บทที่ 13 เข้าป่ากับเปาเปา
เสิ่นลี่อิงและเปาหลงกลับมาถึงหมู่บ้านหยางในช่วงปลายยามเว่ย เมื่อมาถึงแล้วนางจึงหยิบขนมปังในมิติให้เปาเปาน้อยทานรองท้องก่อน จากนั้นนางก็นำของที่แบ่งไว้นอกมิติเพียงเล็กน้อยจัดเรียงในครัว แม้จะย้ำเรื่องราวหลอกผีของบ้านหลังนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังเข็ดเหลือเกินกับการถูกโจรปล้นบ้าน ผู้ใดจะรู้ว่าผีบ้านนางมีอิทธิฤทธิ์เพียงไหน คราวหน้าอาจออกมาช่วยมิได้ก็เป็นได้
เมื่อนึกได้จึงร้องบอกผีออกไปว่า “พวกเจ้ามาเข้าฝันข้าได้หรือไม่ หากอยากให้ค่าเซ่นไหว้สิ่งใด หรือมีวิธีใดที่จะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้พวกเจ้าได้ อย่าได้เกรงใจขอให้บอก”
ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็ต้องสนับสนุนกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะต้องมาคุยกับผี
เปาหลงตัวน้อยที่กำลังนั่งบิดรูบิคอยู่ด้านใน ได้ยินนางพูดจึงเดินออกมาแอบดูเห็นนางส่งเสียงคุยแต่ไม่มีผู้ใดอยู่ตรงนั้น ทั้งยังดึงของมากมาย เข้าๆ ออกๆ จากอากาศได้ ‘พี่สาวเป็นเทพมาร!’ เด็กน้อยเหลือบมองรูบิคในมือเข้าใจทันทีว่าการที่นางบอกให้เขาเก็บไว้มิให้ผู้ใดเห็นคงเพราะนี่คือของเล่นจากภพมารสินะ
เสิ่นลี่อิงไม่รู้เลยว่าจินตนาการของเด็กน้อยในความดูแลนั้นถึงกับยกนางในเป็นเทพมารเสียแล้ว “อ้าวเจ้าเปาเปาน้อยมานี่เร็วข้ากำลังจะทำขนมให้เจ้ากินพอดี”
“ขนมอันใด”
“โดนัท ขนมแป้งทอดมีรูตรงกลาง หอมอร่อยมาก”
“ไม่เคยเห็น จากที่อื่นหรือขอรับ”
“ใช่แล้วจากที่อื่น” เสิ่นลี่อิงตอบไปโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางย้ำให้เปาเปาเชื่ออย่างสนิทใจว่านางคือเทพมาร
“เปาเปาช่วย”
นางพยักหน้าตอบรับให้เด็กน้อยมาทำโดนัทด้วยกัน เสิ่นลี่อิงให้เด็กน้อยเป็นผู้นวดแป้ง ส่วนนางก็ทำตัวเคลือบจากไอซิ่งและนมในมิติ หนึ่งเด็กหนึงผู้ใหญ่ช่วยกันปั้นและทอดอย่างแข็งขัน หัวเราะร่ามีความสุขกับโดนัทร้อนๆ ในใจของเปาหลงน้อยสาบานกับตนเอง ชีวิตนี้มีเพียงสองเป้าหมาย หนึ่งคือต้องเก่งเพื่อกลับไปหาท่านพ่อ และสองคือต้องเก่งเพื่อปกป้องพี่สาวผู้มีพระคุณผู้นี้ หากวันใดที่นางโดนจับได้ว่าเป็นมารเขาจะปกป้องนางเอง
“นำแป้งทอดไปแบ่งลู่เว่ยกัน วันนี้เขาน่าจะยังอยู่ในไร่ แบ่งเด็กผู้อื่นด้วย”
