ตอนที่ 1
เมื่อทางที่จะทำให้น้องสาวได้จัดการคนบางคนถูกขวางทางเอาไว้ เขาจำเป็นต้องถางทาง(เธอ)...ออกไป แต่เมื่อคุณเธอไม่ยอม แล้วอะไรจะเกิดขึ้นล่ะ!
หนึ่งสาวร้าย ก็ปากไม่ได้จัดสักเท่าไหร่นะ แค่มีคนพูดลับหลังว่าเลี้ยงสุนัขไว้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
หนึ่งหนุ่มหล่อ...หล่อมาก หน้าตาคมเข้ม การแต่งกายก็เริดหรูดูดี(หรือเปล่าไม่แน่ใจ) ที่หลายครั้งถูกเรียกหลับหลังว่าคุณสำอาง
เมื่อสองหนุ่มสาวมาเจอกัน ศึกนี้ใครจะชนะ?
chapter 1
เสียงประตูห้องพักเปิดออก ทำให้คนที่นอนหงุดหงิดอยู่บนเตียง เพราะเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวก ด้วยขาขวาถูกพันไว้ด้วยเฝือกพลาสติกเพื่อช่วยพยุงกระดูกที่ร้าวอยู่ไม่ให้เคลื่อนที่ผิดรูป อันเนื่องมาตอนที่รถไปชนเข้ากับต้นไม้นั้น ตัวเธอได้กระแทกเข้ากับขอบประตูอย่างรุนแรง ยังดีว่ากระจกที่แตกร้าวไม่กระเด็นมาบาดตามผิวให้เป็นรอยแผลอันน่าเกลียด ส่วนขานี่...เธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไปโดนอะไรมาถึงได้แตกร้าวจนต้องเข้าเฝือกนานแรมเดือนแบบนี้ จะเดินจะเหินก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย
ใบหน้านวลผ่องเรียวรูปไข่ค่อนไปทางซีดแย้มยิ้มอย่างเริงร่า ดวงตาเบิกกว้างอย่างยินดี เมื่อเห็นหน้าคนมาเยี่ยมในวันนี้ คนซึ่งเธออยากเจอหน้าที่สุดคนหนึ่งนับรองจากมารดา แต่รู้ดีว่าอีกฝ่ายนะยุ่งมากถึงมากที่สุด หน้าที่การงานและภาระอันหนักอึ้งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้เขาโผล่หน้ามาหาเธอได้ อยากจะลุกขึ้นกระโดนไปโอบแขนรอบคอแล้วกดจมูกบนแก้มสากด้วยไรเคราเขียวเป็นปื้นสักสองสามฟอน แต่ก็ทำได้เพียงแค่ขยับพลิกตัวที่ก็เคล็ดขัดยอกแปลบๆ ไปทั่วร่าง
“พี่ใหญ่! ดีใจจังเลยคะที่พี่ใหญ่มาเยี่ยม” เปรมมิกาเอ่ยพูดเสียงใสแจ๋ว ตื่นเต้นและยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นหน้าพี่ชายต่างบิดา คนซึ่งเธอรักไม่น้อยกว่ามารดาผู้ให้กำเนิด
มือเล็กยื่นไปหาอีกฝ่ายเพราะต้องการได้กำลังใจเล็กๆ น้อยๆ จากผู้เป็นพี่ชายพร้อมกับน้ำตาเอ่อล้นไหลคลอเบ้าอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ เมื่อได้เห็นคนที่หวังดีกับเธอจริง ๆ ไม่ใช่ต่อหน้าคือหวังดี ปากบอกว่ามาเยี่ยม แต่ไม่เคยมีใครสักคนที่จะถามไถ่เรื่องอาการเลยสักนิด มีแต่จะต่อว่าต่อขานที่เธอทำให้ครอบครัวอับอายขายขี้หน้า มิหนำซ้ำลับหลังยังพูดจานิทาว่าร้าย ไม่เคยหยุดพูดจาดูถูกหยามเหยียดให้เจ็บไปถึงหัวใจ อึดอัดจนอยากจะร้องไห้เสียก็หลายครั้ง แต่พอเห็นหน้าเศร้าเหงาของแม่ ทำเอาน้ำตาที่ควรจะไหลออกมาข้างนอกกลับไหลย้อนกลับเข้าไปข้างในแทน ทว่าตอนนี้...เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาได้อย่างไม่ต้องกักเก็บอีกแล้ว
