EPISODE 06-02 พบหลักฐาน

2441 คำ
EPISODE 06-02 พบหลักฐาน “รัญจ้องผมขนาดนี้ ระวังจะหลงเสน่ห์ผมนะ” “ผมไม่รู้ว่าคุณจะใส่ใจลูกน้องขนาดนี้ รู้สารทุกข์สุกดิบ รู้ปัญหาในครอบครัว ยังคอยถามและให้ความช่วยเหลืออีก” “เพราะผมอายุสั้น ผมเลยอยากทำแต่เรื่องที่ดี อยากมีความสุข และอยากให้คนรอบตัวผมมีแต่ความสุข ผมมีเวลาช่วยเหลือพวกเขาได้อีกไม่นาน อะไรที่ให้ได้ผมก็ให้” เป็นอีกครั้งที่รัญกรมองชายผมขาวแล้วเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาประทับใจนิสัยอ่อนโยนแบบนี้ของจิรากร เขาชอบคนใจดี และการที่จะรู้นิสัยเบื้องลึกได้ก็คงต้องดูตอนปฏิบัติกับคนอื่นนี่แหละ แต่พอพูดถึงเรื่องอายุสั้นก็อดใจหายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเรื่องคำสาปนั้นจริงแท้แค่ไหน ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้จิรากรจากโลกนี้ไปด้วยคำสาปแช่งของคนอื่น มันน่าเสียดายถ้าโลกนี้จะเสียผู้ชายที่ทำอาหารอร่อยคนนี้ไป “แล้วเมื่อกี้คุณบอกว่าจะทำสนามกอล์ฟหลังบ้าน คือที่ดินที่เพิ่งกว้านซื้อมานี่ใช่ไหมครับ” “ใช่ เพิ่งถางหญ้า เคลียร์หน้าดิน นี่กำลังจะเกลี่ยดินถมอีกหลายชั้นแต่วันนี้รถเกลี่ยไม่มา เห็นว่าพยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้ฝนจะตก” “ทำเลข้างหลังดีมากเลยนะ ย่านนี้คนมีเงินเยอะนะคุณจิ ถ้าคุณเปิดสนามกอล์ฟให้คนเข้ามาเล่นได้ ผมว่าพวกนักธุรกิจทั้งหลายต้องมาใช้บริการแน่” “ไม่ละ ผมไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ที่ดินแค่แปดไร่เอง ผมสร้างไว้ตีกอล์ฟกับน้องชายผม รัญอยากออกไปดูหน่อยไหมล่ะ?” “ก็ได้ครับ อยากเห็นว่าข้างหลังมันทะลุไปซอยไหน” เรื่องซื้อที่ดิน จิรากรก็บอกเล่าให้อีกฝ่ายรับรู้บ้างแล้ว เรื่องทุบกำแพงด้านหลังเพื่อทำประตูเชื่อมก็บอก แต่ยังไม่มีโอกาสพารัญกรเดินดูที่ดินเลย ส่วนมากที่เข้ามาหากันก็จะแค่ทานข้าว พูดคุย แล้วก็กลับ วันนี้มีเวลาเลยตั้งใจจะชวนออกไปดูพื้นที่ด้วยกันสักหน่อย เผื่อรัญกรจะมีไอเดียอะไรผุดขึ้นมา ร่มคันใหญ่ที่กางได้สองคนถูกถือเตรียมไว้ก่อนออกไปนอกบ้าน ส่วนมืออีกข้างจิรากรถือรองเท้าแตะของตัวเองอีกคู่หนึ่งมาวางไว้หน้าเท้าเรียว นั่งย่อตัวรอจนกว่ารัญกรจะสวมรองเท้าเสร็จแล้วเห็นว่าใส่ได้ เขาจึงลุกขึ้นยืน “ทีหลังมาหาผมไม่ต้องแต่งตัวจัดเต็มก็ได้นะรัญ เสื้อยืด รองเท้าแตะก็ได้” “ก็ผมมาหาคุณจิในเวลางาน ปกติผมก็แต่งตัวแบบนี้” “รัญมาหาผมได้ทุกวันนั่นแหละ ผมว่างอยู่แล้ว นานทีจะมีเข้าไปประชุมที่บริษัท มาหาได้เลยนะ ผมเหงา” รัญกรเป็นคนแต่งตัวเก่ง ส่วนมากเขาจะชอบใส่ชุดสูทแต่แหวกอกโดยที่ด้านในไม่สวมอะไร กับกางเกงรัดรูป รองเท้าหนังหัวแหลมสีดำ ดีหน่อยที่วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นบาง ๆ ไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกมีเสื้อแจ็กเกตหนังคลุมไหล่มา แค่ถอดออกแล้วเปลี่ยนรองเท้าก็พอแล้ว ทันทีที่เท้าก้าวพ้นตัวบ้านก้าวแรก ร่มในมือของจิรากรก็กางออก เขายกแขนอีกข้างคล้องคอรัญกรเอาไว้เพื่อให้ใกล้ชิดกันอีกหน่อย ถ้าห่างกันมากไปอีกฝ่ายจะพ้นเงาร่มแล้วจะถูกแดดยามบ่ายโลมเลียเอาได้ ในทีแรกมีการขัดขืนเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับการกระทำถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เท่าไร ทว่าจิรากรไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร หรือถ้าเขารุ่มร่ามมากกว่านี้ มีหรือรัญกรจะป้องกันตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลยอีกแล้ว เมื่อเปิดประตูเชื่อมที่ทำขึ้นใหม่บริเวณรั้วด้านหลัง ก็พบที่ดินกว้างขวาง เห็นรั้วไม้อยู่ไกลลิบ ส่วนพื้นดินยังขรุขระไม่เรียบ คงต้องเกลี่ยและถมดินอีกหลายครั้ง หรือจะสร้างสนามกอล์ฟก็คงต้องเนรมิตพื้นให้เป็นคลื่น เพื่อความท้าทายตอนที่ตีลูกกอล์ฟออกไป รัญกรเดินเลียบริมรั้วไปเรื่อย ๆ กำลังจินตนาการว่าถ้าเป็นเขา เขาจะจัดการใช้ที่ผืนนี้ไว้ทำอะไรดี “น่าขี่ม้าเล่นนะครับ ที่กว้างมากเลย” “หืม รัญขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ?” “เป็นครับ แต่ไม่ได้ขี่มาสองปีแล้ว นี่ถ้าผมเป็นเจ้าของที่นะ ผมจะทำโรงม้าตรงนี้ ทำหลบแดดอย่างดี มีพื้นที่กว้างขวางให้ม้าได้พักผ่อนด้วย” ไม่ว่าเปล่า มือเรียวชี้แบ่งอาณาเขตกลางอากาศ เดินนำออกไปพลางพูดเป็นฉาก ๆ ว่าตรงไหนเป็นประตู ตรงไหนเป็นรางอาหาร ตรงไหนใส่หญ้า จิรากรกางร่มเดินตามไม่ทันเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ฟังเพลินมาก จนคิดจะสร้างโรงม้าให้รัญกรจริง ๆ อยากขี่ม้าเล่นกับรัญกรสักครั้งเหมือนกัน ตัวเขาเคยเรียนขี่ม้าเมื่อหลายปีก่อน พอเริ่มเบื่อจึงเลิกขี่ไป ไม่คิดว่าจะเจอคนที่เข้ามาจุดประกายได้อีกครั้งหนึ่ง “รัญออกแบบมาเลย เดี๋ยวผมจัดการให้ ผมก็ขี่ม้าเป็น อยากขี่กับรัญจัง” “คุณจิก็ขี่ม้าเป็นเหรอครับ ดีจัง ผมไม่รู้จักใครที่ขี่ม้าเป็นเลย แต่ว่าเมื่อกี้ผมก็พูดไปเรื่อยคุณไม่ต้องใส่ใจหรอก ถ้าจะทำจริงคุณจิก็ตัดสินใจได้เลยครับ” พวกเขาหยุดยืนอยู่กับที่ หันมองกลับไปอีกทีก็เดินห่างจากตัวบ้านมาไกลแล้ว อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวมากเสียจนรู้สึกเหนื่อยง่าย เหงื่อเริ่มไหลลงมาตามสันกราม เดิมทีตั้งใจจะเดินเล่นให้ทั่ว ตอนนี้คงต้องถอดใจเดินกลับ ทว่าขณะที่ยืนพักกันอยู่นั้น สายตาของรัญกรก็มองพื้นดินเลียบรั้วไม้นี้ตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดอะไร แล้วเขาก็สะดุดตากับดินกองหนึ่ง ดินด้านบนคนละสีกับพื้นดินทั่วบริเวณ มันสีเข้มกว่า เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นดินที่อยู่ลึกลงไปกว่าหน้าดินที่ยืนอยู่ ความชื้นทำให้ดินเปลี่ยนสีเป็นเข้มขึ้น แถมยังมีลักษณะนูนหนาขึ้นมากว่าปกติ จึงขบคิดในใจว่าตรงนี้ใครมาขุดดินทำอะไร ทั้งที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่ต้องลงเสารั้วเสียหน่อย อีกอย่างการเกลี่ยหน้าดินยังเกลี่ยมาไม่ถึงตรงนี้ด้วย ไม่มีทางที่จะเป็นดินใหม่ที่ใช้ถม ถึงใช่ก็จะเอามากองไว้ทำอะไรตรงนี้ที่เดียว คนขี้สงสัยอย่างรัญกรคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เขาเดินตรงไปที่ดินกองนั้น ใช้เท้าเขี่ยไปมาจนดินที่นูนอยู่เรียบเท่าพื้นทั่วไปแล้ว แต่ยังเห็นดินสีเข้มอยู่ แบบนี้ยืนยันอย่างเดียวว่ามีการขุดลงไปใต้ดินจริง เขาทิ้งตัวนั่งยอง ๆ ก่อนจะใช้สองมือกวักดินร่วนสีดำนี้ออก เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็พบวัตถุวาววับสะท้อนแสงแดด “มีด? ใครเอามาฝังไว้แถวนี้” มีดเล่มนี้ถูกหยิบขึ้นมาด้วยปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ รัญกรพยายามสัมผัสให้น้อยเพื่อให้หลงเหลือหลักฐานเก่าไว้ อย่างน้อยลายมือเขาจะได้ไม่ทับลายมือผู้ที่ใช้งานมันก่อนหน้านี้ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังตีตื้นให้รู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีกเมื่อพลิกมีดแล้วเจอสะเก็ดเลือด มัดติดอยู่ที่โคนมีดเพียงเล็กน้อย นอกเหนือจากสะเก็ดเลือดแล้วยังมีเศษเสี้ยวของเนื้อผลไม้ชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง เดาว่าคงเป็นมะม่วงสุกเพราะเห็นสีเหลืองชัดเจน “ผมว่ามีดเล่มนี้คือมีดเล่มที่แทงศพนั้นไม่ผิดแน่ ที่เอามายัดท้ายรถผมน่ะ ใครจะเอามีดมาฝังไว้แบบนี้ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดมา” “ก็จริงอย่างรัญว่า” “แม้จะมีก้อนสีแดงเข้มเล็ก ๆ นี่แค่นิดเดียวแต่ผมมั่นใจมากว่านี่คือสะเก็ดเลือดที่แห้งจากการล้างไม่หมด มันไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ชัดเท่านี้อีกแล้วคุณจิ” “คนที่จะเข้ามาตรงนี้ได้ก็ต้องคนในบ้านจริง ๆ สินะ ถึงรู้ว่าที่ดินนี้มันเป็นของผม มันมีที่กว้างพอจะฝังหลักฐานได้ อีกทั้งช่วงนี้กำลังเกลี่ยหน้าดินใหม่ ถ้าเกลี่ยทับตรงนี้เมื่อไรก็จะไม่มีใครหามีดเล่มนี้เจอ ผมจะไปดูกล้องวงจรปิดว่าใครเข้ามาบ้าง” “ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เข้ามาจากทางบ้านคุณ แต่จะลักลอบปีนรั้วไม้ที่คุณล้อมไว้เข้ามา มันไม่สูงเท่าไร ปีนง่ายจะตาย อีกอย่างคนทำนี่ก็รอบคอบนะครับ อุตส่าห์เดินมาขุดถึงริมรั้วตรงนี้ซึ่งห่างจากตัวบ้านคุณ คงคิดไม่ถึงว่าคุณจะเดินมาถึงตรงนี้ หรือไม่งั้นก็ตั้งใจฝังตรงนี้แล้วทำกองดินให้เด่นเพื่อล่อให้เราเจอแบบง่าย ๆ เพื่อยั่วโมโห อ่า กวนประสาทชะมัด” “เราเอาไปพิสูจน์ลายนิ้วมือไหม อาจจะเหลืออยู่” “ก็ได้ครับ ถ้ามันมีน่ะนะ ดูท่าคนทำคงไม่โง่ คงใส่ถุงมือก่อเหตุมากกว่าจะใช้มีดแทงคนด้วยมือเปล่า อืม... ผมถามหน่อย ช่วงนี้คุณเห็นบอดี้การ์ดกินมะม่วงสุกกันบ้างไหมครับ?” จิรากรยกมือขึ้นลูบคางขณะที่ครุ่นคิดหาคำตอบ แต่แล้วไม่นานก็ต้องพยักหน้าเมื่อเขาได้คำตอบแล้ว “ประมาณสามเดือนก่อนผมเหมามะม่วงจากสวนของครอบครัวบอดี้การ์ดคนหนึ่งมา มีทั้งมะม่วงสุกและดิบ ก็เอามาแจกจ่ายให้ทุกคนไปแบ่งกัน” เวลาสามเดือนก่อน ก็เป็นช่วงก่อนที่รัญกรจะเข้าไปวัดตัวให้สามพี่น้อง ถ้าอย่างนั้นยิ่งมั่นใจว่าเป็นคนในบ้านของจิรากรจริง ๆ เพราะมีทั้งเนื้อมะม่วงที่จิรากรเหมามาแจกจ่าย และมีทั้งสะเก็ดเลือดจากเหตุการณ์วันนั้น แถมยังมาฝังหลักฐานไว้ที่นี่อีก “ถ้าทุกคนได้กินมะม่วง เท่ากับว่าทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นะครับ มีดเล่มนี้บอกผมได้แค่ว่าคนใช้ถนัดขวา เพราะเห็นแค่เศษมะม่วงสีเหลืองแห้ง ๆ ติดแต่โคนของใบมีดด้านขวาเท่านั้น คนถนัดขวาจะพลิกมีดด้านขวาเพื่อปอกผลไม้ ซึ่งมันไม่ได้โดดเด่นอะไร ถ้าเป็นคนถนัดซ้ายยังจะจับตัวได้ง่ายกว่า อาจไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคนปอกมะม่วง แต่ต้องสงสัยทุกคนไว้ก่อน” “แต่ถ้ามีลายมือหลงเหลือ เราก็น่าจะจบเรื่องนี้ได้ไวขึ้น ยังไงผมก็ต้องลองพิสูจน์ดู” ทั้งคู่เดินกลับเข้าบ้านโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ต่างคนต่างใช้ความคิดของตัวเอง ได้แต่หวังว่าจะหาผู้อยู่เบื้องหลังนี้ได้โดยเร็ว ต่อให้ตอนนี้เหตุการณ์แปลกจะไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ยิ่งนานวันแล้วยังตีกรอบให้แคบลงไม่ได้ว่าผู้กระทำน่าจะเป็นใคร ฝั่งเรามีแต่จะเสียเปรียบ รัญกรนำผ้ามาห่อมีดเล่มนี้ก่อนจะยื่นให้เจ้าของบ้าน ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์ แววตาเต็มไปด้วยความกังวลจนเห็นได้ชัด “เอาน่า ต่อให้คุณจะทำใจโทษลูกน้องไม่ลง แต่คุณต้องระวังตัวตลอดเวลานะคุณจิ ให้น้องคุณมาอยู่เป็นเพื่อนก็ยังดี อย่างน้อยก็คอยเป็นหูเป็นตาให้ได้” “สองคนนั้นไม่ว่างหรอก ไม่อยากรบกวน ทุกคนมีอายุขัยเท่ากันหมด ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาดูแลผม อยากให้ได้ใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่” พูดเรื่องนี้ทีไรก็เหมือนมีก้อนความอึดอัดอยู่ที่ริมฝีปาก รัญกรไม่รู้จะปลอบอย่างไรให้จิรากรรู้สึกดีขึ้น การเจอหลักฐานวันนี้ทำให้เริ่มเข้าใกล้ความจริงขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ต้องแบกรับความรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นอีกเท่าตัว จิรากรชักจะใช้ชีวิตลำพังในบ้านหลังนี้ยากขึ้นแล้ว “ไม่เป็นไรนะคุณ ผมจะช่วยคุณจนกว่าเรื่องจะคลี่คลาย จนกว่าคุณจิจะปลอดภัย” “แลกกับการกินข้าวบ้านผมใช่ไหม?” “อื้ม ค่าจ้างผมถูกแสนถูกใช่ไหมล่ะ แค่ทำกับข้าวให้ผมกินก็พอครับ” จิรากรสลัดความว้าวุ่นในใจทิ้ง ก่อนจะเดินเข้าไปประจันหน้ากัน มือใหญ่เอื้อมไปเกลี่ยไฝเม็ดเล็กใต้ตาซ้ายด้วยความเอ็นดู “ผมจะเลี้ยงรัญให้อ้วนเลย จะให้รัญกินจนอิ่ม เลี้ยงให้อ้วน แล้วจับกิน” “คุณจิคิดว่าจะล้มหมูพ่อพันธุ์อย่างผมได้ง่าย ๆ เหรอครับ” “ลองดูไหมล่ะครับ ว่าผมจะล้มได้ไหม?” “เอ่อ ผมมีงานต้องทำต่อ ขอตัวนะครับ” รัญกรเพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า ‘จับกิน’ ก็ตอนที่ช้อนตามองสายตาวาววับแสนเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย รวมทั้งนิ้วเรียวที่ไล้ลงมาเกลี่ยแก้มเคลื่อนต่ำลงมาลูบคลึงริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการเร้าอารมณ์บางอย่าง เมื่อรู้ตัวแล้วเขาจะอยู่ให้อีกฝ่ายแทะโลมต่อทำไม มีแต่จะต้องรีบพาตัวเองหนีออกมา ก่อนที่จะถูกพฤติกรรมของคนเจ้าเล่ห์หว่านล้อมจนพาไปสู่การถูกจับกินอย่างที่เปรียบเปรย ซึ่งเขาไม่รู้ตัวเลยว่าอาการร้อนรนอย่างนี้กลับกลายเป็นที่น่าเอ็นดูของจิรากรเป็นอย่างมาก ร่างสูงยืนกอดอกมองแขกคนพิเศษกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากตัวบ้าน รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้าเขาอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับริมฝีปากนี้ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป เพราะจิรากรควบคุมให้ตัวเองหยุดยิ้มยังไม่ได้เลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม