บทที่ 21 หมอชิงเสวียน(?)
เสิ่นลี่อิงเข้าไปคว้าจับประคองร่างของหมอจ้านไว้ไม่ให้ล้มหัวฟาดลงไป นางจับหมอจ้านลงนอนหงายท่ามกลางความวุ่นวายแตกตื่นของคนในร้าน
“ผีซ้ำด้ำพลอย ผีซ้ำด้ำพลอยจริงๆ” หลงจู๊ที่ใจดีปันพื้นที่ให้เสิ่นลี่อิงรักษาเด็กหญิงกล่าวขึ้น เมื่อเห็นว่าร้านของตนท่าจะมีคนป่วยเพิ่มอีกเสียแล้ว
ส่วนเปาหลงก็ตะลึงงันที่เห็นคนมาเจ็บป่วยต่อหน้าติดๆ กัน จนเกิดท่าทีหวาดกลัวหายใจหอบถี่ขึ้นมา เสิ่นลี่อิงในเวลานี้อยากแยกร่างได้ยิ่งกว่าสิ่งใด แต่นางก็ต้องเริ่มจากผู้ที่มีอาการฉุกเฉินที่สุดก่อนนั่นก็คือหมอจ้านผู้ปากดีผู้นี้ ตั้งแต่มาภพนี้นี่อาจเป็นวันที่นางใช้ความรู้จากภพเดิมได้คุ้มค่าที่สุด
เสิ่นลี่อิงลงมือทำซีพีอาร์ทันที เมื่อเห็นว่าหมอจ้านยังไม่มีการตอบสนอง นางจึงนำเครื่องกระตุ้นหัวใจพกพาออกมาใช้กับเขา และทำซีพีอาร์ต่อจนชายที่นอนหมดสติอยู่เริ่มรู้สึกตัว โชคดีที่มีชั้นวางขายกระดาษบดบังอยู่พอดีจึงทำให้ผู้คนไม่แตกตื่นที่นางนำของออกมาจากอากาศว่างเปล่า
เมื่อดูแลทุกคนเสร็จแล้วนางจึงเดินไปหาเปาหลงจับมือเขาไว้และชวนให้หายใจเข้าออกยาวๆ ไปพร้อมกับเด็กน้อยจนใจเย็นลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงร้องไห้หนักอยู่”
“เปาเปาพูดตามพี่สาวนะ ข้าตัวใหญ่”
“เปาเปา ตัวหย่าย(ตัวใหญ่) ฮือๆๆ”
“ข้ากล้าหาญ”
“ข้ากล้า ฮึก ฮือ”
“ข้าฉลาด”
“ข้าฉยาด(ฉลาด) ฮึก” เปาเปาน้อยสูดน้ำมูกปาดน้ำตา หายใจเข้าออกจนสุดปอดก่อนจะพูดกับเสิ่นลี่อิงอย่างจริงจัง
“เปาเปานึกถึงเรื่องในป่ามีแต่คนนอนนิ่ง” เปาเปาที่สงบลงก็กลับมาพูดชัดเจนไม่อ้อแอ้เหมือนยามร้องไห้หนักอีก
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” นางกอดปลอบเปาเปาน้อยไว้แนบอก
“ทำไมพี่สาวไม่ช่วยข้าก่อน” เปาหลงน้ำตาไหลรินอีกครั้งด้วยความน้อยใจ เพราะเปาเปาคิดว่าพี่สาวควรจะต้องปลอบเขาก่อนใครจึงจะถูกต้อง
“หากข้ามาหาเจ้าก่อนชายผู้นั้นจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”
“แต่เปาเปากลัว”
“ข้ารู้ แต่ตัวข้ามีแค่เพียงผู้เดียว หากข้าไม่ช่วยเขาไว้และปล่อยให้ตายทั้งที่ช่วยได้ เราสองคนจะรู้สึกผิด”
“เข้าใจแล้ว แต่ยังเสียใจ”
“งั้นข้ากอดแน่นๆ 10 ที และคืนนี้จะเล่านิทานเรื่องเด็กชายผู้ฆ่ายักษ์ดีหรือไม่” ในที่สุดเพราะข้อแลกเปลี่ยนเป็นนิทานเรื่องใหม่ก็ทำให้เปาหลงยอมหายน้อยใจแต่โดยดี
.
