อันที่จริงแม่เลี้ยงฉันเหมือนเพื่อนมากกว่าด้วยซ้ำ ทำให้ฉันสนิทกับแม่มากกว่าใคร ๆ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวด้วยแหละ
โชคดีของฉันแล้วที่เกิดมาในครอบครัวที่พร้อมและสมบูรณ์ขนาดนี้
“จะว่าไปรู้รึยังว่าพี่ลมเค้ากลับมาแล้วนะ”
“พี่ลม? อ๋อ พี่สายลมน่ะเหรอคะ”
“จ้ะ”
พี่สายลมที่ว่า ก็คือพี่ชายข้างบ้านที่เป็นคู่หมาย… อันที่จริงก็ไม่เชิงหรอก เพราะครอบครัวของพวกเราสนิทกันมาก ไปมาหาสู่กันบ่อยยิ่งกว่าญาติในสายเลือดแท้ ๆ พ่อแม่จับคู่ให้พวกเราตั้งแต่วันที่เพิ่งระบุเพศของฉันได้ในท้องแม่ด้วยซ้ำ พอเกิดมานอกจากมิ่งขวัญ ฉันก็มีพี่สายลมอีกคนที่คอยดูแลตอนเด็ก ๆ แต่ฉันจำเขาไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ก็พอพี่เค้าเรียนจบม.ต้น ก็ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลีย นาน ๆ ทีจะกลับมาบ้านสักครั้ง เรียกได้ว่าคำว่าคู่หมายของฉันกับพี่เขามีไว้เป็นไม้กันหมามากกว่า
แต่ถ้ากลับมาตอนนี้ คงหอบเอาพี่สะใภ้กลับมาด้วยเป็นโหลเลยล่ะมั้ง เพราะได้ยินคุณแม่ของพี่เค้าบ่นบ่อย ๆ ว่าลูกชายเปลี่ยนแฟนบ่อยยิ่งกว่าผ้าปูที่นอนอีก
“ไว้แม่จะชวนพี่เค้ามากินข้าวที่บ้าน เราก็กลับมาด้วยล่ะ”
“ค่าาาาา”
เอาไว้หลาจะพาว่าที่ลูกเขยมาไหว้ด้วยนะคะ
ผลสรุปจากการปฏิบัติการค้นหาหนังสือเก่า ๆ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สรุปได้ว่าเจอหนังสือจากห้องใต้หลังคาแค่สี่เล่ม ส่วนที่เหลือ แม่ได้แพ็คไปขายแล้วเรียบร้อย
ฮ่า ๆ ๆ น้ำตาไหลแทบถึงพื้นไปเลยค่า
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันลากยายมิ่งขวัญลงจากเตียงเพื่อไปร้านหนังสือมือสอง
“สรุปคือหาไม่เจอ เลยจะซื้อเอาสินะ”
“อือ”
“แล้วก็ลากฉันมาเพื่อหาคนช่วยถือเนี่ยนะ”
“อือ”
“แกเห็นฉันเป็นเบ๊สินะ”
“อือ”
“ลาก่อน”
“เดี๋ยวววว ฉันล้อเล่น! ล้อเล่น! อย่างอนสิ เดี๋ยวพาไปกินชานมไข่มุก” ฉันดึงแขนยายมิ่งที่ทำท่าจะเดินออกไป ฉันไม่ได้เห็นเป็นเบ๊สักหน่อย แค่ให้มาช่วยถือของเฉย ๆ
ถ้าพูดออกไปแบบนี้ ชานมไข่มุกก็รั้งไม่ไหวแน่ เพราะงั้นก็เลยสงบปากดีกว่า…
“ก็หนังสือเก่าที่บ้านฉันโดนแม่เอาไปขายหมดแล้วนี่นา”
“แล้วลูกร้านทองอย่างแกทำไมไม่ซื้อหนังสือใหม่ไปเลยล่ะ มาซื้อมือสองทำไม”
“ก็…” ฉันได้แต่ยิ้มแห้งเมื่อคิดถึงเงินที่เพิ่งจ่ายค่าสกินแคร์ไปเมื่อต้นเดือน “มันก็… กลายเป็นน้ำแร่บ้าง โลชั่นบ้าง พาเลทบ้าง… นี่นา… แถมเพราะขัดคำสั่งป๊า ป๊าก็เลยตัดค่าขนม...” ฉันพูดไป หลบสายตาแสนจะดุของยายมิ่งไป
“เฮ้อ… ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็รับปากน้องเค้าไปแล้วว่าจะช่วยเรื่องหนังสือด้วยอะ”
“ฉันล่ะเบื่อความหน้าใหญ่ของแกจริง ๆ”
“สัญญาว่าจะครั้งสุดท้าย น้า…” ฉันใช้ท่าไม้ตายกอดแขนอ้อน แต่กลับโดนนิ้วดีดเข้ากลางหน้าผากอย่างแรงแทน
“สัญญารอบที่ล้านแปดของแกน่ะเหรอ”
“เจ็บมาก!”