“ยังไงละเรา ดูหน้าตาสดชื่นแจ่มใสขึ้นแล้วนี่” ผู้ที่ถูกเรียกว่า “พี่ใหญ่” เอ่ยทักด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้มซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็น กายหนาแกร่งเดินไปที่หยุดริมขอบเตียง กวาดสายตามองไปทั่วร่างแบบบางในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลอย่างโล่งไปทั้งทรวงเหมือนกับยกภูเขาอก เมื่อเห็นว่าน้องสาวบาดเจ็บเพียงแค่ภายนอกจริงๆ
“นึกยังไงถึงเอาตัวไปวัดถนนแบบนั้น อยากรู้มากนักหรือไง ไอ้พื้นถนนนั่นมันหนาเท่าไหร่” ชายหนุ่มถามประชดประชัน มือแกร่งยื่นไปทาบบนศีรษะทุย เขย่ายีผมนุ่มสลวยจนฟูสยาย
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ วัดแล้วคุ้มไหม จะไปวัดอีกเมื่อไหร่ก็ช่วยบอกด้วยนะ คราวนี้พี่จะได้ส่งปอเต็กตึ้งไปคอยเก็บศพ”
อื้อฮื้อ...พี่ชายฉัน เล่นถามกันแบบนี้เลยนะ แทนที่จะถามว่าเธอเป็นยังไง เจ็บตรงไหนบ้าง ไม่มีเสียละ แต่ก็นี่แหละ นิสัยพี่ชายเธอ ปากร้ายเอาไว้ก่อน แต่ภายในนะคงเป็นห่วงเธอจะแย่แล้วละ
“พี่ใหญ่ก็ลองขับรถไปชนต้นไม้ดูบ้างซิคะ จะได้รู้ว่าเจ็บหรือว่าไม่เจ็บ” เอาดิ ถามรวนมาเธอก็ตอบรวนกลับไป
“ไม่ละ พี่มันพวกหนังบาง ไม่ปัญญาอ่อนพอจะเอาตัวเองไปวัดความหนาของพื้นถนนกับต้นไม้” ชายหนุ่มตอบแบบจิกกัดตามไปอีกนิด
“แล้วนี่ป้านาทไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ดูแลเราละ” เขาเอ่ยถามถึงนาทฤดีมารดาของอีกฝ่าย เมื่อมองไปแล้วไม่เห็น จะอยู่ในห้องน้ำก็ไม่ใช่ เพราะประตูเปิดอยู่
“แม่หรือคะ เปรมไล่ให้กลับไปบ้านแล้วละ อยู่นี่ก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายท่าเดียว ทำเอาเปรมปวดหัวมากกว่าจะรีบหายกลับไปนอนตีพุงที่บ้านอีกค่ะ” แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเอือมระอา แต่น้ำเสียงของเปรมมิกากลับเต็มไปด้วยความรักมากมายจนแทบจะล้น แม่เหนื่อยกับการมาเฝ้าดูแลเธอจนไม่ได้หลับได้นอนมาหลายคืนแล้ว ตอนนี้เธอเองก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ก็เลยอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
“พี่ใหญ่ถามถึงแม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อยอย่างสงสัย ก็รอยวันพันปี แม่แทบจะไม่พูดกับการันต์เลย แบบว่ากลัวมาดเข้ม ๆ หน้าเรียบเฉยจนเย็นชาและสายตาดุ ๆ ของพี่ชายคนนี้ แม่บอกว่าเห็นทีไรหัวใจจะหยุดเต้นเสียทุกครั้ง แต่เธอมองแล้วไม่เห็นว่ามันจะดุตรงไหน ออกจะน่ามองละไม่ว่า ดวงตาสีสีสนิมแวววาวคงความรู้สึกเฉยชาเป็นเนืองนิตย์ดูมีเสน่ห์ ลึกลับและน่าค้นหาจะตายไป