แป้งทอดเคลือบหวานกลายเป็นที่ฮือฮาในหมู่บ้านหยางในทันที เด็กๆ ที่ได้ลิ้มลองต่างเคล็บเคลิ้มไปกับความนุ่มของแป้งและความหวานของน้ำตาลเคลือบ รสชาติหวานนั่นลอยฟุ้งอยู่ทั่วปาก ส่วนจินเหมยเมื่อได้ชิมก็เสนอให้นางนำไปขาย เสิ่นลี่อิงก็อยากนำไปขาย หากแต่วัตถุดิบสำคัญอย่างนมและเนยแม้จะนำมาจากมิติได้ แต่นางก็ยังมิรู้ว่าของเหล่านี้เมื่อหมดแล้วจะมีเติมอีกหรือไม่ นั่นจึงเป็นการเตือนให้เสิ่นลี่อิงกลับบ้านไปสำรวจมิติให้ดีเสียที
“เอานี่เจ้าดื่มนมเสียก่อน” เมื่อมาถึงก็จับเปาเปากินนมส่วนตัวนางก็หลบมาดูของวิเศษในมิติ ด้านบนน้ำกลิ่นจันทร์ที่นางแน่ใจว่าไม่มีวันเพราะตักไปเท่าใดก็มีปริมาณเท่าเดิม คือไหใบหนึ่งเมื่อสัมผัสไปพบว่าสามารถใช้เพิ่มปริมาณสิ่งของในมิติได้ เรียกว่าไหตัว
นี่มัน?! Motherlode ในเกมชัดๆ ทำไมถึงไม่ดูให้เร็วกว่านี้
เสิ่นลี่อิงจึงลองนำเนยเข้าไปใส่แท่งหนึ่งก็เกิดเนยมากขึ้นตรงหน้า เห็นเช่นนั้นนางจึงลองนำตำลึงทองใส่ลงไปแต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อ่อต้องเป็นของจากในมิติแต่แรกสินะ เซ็ง…
นางหยิบของในมิติมาเพิ่มปริมาณจนเพิ่มไม่ได้อีก จึงคิดว่าไหนี้คงมีกำหนดปริมาณสิ่งของที่เพิ่มได้ต่อวันเอาไว้ นางจึงนั่งลงเร่งทำเสี่ยวหลงเปาเตรียมไปส่งพรุ่งนี้ ก่อนจะมาทำอาหารเย็นวันนี้เสิ่นลี่อิงลงมือทำมักกะโรนีซีสให้เปาหลงได้ทาน ซึ่งก็ถูกใจเด็กน้อยตามคาด
วันรุ่งขึ้นเสิ่นลี่อิงไปตกลงกับลุงไฉ่ว่าสามารถนำเสี่ยวหลงเปาไปส่งยังร้านบะหมี่ของลุงเฉินได้หรือไม่ ลุงไฉ่ยินดีช่วยเหลือนางเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดที่ลูกชายของตนคิดจะมาปล้นของบ้านนาง ลี่อิงปฏิเสธและขอเปลี่ยนเป็นการจ้างงานแทน นางเสนอค่านำเสี่ยวหลงเปาไปส่งและรับน้ำแกงบะหมี่กลับมาวันละ 10 อีแปะ และนางฝากให้ลุงไฉ่บอกลุงเฉินร้านบะหมี่ว่านางจะเข้ามารับเงินทุกๆ 7 วัน เมื่อตกลงกันได้เสิ่นลี่อิงก็จ่ายค่าจ้างไว้ล่วงหน้า 6 วัน และฝากบอกลูกชายของลุงทั้งสองว่าให้มาถอนหญ้าที่บ้านนางในวันพรุ่งนี้
“ไปกันเถอะเปาเปาวันนี้พวกเราไปเข้าป่ากันดีกว่า”
“ไปทำไมขอรับอันตราย”
“ในป่ามีสิ่งของมากมาย อาจนำมาขายแลกเงินได้” เมื่อพูดเท่านั้นเปาหลงน้อยเข้าใจในทันที คติประจำใจของเด็กน้อยกลายเป็น ’มีเงินคือเก่ง’ ไปจริงๆ เสียแล้ว
เสิ่นลี่อิงเตรียมตะกร้าสะพายหลังเพื่อเดินขึ้นเขาและหาตะกร้าแบบถือให้เปาหลงน้อยถือไว้เช่นกัน นางเดินขึ้นไปบนเขาในเส้นทางที่ไม่มีผู้คนสัญจรมากนัก เมื่อเดินเข้าไปลึกพบว่ามีบริเวณที่ต้นไม้ขึ้นบางตาและเป็นผืนแผ่นดินโล่งๆ นางจึงเดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ
“นั่นมันขี้ทาเกลือ!”