.
“คนเจ็บอยู่ที่ใด” เสียงชายอีกคนดังขึ้นที่หน้าร้าน เดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวที่นางให้ไปตามพ่อแม่และหมอในคราแรก
“ด้านในๆ” หลงจู๊ร้องตอบออกไป
ใครอีกเนี่ย ถ้ามาดูถูกกันเหมือนเมื่อกี้ต้องได้ตายกันไปข้าง
“แม่นางคนเจ็บเป็นเด็กมิใช่หรือ เหตุใดจึงเป็นหมอจ้านมานอนอยู่”
“เอ่อคือ คนเจ็บคนแรกอยู่หลังม่าน ข้ารักษาแล้ว แม่ของนางดูแลอยู่ ส่วนท่านหมอผู้นี้เจ็บหน้าอกจนสิ้นสติไปแต่เขาไม่เป็นไรแล้ว”
“เข้าใจแล้ว” หมอท่านนั้นเดินเข้าไปดูอาการของเด็กด้านในก่อน
หมอจ้านที่พึ่งฟื้นคืนสติมีน้ำตาคลอเบ้าเขาหันมามองเสิ่นลี่อิงที่อุ้มเปาหลงอยู่ และเข้ามาคุกเข่าคาระวะนางแบบเต็มพิธีการ
“ท่านทำอันใดกัน”
“ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว”
“ท่านหมอจ้านพอเถิด ไม่ต้องมากพิธีอันใด ท่านควรกลับไปพักผ่อน” นางส่ายหัวให้กับการกระทำที่พลิกหน้าพลิกหลังเช่นนี้นัก แต่หลังจากหว่านล้อมอยู่นานในที่สุดเขาก็ยอมลุกไปนั่งที่อื่น
“ท่านหมอหญิงท่านรักษาได้อย่างไรหรือ” หมอที่มาทีหลังเดินออกมาถามกับนางด้วยแววตาอ่านยาก
“ข้าจะบอกท่านเท่าที่ข้าได้รับอนุญาตก็แล้วกัน” หมอหนุ่มผู้นั้นพยักหน้าเชิงว่าเข้าใจ เพราะแต่ละสำนักแต่ละสายอาจารย์ก็มีความลับของตนที่มิอาจเปิดเผยได้
เสิ่นลี่อิงอธิบายความรู้ของนางให้หมอชิงเสวียนผู้นั้นฟังเท่าที่จะทำได้ เครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างที่ไม่มีในยุคสมัยนี้นางก็ต้องจำใจกล่าวข้ามไป และแนะนำให้หมอท่านนี้ศึกษาเพิ่มเติมจากร่างมนุษย์ หากมีผู้ใดที่อาสาบริจาคร่างกายตนให้ศึกษาหลังสิ้นลมหายใจก็ให้คว้าโอกาสนั้นไว้
เสิ่นลี่อิงและหมอชิงเสวียนโต้ตอบกันอย่างออกรสชาติ แม้จะอยู่ในภพที่โบราณเช่นนี้แต่ความเข้าใจของหมอหนุ่มผู้นี้ก็ล้ำหน้าไม่น้อย ผิดกับหมอจ้านที่นั่งเงียบไม่ได้กล่าวสิ่งใดนอกจากส่งเสียงราวกลับไม่พอใจออกมา
อะไรของเขา น่ารำคาญจริง
“เด็กก็หายแล้วหมอจ้านเองก็เช่นกัน ข้าก็ควรไปได้เสียที” นางหันไปหาฮูหยินกู๋กำชับวิธีการดูแลเด็กต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะรับของและจ่ายเงินกับหลงจู๊ร้านกระดาษและอุ้มเปาหลงจากไปจากร้านนี้เสียที
เมื่อนางเดินออกมาแล้วหมอชิงเสวียนกลับวิ่งตามมา “ท่านหมอลี่! เดี๋ยวก่อน”
“ข้าบอกแล้วว่าข้ามิใช่หมอ”
“รักษาคนจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร”
“เห้อ เอาเถอะ เจ้ามีอะไรอีกหรือ”
“ข้าเพียงต้องการเป็นสหายกับเจ้า วันหน้าข้าไปขอความรู้อีกได้หรือไม่”
