ชางเยว่เล่นกับท่านพ่อได้สักพักก็ง่วงนอน ยิ่งได้อยู่ในอ้อมอกอุ่นของท่านพ่อช่างสบายเหลือเกิน เพียงไม่นานก็หลับไป ลี่เซียงเห็นเช่นนั้นจึงทำท่าจะไปรับบุตรสาวมานอนในเปล แต่ชางฉือหมิงส่ายหน้า เอ่ยกับนางเสียงเบา
“ให้ข้าได้อุ้มนางอย่างนี้สักหน่อยเถอะ”
ลี่เซียงรู้ว่าเขารักบุตรสาวมากแต่ก็ยังเอ่ย
“หากท่านอุ้มนางหลับเช่นนี้วันหน้าจะเคยมือ พอไม่มีคนอุ้มเด็กก็ไม่ยอมนอนเสียแล้ว คนเลี้ยงจะเหนื่อยเอาได้”
ชายหนุ่มได้ยินคำของภรรยาก็ไม่ขัด เขารู้ดีว่าตนเองไม่อาจคอยอยู่เลี้ยงดูลูกสาวได้ตลอดเวลา แค่นี้ก็ทำให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว แต่ใจก็ยังอยากใกล้ชิดลูกสาว
“ให้นางนอนบนเตียงเจ้าได้หรือไม่”
ลี่เซียงดูเหมือนจะเดาเจตนาของเขาได้จึงพยักหน้า นางเดินไปจัดหมอนให้ลูกสาวแล้วหันมารับชางเยว่ไปวางอย่างเบามือ เด็กน้อยงึมงำทำท่าเหมือนจะตื่น ลี่เซียงจึงตบก้นอ้วนๆ นั้นเบาๆ พอจัดวางให้นางนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ชางฉือหมิงก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมลูกสาว
บรรยากาศในเรือนนี้เงียบสงบ ไม่เพียงเพราะอยู่ห่างไกล สวนไผ่ที่รายรอบยังดูดกลืนเสียงรบกวนจากภายนอก ห้องนอนของลี่เซียงมีกลิ่นอายอบอุ่นสดชื่น บนเตียงของนางยังมีกลิ่นกายหอมละมุนของเจ้าของ ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้ากังวลล้วนมลายไปสิ้น เพียงไม่นานก็หลับไปพร้อมกับลูกสาว
ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากห้องชั้นนอก ดูเหมือนกำลังจะจัดสำรับกันอยู่แต่ก็พยายามทำอย่างเบามือ เขาหันไปมองข้างกาย ลูกสาวตัวน้อยยังหลับใหล ชางฉือหมิงพยายามลุกขึ้นโดยไม่ทำให้นางตื่น แต่ดูเหมือนว่านางจะหลับเต็มอิ่มแล้ว เพียงฟูกนอนยวบลงไปเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกตัว เปลือกตาที่ประดับด้วยแพขนตาหนาขยับถี่ๆ ก่อนจะเปิดขึ้น
ดวงตาที่เพิ่งตื่นนอนของเด็กน้อยใสแวววาวราวกับแก้ว พอเห็นท่านพ่อนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ สองมืออ้วนกลมก็ยกขึ้นขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อเห็นว่าท่านพ่อยังอยู่ก็ยิ้มหวานอย่างดีใจ ชางฉือหมิงเห็นท่าทางน่ารักนั้นก็ใจละลาย อุ้มนางขึ้นมากอดไว้ แต่อยู่ดีๆ ชางเยว่ก็ดิ้นพล่าน
“อาเยว่เป็นอะไร”
“แอ๊ๆๆๆ”
นางไม่ได้ร้องไห้ แต่ท่าทางกระวนกระวายเหมือนต้องการอะไรสักอย่าง ชางฉือหมิงไม่เข้าใจท่าทางของลูกสาว ฝ่ายลี่เซียงได้ยินเสียงดังมาจากในห้องก็รีบเดินเข้ามา เห็นแม่หนูน้อยกำลังดิ้นรนอยู่ในอ้อมอกของบิดา ยังไม่ทันได้ถามไถ่พลันก็รู้คำตอบ