หากนางสามารถผลิตเกลือได้เองนั่นย่อมเป็นเรื่องดี ทั้งเพื่อเก็บไหตัวไว้ใช้เพิ่มสิ่งอื่น และหากนางจะทำเครื่องปรุงด้วยตนเองย่อมต้องใช้เกลือในปริมาณมาก เสิ่นลี่อิงนำจอบออกมาจากมิติและเริ่มขูดผืนดินที่มีเกลือสีขาวผุดอยู่บนผืนดินทันที เมื่อเห็นว่าเปาหลงกำลังมองอยู่นางจึงนำช้อนออกมาให้เขาตักขี้ทาเกลือที่มีลักษณะคล้ายทรายที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยให้นาง
เมื่อขูดออกมาได้ปริมาณมากพอ นางจึงมองหาต้นหนามจางที่มักจะขึ้นอยู่ตามบริเวณสายแร่เกลืออยู่เสมอ หนามจางเป็นสิ่งสำคัญ ในโลกที่ไม่มีเครื่องวัดความเค็มเช่นนี้ นางต้องใช้เครื่องวัดความเค็มตามธรรมชาติอย่างต้นหนามจาง นางจดจำตำแหน่งที่หาเจอไว้ในใจ จากนั้นก็ชวนเด็กน้อย ออกไปเก็บเห็ดป่าและไม่ลืมที่จะขุดดิน และหยิบเศษโพรงไม้ในบริเวณที่เจอเห็ดกลับลงไปด้วย
“กลับกันเถิดนี่ก็ใกล้มืดแล้ว แค่ 2 สิ่งนี้พวกเราก็มีงานให้ทำไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
“พี่สาวจะทำของขายหรือ”
“ใช่แล้ว ขายเพียงเสี่ยวหลงเปาไม่ได้หรอก เงินเพียงเท่านั้นไม่พอให้ข้าปกป้องดูแลเจ้า”
“เปาเปาช่วย”
“ดีมากเพราะข้าต้องการลูกมือ”
ในระหว่างที่กำลังเดินกลับมานางก็บังเอิญเจอจินเหมยที่เดินลงเขามาจากอีกทางพอดี “อ้าวพี่จินเหมยวันนี้ก็มาเก็บของป่าอีกแล้วหรือ”
“ใช่แล้วข้ามาเก็บเห็ดป่าและผักป่าไปส่งขายเกือบทุกวัน เจ้าเล่า”
“ข้ามาลองเก็บเห็ดป่า และขุดดินตรงที่เจอเห็ดป่าอยากจะไปลองขยายพันธุ์ต่อดูว่าทำได้หรือไม่”
“เรื่องเช่นนี้ทำได้หรือ ไม่เคยเห็นใครทำ เห็ดไม่ใช่พืชไม่มีเมล็ดจะปลูกได้อย่างไร”
“ข้าก็เพียงลองดูเท่านั้นหากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
จินเหมยพยักหน้ารับรู้ และเปลี่ยนมาคุยกับเปาเปาแทน “แล้วนั่นเจ้าขุดอะไรมา ขุดทรายกลับไปเล่นหรือ”
“ขอรับ” เปาหลงเคยได้ยินท่านพ่อปราบคนค้าเกลือ แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือเกลือหรือไม่ หากแต่พี่สาวพูดว่าขี้ทาเกลือ เขาจึงระแวงไว้และช่วยเสิ่นลี่อิงปกปิด
ใช้เวลาเดินกลับมาอีก 2 เค่อก็ถึงบ้านหลังน้อยท้ายหมู่บ้านหยางของนางเสียที นางร่ำลากับจินเหมยเสร็จสรรพก็ชวนเปาหลงให้ไปหลังบ้านทันที
“เรามาทำเกลือกัน”
เปาหลงพยักหน้าภาวนาให้ท่านพ่ออย่ามาปราบนางเลย หากถูกจับได้เขาจะคุกเข้าขอร้องท่านพ่อให้ละโทษให้นาง “เปาเปาช่วยเอง”