“ย่อมได้ ข้าเข้าเมืองบ่อยอยู่แล้ว แลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้า ข้าเองก็ได้ความรู้ ผิดกับท่านหมอจ้านผู้นั้น คราแรกก็ดูถูกข้าเสียมากมาย พอข้าช่วยไว้จึงได้เงียบลงแต่ก็ยังมีท่าทางน่ารำคาญใจ”
“เขาเป็นเช่นนั้นแหละ มาจากตระกูลที่เป็นหมอมาหลายชั่วอายุคน ความโอหังของเขาแม้สูงเสียดแผ่นฟ้าก็มิอาจเทียบเทียม”
“เจ้าก็ดูท่าจะไม่ชอบหมอจ้าน”
“ไม่หรอก เขาชอบปล่อยข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับโรงหมอของข้า หากไม่เข้าตาจนหรือไม่มีเงิน คนก็ไม่ค่อยอยากจะมาโรงหมอของข้ากัน วันนี้หากมิใช่เพราะหมอจ้านมาช้าข้าก็คงไม่ถูกตามมา”
“นั่นกลับเป็นข้อดีสำหรับเจ้า เมื่อเข้าตาจนและไม่มีเงินก็มักจะมาด้วยอาการสาหัส เจ้าเองก็ได้ฝึกฝีมือ เพียงแค่ต้องรอผู้คนได้รับรู้ฝีฝือเจ้าที่ฝึกฝนมาด้วยตนเอง มิใช่อาศัยชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเช่นนี้”
“มุมมองนี้ช่างดีนัก หากมีสิ่งใด หมอหญิงลี่มาที่โรงหมอของข้าได้ทุกเมื่อ”
“อืม ลาแล้วๆ”
“เชิญ เชิญ” หมอชิงเสวียนยืนมองเสิ่นลี่อิงไปจนลับสายตา การสร้างมิตรภาพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องรอง แต่หมอหญิงลี่คนนี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก แต่เขาเพียงยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ารู้จักนางจากที่ใดกัน
นางเข็นรถขายของไปรับน้ำแกงกับลุงเฉินและรับเงินค่าเสี่ยวหลงเปาด้วยตัวเอง ลุงเฉินก็ยังคงขายดิบขายดีอยู่เช่นเดิม และมีการปรับขายเป็นรอบเพื่อให้มีสินค้าตลอดวัน
เสิ่นลี่อิงพาเปาเปาไปซื้อวัตถุดิบไปเพิ่มสำหรับสัปดาห์หน้าก่อนกลับ “เปาหลงวันนี้เราคงต้องเดินกลับเสียแล้ว เลยเวลารอบเกวียนของท่านลุงไฉ่แล้ว”
“เดินได้ขอรับ”
นางเดินวนรอบตลาดก่อนจะได้ยินประกาศงานเลี้ยงชมจันทร์ที่จวนเสียนอ๋องในคืนวันมะรืน ทั้งในประกาศยังบอกให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถไปขายของหน้าจวนอ๋องได้อีกด้วย
ได้ข่าวมาแล้วสินะ รวดเร็วเสียจริง!
เมื่อเห็นว่าญาติผู้พี่นั้นวางแผนรอบขอบเพียงไรนางก็สุขใจไม่น้อย ประกาศล่วงหน้า 2 วัน ทั้งยังเชิญให้คนไปขายของ หากมีคนซุ่มดูที่จวนเสียนอ๋องว่ามีหญิงสาวมาขอความช่วยเหลือหรือไม่ก็จะไม่รู้สึกสงสัยใดๆ และนางยังสามารถปะปนไปกับผู้คนได้
หากผู้บงการนั้นเป็นคนรอบคอบการดักรอเสิ่นลี่อิงมาขอความช่วยเหลือจากญาติผู้พี่ของตนก็นับว่าไม่เกินความจริง
.
.
.
นางกลับมาถึงก็ยังคงต้องลงแรงทำเสี่ยวหลงเปาและไหนจะต้องเตรียมของไปขายอีก เมื่อจะไปขอซื้อไข่จากจินเหมย เสิ่นลี่อิงจึงบังเกิดความคิดดีๆ
_________
ผีซ้ำด้ำพลอย หมายถึงซวย โชคไม่ดี