ชุดสีครามที่ใส่อยู่บ้านของสามีเปียกขยายเป็นวงกว้าง ชางฉือหมิงเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วจึงก้มลงมองผ้าอ้อมของลูกสาว
ชางเยว่อับอายเหลือเกิน นางปัสสาวะรดบิดา สองมือน้อยๆ ยกขึ้นปิดหน้าอย่างเสียใจพลางมีเสียงร้องไห้อูอูดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากน้อยที่เม้มแน่น
ชายหนุ่มเห็นท่าทางของลูกสาวก็ทั้งขันทั้งเอ็นดู เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือรังเกียจแม้สักนิด มือหนึ่งยกขึ้นมาจับมือลูกสาวที่ปิดตาออก แก้มยุ้ยๆ ของนางแดงแปร๊ด
“อาเยว่ ไม่เป็นไร พ่อไม่โกรธเจ้า”
ดวงตากลมโตของชางเยว่คลอไปด้วยน้ำตา ทั้งน่ารักน่าสงสาร นางละอายใจเหลือเกิน แต่เมื่อครู่นางกลั้นไม่ไหว พยายามจะบอกท่านพ่อ เขาก็ไม่เข้าใจ ท่านพ่ออุตส่าห์หาเวลาแวะมาอยู่กับนางแท้ๆ นางกลับปัสสาวะรดท่านพ่อ ทำให้เขาต้องกลับเรือนไปก่อนแน่ๆ
ลี่เซียงทำท่าจะรับลูกสาวมาจากเขา
“ท่านกลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เจ้าไปกินข้าวก่อนเถอะ ข้าจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นางเอง ให้สาวใช้สักคนมาสอนก็พอ”
เขาตอบเสียงอ่อนโยน ลี่เซียงรู้สึกว่าเขาช่างไม่เหมือนบุรุษทั่วไป มีใครบ้างยินดีทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง
แม่นมหลี่เดินตามเข้ามาในห้อง เห็นสองสามีภรรยาคุยกันอย่างสมานฉันท์จึงรีบรับอาสา
“เรื่องพวกนี้ให้บ่าวจัดการเถิดเจ้าค่ะ ท่านทั้งสองไปกินอาหารก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นเสียหมดเจ้าค่ะ”
ชางเยว่ยังคงสะเทือนใจไม่หายที่นางทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้นต่อหน้าท่านพ่อ ยามอยู่ตามลำพังกับแม่นมหลี่จึงปรับทุกข์เสียยกใหญ่ แม่นมหลี่เห็นคุณหนูเลี้ยงง่ายแถมยังช่างพูดคุยเช่นนี้ก็นึกเอ็นดูยิ่งนัก ตั้งแต่นางเลี้ยงเด็กมา ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนเฉลียวฉลาดเกินวัยและเลี้ยงง่ายเช่นคุณหนูมาก่อนเลย ช่างเป็นบุญของนายท่านและฮูหยินยิ่งนัก
“คุณหนูอย่าบ่นอีกเลยเจ้าค่ะ นายท่านมิได้ตำหนิคุณหนูเสียหน่อย”
แม่นมหลี่ฟังเสียงเย้วๆ ของอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องแต่ก็พอเดาได้ว่าคุณหนูรู้สึกอย่างไร ตั้งแต่นายท่านได้พบคุณหนูก็แวะเวียนมาที่เรือนนี้มิได้ขาด ดูทีว่าอนาคตของฮูหยินและคุณหนูคงไม่ลำบากแล้ว
พอเช็ดเนื้อตัวและเปลี่ยนผ้าห้อมเรียบร้อยแล้ว แม่นมหลี่ก็อุ้มนางออกไปหาท่านพ่อท่านแม่ที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่
