูจากม้านั่ง
"ปกตินางเลี้ยงง่าย ไม่เคยร้องไห้โยเยเลยขอรับ วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อาเยว่ไม่สบายหรือเปล่า"
น้ำเสียงของชางฉือหมิงเป็นกังวลจากใจจริง หาได้เท่าทันมารยาของลูกสาว ชางเยว่เห็นท่านย่าเริ่มให้ความสนใจก็ยิ่งร้องไห้ไม่หยุด นางมิได้แผดเสียงดังน่ารำคาญ กลับใช้น้ำเสียงออดอ้อนราวกับลูกแมวตัวน้อย สองมือกลมป้อมยกขึ้นขยี้ตา
"เมื่อครู่นางยังร่าเริงอยู่เลยมิใช่หรือ สีหน้าก็ปกติดี ไม่น่าจะป่วยอะไร เจ้าลองดูเร็วเข้านางทำเลอะเทอะหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็คงจะหิว เจ้านี่จริงๆ เลย"
เจาซื่อดุบุตรชาย แต่เห็นท่าทางเขาเงอะงะจึงเอื้อมไปรับหลานสาวมาอุ้มไว้เสียเอง
นางเปิดผ้าอ้อมดูกางเกงอย่างคล่องแคล่ว กำลังสงสัยว่าทารกน้อยจะหิวนางก็หยุดร้องไห้เสียแล้ว มิหนำซ้ำยังซบหน้าเข้ากับอกท่านย่า ซุกไซ้ราวกับลูกแมวที่โหยหาความอบอุ่น เจาซื่อถึงกับมองแล้วยิ้มโดยไม่รู้ตัว
"โอ๋ๆ คนดี ไม่ร้องแล้ว หิวหรือ จะเอาอะไรก็บอกไหน่ไน"
ชางเยว่ช้อนดวงตาเปียกชื้นขึ้นมองท่านย่าพลางกล่าวตาม
"ไน..ไน..."
พอได้ยินเสียงเล็กๆ ที่เอ่ยคล้ายไม่ตั้งใจ กระแสความอบอุ่นก็วาบขึ้นกลางอกผู้อาวุโส นานเท่าใดแล้วที่ไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของทารกน้อยในอก ชางฉือหมิงเติบใหญ่หลายปีแล้ว นางไม่มีบุตรคนอื่นอีก บางคราวก็โหยหาสัมผัสอบอุ่นเช่นนี้เหลือเกิน แถมแม่หนูน้อยนี่ก็หน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตา ยิ่งมองก็ยิ่งนึกเอ็นดูจนไม่อยากจะปล่อย
ชางฉือหมิงมองมารดาที่ยามนี้ไม่สนใจตนแม้แต่น้อย สายตาของผู้อาวุโสจับจ้องอยู่แต่ที่หลานสาว เหลือท่าทางหมางเมินอย่างเมื่อครู่เสียที่ไหน ขณะนั้นสาวใช้ก็ยกสำรับเข้ามาพอดี เขาจึงคิดจะกล่าวขอตัวเพื่อไม่ให้รบกวนเวลาอาหารเย็นของมารดา