“เปล่า” สองมือใหญ่สอดในกระเป๋ากางเกง เดินไปหยุดอิงขอบประตูกระจกแก้วใส มองออกไปนอกโรงพยาบาล ถนนเส้นใหญ่มีรถวิ่งขวักไขว่ไปมาอย่างน่าปวดหัว เขาไม่ชอบเข้ามาในกรุงเทพเลย รถติด อากาศไม่บริสุทธิ์ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัวและยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองไม่เคยจะสนใจคนรอบข้าง ลองถามดูว่ารู้จักคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงหรือเปล่า เก้าในสิบหลังคือไม่รู้จัก
“พี่จะได้คุยกับเราสะดวกหน่อย”
“เรื่อง?” เปรมมิกาเอียงศีรษะมองตามร่างแผ่นหลังกว้างอย่างแปลกใจ การันต์ดูเครียดขรึมมาก ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยอยู่เป็นเนืองนิตย์อยู่แล้วยิ่งเรียบเฉยจนเหมือนกับถูกใครบล็อกเอาไว้ด้วยปูนซีเมนต์ นัยน์ตาแข็งกระด้างดุค่อนไปทางน่ากลัวเลยเชียวแหละ ฟันขาวขบกัดกลีบปากนุ่ม คิ้วโก่งขมวดมุ่นเข้าหากันจนเกือบจะผูกเป็นปม ความรู้สึกมันบอก เรื่องที่อีกฝ่ายจะคุยด้วยนั้น เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เธอประสบอุบัติเหตุนี่แหละ แต่มันเรื่องอะไรหว่า?...
“ที่ไปเมาจนเกิดอุบัติเหตุนะ ไม่ใช่เพราะอกหักรักคุดใช่ไหม”
อื้อฮื้อ...ถามตรงเป๊ะ ไม่อ้อมค้อมเลยพี่เรา ว่าแต่เรื่องที่เธออกเดาะนี่ ขนาดแม่อยู่ด้วยกันทุกวันยังไม่รู้เลยว่าเธอถูกผู้ชายที่คบหากันมาตั้งหลายปีทิ้งไปหาผู้หญิงคนใหม่ แล้วการัตน์รู้ได้ยังไง ใครปากโป้งหว่า? เซ็งจริงๆ เลย พวกพูดมากปากไม่มีหูรูดนี่
เปรมมิกาเบะหน้าอย่างเบื่อหน่าย อย่างนี้นี่เอง ญาติฝั่งบิดาถึงได้รุมประณามว่าเธอทำตัวไม่สมกับเป็นลูกของพ่อเอาเสียเลย ทำเสื่อมเสียวงศ์ตระกูล จนร่ำ ๆ อยากถามไปว่า เรื่องความรักของเธอมันเกี่ยวอะไรกับวงศ์ตระกูล ในเมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คิดจะนับว่าเธอเป็นญาติอยู่แล้ว และที่สำคัญก็คือว่า เธอไม่ได้ใช้นามสกุลบิดาสักหน่อย เธอเป็นแค่ลูกที่คนในครอบครัวพ่อไม่ต้องการ จนถึงกับรวมหัวกันให้เงินและบังคับให้แม่ไปทำแท้งด้วยซ้ำ แม้แม่จะใจแข็งและต้านเพียงใดก็ยังเพลี่ยงพล้ำเกือบจะถูกจับกรอกยาขับออก ทว่าเธอยังโชคดีที่วันนั้นแม้การัตน์จะอายุน้อยเพียงแค่เจ็ดขวบ แต่เด็กชายตัวน้อยกลับมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ปกป้องหญิงหัวอ่อนคนหนึ่งไว้จนเธอได้เกิดมา