“แต่ก็ไม่เคยจำ!”
“แล้วจะช่วยไหมล่ะ”
“เออ!”
ฉันฉีกยิ้มกว้างเมื่อชนะใจยายมิ่งได้อีกครั้ง อันที่จริงต้องพูดว่าใจแข็งไม่พอมากกว่า โดนฉันอ้อนทีไรก็ใจอ่อนทุกที เพราะแบบนี้ไง นอกจากครอบครัวตามใจแล้ว เพื่อนสนิทก็เป็นสายสปอยล์อีกด้วย โตมาแบบไม่เสียคนก็เป็นบุญของตัวเองแล้ว
ฉันจูงมือ (ลาก) ยายมิ่งเดินเข้าไปในร้านหนังสือมือสอง ที่แม้จะมีแต่หนังสือเก่า ๆ แต่ในร้านกลับไม่ได้รู้สึกเก่าจนฝุ่นเกาะเลยสักนิด แถมหนังสือก็ยังอยู่ในสภาพดีด้วย
ฉันเดินไปตรงมุมหนังสือสำหรับเด็ก จะว่าไปแล้วโรงเรียนที่จะไปสร้างห้องสมุดนั้นเป็นโรงเรียนที่มีแต่นักเรียนชั้นประถมนี่นะ หนังสือนิทานมันจะดูเด็กเกินไปไหมเนี่ย แต่ตัวฉันตอนป.สามก็ยังอ่านซินเดอเรลล่าอยู่เลยนี่นา อ่านไปร้องไห้ไปเพราะอินจัดกับนางเอกที่โดนแม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายทำร้ายต่าง ๆ นานา แต่พอโตมาหน่อยจนได้อ่านต้นฉบับจริง ๆ ก็แบบว่า… ความฝันอันงดงามในวัยเด็กของฉันแตกละเอียดยิบไม่มีชิ้นดีเลยจ้า แต่ทุกวันนี้ทำใจได้แล้วเพราะผันตัวไปเป็นติ่งแทน
ติ่งผู้ชายที่ชื่อว่าแผ่นดิน…
ฉันเงยหน้ามองป้ายราคาที่เขียนติดอยู่บนชั้นวางหนังสือ เมื่อเห็นว่าราคาต่อเล่มนั้นไม่กี่บาท ก็หยิบนิทานที่ชอบออกมาหลายเล่มทันที ส่วนใหญ่ก็แนวเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งนั้นแหละ
และ… ฉันก็บังเอิญได้เจอเจ้าชายในร้านหนังสือมือสองเข้าจริง ๆ …
สาบานได้ว่าบังเอิญนะ เพราะดึงหนังสือออกมาหลายเล่ม จนมันเป็นช่องทะลุเห็นอีกฝั่ง และฉันก็จำสันกรามคม ๆ นั้นได้อย่างดี!
แผ่นดิน!
เขามาทำอะไรที่นี่!
ด้วยความตกใจบวกกับความซุ่มซ่ามฉบับนางเอกนิยายรักใส ๆ ฉันเผลอเดินถอยหลังจนหลังไปชนกับชั้นหนังสืออีกฝั่ง เพราะรีบหมุนตัวเร็วไปหน่อย ทำให้รองเท้าส้นเตี้ยเกิดพลิก!
“ว้าย!”
โครม!
เสียงที่ได้ยินนั้น ไม่ใช่เสียงตู้ล้มใส่แต่อย่างใด แต่เป็นเสียงของหนังสือที่ร่วงลงมาเพราะเผลอกวาดมือตามชั้นหนังสือเพราะเสียหลัก ทำให้หนังสือนับสิบเล่มหล่นใส่
ค่ะ… ถ้าเป็นเล่มบาง ๆ จะไม่เป็นอะไรเลย แต่นี่มันเล่มอย่างหนาชนิดฟาดหัวคนตายได้ แถมยังหล่นใส่ตัวฉันอีก แล้วคิดสภาพผู้หญิงร่างกายแสนจะบอบบางอย่างฉันสิคะ ช้ำแน่นอน รู้อย่างนี้ไม่น่าใส่กระโปรงสั้นมาเลย ขาขาว ๆ สุดที่รักของฉันต้องเป็นรอยแน่ ๆ TT