อาตงบ่าวรับใช้ของชางฉือหมิงติดตามเขามาตั้งแต่ยังเด็กจึงเป็นคนหัวไวและรู้ใจเจ้านายตนเป็นอย่างดี เห็นชางฉือหมิงยังไม่กลับมาที่เรือน พอรับสำรับเสร็จแล้วก็ส่งมาให้ที่เรือนชิงฟาง ชางฉือหมิงจึงบอกให้เขาไปนำเสื้อผ้ามาให้ผลัดเปลี่ยน ชางเยว่พอรู้ว่าท่านพ่อไม่ต้องกลับไปแล้วก็ดีใจ ค่อยรู้สึกผิดน้อยลงบ้าง
ลี่เซียงคีบอาหารให้สามีอย่างเอาใจใส่ ชางฉือหมิงเห็นเช่นนั้นจึงคีบกับข้าวให้นางบ้าง
“เจ้าเองก็กินมากหน่อยเถอะ ตัวผอมบางเช่นนี้จะมีแรงอุ้มลูกได้อย่างไร”
ลี่เซียงได้ยินสามีกล่าวถึงรูปร่างของตนเองเช่นนี้ก็อายจนหน้าแดง รีบก้มหน้าพุ้ยข้าวเข้าปากกลบเกลื่อน
ตอนบ่ายชางฉือหมิงนั่งอ่านบันทึกคดีเก่าๆ อยู่บนศาลาหลังเรือนกับลูกสาว ที่เขาสามารถก้าวขึ้นมามีตำแหน่งผู้ช่วยเจ้ากรมอาญาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยล้วนเป็นเพราะสติปัญญาและความบากบั่นพยายาม น้อยคนนักที่จะใส่ใจตัวบทกฎหมายเก่าๆ แต่เขาถือคติว่าผู้ใดรู้มากย่อมได้เปรียบ ในหัวจึงมีคำพิพากษาของคดีในอดีตที่สามารถนำมาเทียบเคียงประกอบการตัดสินใจได้ ยามมีคดีความสำคัญที่มีข้อกฎหมายซับซ้อน ใต้เท้าหวังเจ้ากรมอาญามักจะต้องเรียกเขามาปรึกษาเสมอ
ตอนแรกลี่เซียงคิดจะปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองพ่อลูก แต่พอนางไม่มีท่าทางจะติดตามไป ชางเยว่ก็เหลียวมองพลางทำท่าจะร้องไห้ ลี่เซียงจึงจำต้องหอบงานผ้าออกไปนั่งทำด้วยกันที่ศาลา พ่อแม่ต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า ชางเยว่นอนมองพวกเขาสลับไปมาหลับๆ ตื่นๆ พอเด็กน้อยส่งเสียงพ่อแม่ก็หันมาช่วยกันดูแล เป็นภาพที่อบอุ่นยิ่งนัก
เวลาล่วงเลยไปเช่นนี้ตลอดบ่าย ชางฉือหมิงมองตะวันบนฟ้า พอเห็นว่าเวลาล่วงเข้ากลางยามเซิน (16.00) มารดาน่าจะตื่นจากนอนกลางวันแล้ว ก่อนมื้อเย็นกำลังว่างจึงคิดจะพาชางเยว่ไปหา แม่หนูน้อยตื่นอยู่พอดี เขาจึงบอกความคิดนี้กับภรรยา
“ข้าจะพานางไปเยี่ยมท่านแม่เสียหน่อย”
ลี่เซียงเงียบไปครู่หนึ่ง นางไม่อยากไปแต่ในใจก็อดเป็นห่วงลูกน้อยไม่ได้ ชางฉือหมิงเห็นสีหน้านางก็เข้าใจ
“วางใจเถอะ ข้าจะดูแลลูกของพวกเราเป็นอย่างดี ท่านแม่ถึงจะไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ก็มิใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร”
ลี่เซียงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า
“พานางไปอาบน้ำก่อนเถิด หากกลับมาเย็นเกินไปจะได้ไม่หนาว”
ชางฉือหมิงอุ้มลูกสาว ภรรยาเดินตามหลัง เหลียนฮวาถือข้าวของตามมา เห็นนายท่านมาติดๆ กันทุกวันเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจกับนายหญิงของตนยิ่งนัก