EP.1 เด็กกำพร้า
“เอามานี่!” เด็กชายวัยแปดขวบกระชากของเล่นชิ้นใหม่ในมือของเด็กสาวออกไปทันที
“นั่นของน้ำมนต์นะคะ” เด็กหญิงในวัยหกขวบร้องบอก
“แต่นี่มันเงินแม่ฉัน”
“แต่คุณท่านซื้อให้น้ำมนต์”
“แต่ฉันไม่ให้เล่น”
“พี่ภีม น้ำมนต์ขอคืน”
“อยากได้หรอ”
“ค่ะ น้ำมนต์อยากได้”
“งั้นฉันคืนให้ก็ได้”
“พี่ภีม! ฮึก” เด็กหญิงร้องไห้ออกมาทันที ที่ตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอถูกดึงผมจนหลุดออกหมดด้วยฝีมือลูกชายเข้าของบ้าน
“ฮ่าๆๆ อยากได้ก็เอาไปเลย ยัยเด็กไม่มีแม่ ฮ่าๆๆ”
“ตาภีมแกล้งน้องทำไม” คุณหญิงผกามาศที่ลงมาจากด้านบนของบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงน้ำมนต์ก็รีบเดินเข้าไปดูก่อนจะเห็นว่าลูกชายตนแกล้งเด็กหญิงคนนั้น
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อยครับ”
“ก็แม่เห็นอยู่ว่าเราทำตุ๊กตาน้องพัง”
“ภีมก็แค่อยากเล่นตุ๊กตาดูบ้างก็แค่นั้นเอง”
“หรอลูก งั้นแม่หักค่าขนมลูกอาทิตย์นี้เอาไปซื้อตุ๊กตาให้น้องคืนแล้วกัน น้ำมนต์ไปหาป้าสำรวมไปลูก”
“ค่ะ”
“ทำไมคุณแม่ต้องเอาเงินภีมไปซื้อของเล่นให้เด็กบ้านั่นด้วย”
“ตาภีม! แม่ไม่เคยสอนให้ลูกพูดไม่เพราะแบบนี้นะ”
“ก็แม่จะเอาเงินภีมไปซื้อของให้คนอื่น”
“ก็เราเกเรก่อน แม่ต้องลงโทษ”
“ภีมโกรธแม่แล้ว” ว่าจบภีมก็วิ่งหนีขึ้นห้องนอนของตนไป
ตกเย็นภีมที่ออกมาเล่นสนามหลังบ้านก็เห็นน้ำมนต์นั่งซ่อมตุ๊กตาอยู่ จึงเดินเข้าไปหา พลั่ก ตุบ!
“ฮึก พี่ภีมผลักน้ำมนต์ทำไมคะ ฮึก” น้ำมนต์ตกจากเก้าอี้เพราะฝีมือของภีม
“ฉันไม่มีน้อง อย่าสะเออะมาเรียกฉันว่าพี่!”
“แต่คุณท่านบอกให้น้ำมนต์เรียกพี่ภีม ฮึก”
“แต่ฉันไม่ให้เธอเรียก!”
“แล้วพี่ภีมจะให้น้ำมนต์เรียกว่าอะไร”
“เรียกฉันว่าคุณ แล้วอย่าให้ฉันได้ยินเธอเรียกว่าพี่อีก ยัยเด็กไม่มีแม่!” แล้วภีมก็เดินหนีเข้าบ้านไป
“ฮึก ฮือ” น้ำมนต์ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ที่สนามหญ้าหลังบ้านคนเดียว
ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่เธอเจอมาตั้งแต่จำความได้ว่าเธอจะถูกพี่ภีมแกล้งเธอมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะดึงผม ผลัก แย่งของเล่น หรือขนม ถ้าคุณท่านทั้งสองของบ้านอยู่พี่ภีมจะไม่ค่อยกล้าแกล้งเธอ แต่ส่วนมากท่านก็ไม่ค่อยอยู่เพราะท่านมีงานที่ต้องดูแล
สิบสามปีต่อมา...
“คุณแม่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ผมไม่ยอม!” ร่างสูงสมส่วนในวัยยี่สิบเอ็ดปีเถียงกับผู้เป็นแม่ของตนอย่างไม่พอใจ
“แล้วทำไมแม่จะทำไม่ได้ ห้องเราตั้งใหญ่ ให้น้องไปอยู่ด้วยคนจะเป็นอะไร”
“ก็ผมอยากอยู่คนเดียว ทำไมต้องให้คนอื่นมาอยู่ด้วย”
“น้ำมนต์ก็เป็นน้องเรานะลูก ไม่ใช่คนอื่น”
“แต่ผมไม่นับเป็นน้อง” ร่างสูงว่าพลางหันไปหาร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆผู้เป็นแม่ของตน
“ถ้าภีมไม่ให้น้องไปอยู่ด้วย งั้นแม่ก็จะซื้อคอนโดให้น้องใหม่อีกห้อง”
“คุณแม่!”
“จะเอายังไง บอกแม่มา แม่จะได้จัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จก่อนจะเปิดเทอม”
“คุณแม่อยากให้ไปอยู่ก็แล้วแต่คุณแม่เลยครับ ผมจะทำอะไรได้” ว่าจบภีมก็เดินหนีแม่ขึ้นห้องเหมือนอย่างเคย
“คุณท่านไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะ น้ำมนต์อยู่บ้านก็ได้”
“บ้านกับมหาลัยมันไกล น้ำมนต์ไปอยู่กับพี่เค้าน่ะดีแล้ว จะได้ไม่เหนื่อยด้วย”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่หรอก ฉันจัดการทุกอย่างให้แล้ว น้ำมนต์ไม่ต้องกังวล”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำมนต์ยกมือไหว้ผู้มือพระคุณของตนเองด้วยความรักและเคารพ
หนึ่งปีต่อมา...
น้ำมนต์
“น้ำมนต์วันนี้ไปกินไอติมกับพวกฉันก่อนแล้วค่อยกลับนะ” กัสจังเพื่อนสนิทของฉันเอ่ยชวนเมื่อหมดคาบเรียนในเวลาบ่าย
“แต่เรา...”
“ไปเหอะ นี่พึ่งจะบ่ายสามเอง กลับห้องก่อนห้าโมงเย็นแน่” หมวยชวนอีกคน
“อืมงั้นก็ได้” ฉันตอบตกลงเพื่อนออกไป เพราะฉันไม่ค่อยได้ไปไหนกับเพื่อนเท่าไหร่ ครั้งนี้ก็เลยไม่อยากปฏิเสธ อีกอย่างวันนี้เค้าเลิกเรียนตอนห้าโมงเย็นด้วยคงจะทัน
“ดีมาก งั้นไปกัน” แล้วเพื่อนทั้งสองก็ชวนฉันไปร้านเบเกอรี่ใกล้ๆมหาลัยทันที
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อน้ำมนต์ ตอนนี้เรียนปี2 มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง นิสัยฉันเป็นคนไม่ค่อยสู้คน ไม่ค่อยทันคนเท่าไหร่ ก็เลยมักถูกรังแกอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะจากเค้าคนนั้น
ฉันเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่แยกทางกันตอนที่แม่ท้องฉัน แต่พอวันที่แม่คลอดฉันท่านก็จากไปเพราะท่านร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว คุณท่านเจ้าของบ้าน(พ่อแม่ของภีม)ที่แม่ฉันเป็นแม่บ้านอยู่ ท่านก็เลยรับเลี้ยงฉัน เพราะท่านมีลูกชายคนเดียว ท่านอยากได้ลูกสาวอีกคน ฉันก็เลยได้เรียนที่ดีๆแบบนี้ไง
“วันนี้คนเยอะจัง” กัสจังพูดเมื่อเดินมาถึงในร้านที่ส่วนใหญ่ก็มีแต่นักศึกษามหาลัยฉันนั่นแหละ เพราะที่นี่เป็นร้านที่หน้านั่งมาก มีมุมให้เลือกนั่งทั้งนั่งเล่น ติวหนังสือ หรือเม้ามอยส์
“อืม ไปนั่งตรงนั้นดีกว่า ว่างพอดี” แล้วหมวยก็เดินนำไปที่ว่างที่มองเห็นทันที แต่ใครจะรู้ว่าโลกมันแคบจริงๆ
“นั่นลูกคนใช้บ้านภีมนี่คะ” เสียงพี่โบว์รุ่นพี่ฉันหนึ่งปีและยังเป็นคนสำคัญของคุณภีมดังขึ้น ทำให้ฉันชะงักและยืนก้มหน้าไม่กล้าเดินต่อไม่กล้าสบตาหรือเถียงเค้า
“อืม”
“ไม่คิดว่าเลิกเรียนแล้วจะอู้งานมาเที่ยวเล่นแบบนี้นะคะ” พี่โบว์ยังคงพูดออกมาอีกครั้ง
“หมวยน้ำมนต์มันยืนอยู่นี่แล้วมึงปวดคอบ้างไหมวะ” เสียงกัสจังถามหมวยออกไป
“ก็ไม่นะมึง”
“ก็แสดงว่าไม่ได้หนักหัวมึง งั้นกูว่ามันไปหนักหัวคนอื่นเข้าว่ะ” แล้วกัสจังก็พูดออกมา
“คงงั้น ไม่งั้นไม่เสือก” หมวยตอบกัสจังแล้วหันไปส่งยิ้มให้พี่โบว์ สองคนนี้จริงๆก็เป็นคนตรงๆแรงๆนั่นแหละ ถ้าฉันไม่มีหมวยกับกัสจังคงแย่กว่านี้
“เราไปนั่งกันเถอะ” ฉันไม่อยากให้เพื่อนมีปัญหาเพราะฉัน ก็เลยชวนเพื่อนเดินออกจากตรงนี้เพื่อเป็นการสงบศึก และเพื่อนฉันก็รู้ว่าฉันลำบากใจก็เลยยอมเดินมานั่ง
“มันไม่น่ารีบมาเลย”
“เราไม่อยากให้มีเรื่อง”
“แต่มันหาเรื่องแกก่อน”
“แกก็รู้ว่าตอนนี้เรามีแกสองคนช่วย แต่เรากลับคอนโดไปเราไม่มีใครช่วย”
“เออมันก็ถูกของแก” หมวยพูด
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าให้สู้กลับไปบ้าง” กัสจังเลยพูดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“พวกแกก็รู้ว่าเราไม่กล้า”
“แกต้องสู้บ้าง พวกแบบนี้ยิ่งไม่ตอบโต้มันยิ่งได้ใจ อีกอย่างถ้าพวกนั้นทำอะไร แกก็ฟ้องคุณท่านเลยสิ ยังไงพวกท่านก็เอ็นดูแกอยู่แล้ว” กัสจังพูด เรื่องของฉันเพื่อนรู้หมดแหละ เพราะฉันไม่ได้ปิดบังอะไร
“เราไม่อยากทำให้คุณท่านไม่สบายใจ”
“แต่ตัวเองก็ต้องทุกข์ใจเนี่ยหรอ” หมวยว่า
“ฉันไม่เป็นไร แค่นี้เอง”
“เห้อ ถ้าเค้าชอบรังแกมาก แกมาอยู่กับฉันก็ได้นะ ที่คอนโดฉันมีห้องว่าอีกตั้งสองห้อง” หมวยพูด
“ขอบใจพวกแกมากนะ ตอนนี้ฉันยังโอเค”
“อืมๆ งั้นกินไอติมดับอารมณ์กันดีกว่า”
“ป่ะกลับกัน” หลังจากกินไอติมกันเสร็จ กัสจังก็พูดขึ้น
“อืม” แล้วพวกเราก็เดินออกจากร้านเพื่อกลับบ้าน แต่ตอนเดินออกมาไม่เห็นคุณภีมนั่งอยู่ในร้านแล้ว เค้าคงจะกลับไปแล้วนั่นแหละ
“ป่ะน้ำมนต์ เจอกันนะหมวย” กัสจังเรียกฉันขึ้นรถก่อนจะหันไปโบกมือลาหมวย
“ขับรถดีๆนะ” ฉันลาหมวยอีกคน
“เค ไว้เจอกัน” แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันขึ้นรถ โดยฉันจะกลับกับกัสจังเกือบทุกวัน เพราะคอนโดกัสจังผ่านคอนโดที่ฉันอยู่
จริงๆแล้วคุณท่านก็ให้คุณภีมรับส่งฉันด้วยแหละ แต่ก็อย่างว่าคุณภีมเกลียดฉันอย่างกับอะไร เค้าไม่เคยให้ฉันนั่งรถเค้าหรอก แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเค้าหรอกนะ ฉันเข้าใจว่าเค้าเกลียดฉันมาก ฉันก็ได้แต่ทำใจยอมรับกับสถานะที่เค้าให้ฉันแบบนี้