แต่ตอนนี้ฉันอายมากกว่า เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของฉัน ตามด้วยเสียงหนังสือ ทุกคนที่อยู่ในร้านก็หันมาสนใจทันที
ฮือ ทั้งเจ็บ ทั้งอาย ส่วนตัวต้นเหตุน่ะเหรอ …
“เป็นอะไรไหมครับ อ้าว… ดาหลา?”
พอเห็นเขารีบวิ่งมาช่วย ยิ่งทำให้ฉันประทับใจสุด ๆ จนเกือบลืมอาการเจ็บ ลืมความอายไปเลย
แผ่นดินรีบดึงฉันลุกขึ้นจากกองหนังสือ ส่วนมิ่งขวัญก็รีบวิ่งตาตื่นเข้ามาประคองฉันอีกที
ส่วนเจ้าของร้านก็…เหมือนจะช็อคอยู่นิดหน่อย
“ขอโทษด้วยนะคะ” ฉันรีบขอโทษทันที พร้อมกับสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป และสุดท้ายก็รับผิดชอบด้วยการซื้อหนังสือที่ทำหล่นลงมาทั้งหมดแทน
สรุป นอกจากหนังสือนิทานที่เลือกแล้ว ยังอุตส่าห์ได้หนังสือนิยายอีโรติกมาอีกเกือบสิบเล่ม แม่คะ! ตอนแรกก็นึกว่าหนังสือหายาก ซึ่งก็จริง
นิยายหายากเรทฉ. ที่ทำให้ฉันไม่กล้ามองหน้าแผ่นดินที่เดินออกมาด้วยเลย เขาคงคิดว่าฉันเป็นพวกหมกมุ่นบ้ากามแน่ ๆ ถึงได้เดินยิ้มแบบนั้นน่ะ หมดกัน... ภาพลักษณ์ใส ๆ กุลสตรีเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ที่อุตส่าห์สร้างมาของฉัน ตอนนี้น่ะเหรอ ผ้ายับเลยค่ะ
เราเดินออกจากร้านไปตามฟุตบาทเรื่อย ๆ ซึ่งอากาศก็ร้อนมาก ไม่ได้เป็นใจให้กับคนแพ้อากาศร้อนแบบฉันเลย
จนกระทั่งเราทั้งสามคน ใช่ค่ะ ทั้งสามคนคือฉัน มิ่งขวัญ และแผ่นดิน ที่เดินมาด้วยกันเพราะสาเหตุใดก็ไม่ทราบได้ แต่ก็เดินมาด้วยกันจนถึงร้านชานมไข่มุกที่ตั้งใจจะมากินกับมิ่งขวัญวันนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่า...
“เดี๋ยวฉันไปก่อนนะ พอดีนัดเพื่อนไว้ แกก็กลับเองแล้วกัน” ยายมิ่งรีบออกตัวเหมือนรู้งาน
“จะไปแล้วเหรอ ไหนว่าจะไปกินชานมไข่มุกด้วยกันไง” ฉันรีบคว้ามือยายมิ่งเอาไว้ พร้อมขอร้องด้วยสายตาว่าอย่าทิ้งฉันเอาไว้คนเดียวสิ ฉันไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาในสถานการณ์แบบนี้หรอกนะ
แต่เหมือนโดนแกล้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มปีศาจตรงหน้า
“โทษที นาย… ช่วยไปส่งดาหลาด้วยได้ไหม” มิ่งขวัญไม่สนใจฉันอีกต่อไป แถมยังฝากฝังฉันกับผู้ชายตัวโตข้าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ไว้ใจเขาขนาดนั้นเลยเหรอ…
นี่เขาผ่านคิวซีแล้วใช่มั้ย
แล้วเขาล่ะ ถ้าเขาไม่ตกลงนี่ หน้าแตกเย็บไม่ติดเลยนะ
“ได้”
บอกทีว่าฉันไม่ได้ฝันไป...
ยายมิ่งจากไปพร้อมกับถุงหนังสือนิทานสำหรับเด็ก ส่วนหนังสือนิยายอีโรติกสำหรับผู้ใหญ่ก็อยู่กับฉัน ใช่ค่ะ อยู่กับฉันเอง! คือ… ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรหรอกนะ เพราะฉันก็ชอบอ่าน แต่การจะถือมันเป็นสิบ ๆ เล่มต่อหน้าผู้ชายที่ฉันพยายามแอ๊บใสจีบเขาอยู่เนี่ย มันใช่เรื่องเหรอ! อายจนอยากจะตายอยู่แล้ว อากาศร้อนตอนนี้ยังไม่เท่าไฟที่มาจากยางอายที่กำลังสุมใจฉันเลย ร้อนรุ่มไปหมดแล้วเนี่ย
“แหะ ๆ ร้อนเนอะ”
ไม่ร้อนได้ไง ก็ยืนตากแดดอยู่เนี่ย ทั้งที่เข้าช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้ว แต่แสงแดดก็ไม่เคยปรานีมนุษย์โลกเลยแม้แต่นิดเดียว มองผิวตัวเองตอนนี้ก็รู้แล้วว่าถ้ายืนนานกว่านี้ พรุ่งนี้ฉันลอกคราบแน่ ๆ
“เข้าไปในร้านชานมกันมั้ย หรือจะกลับม. ดี” ฉันถามเสียงอ่อน พยายามข่มความอายและซ่อนถุงหนังสือแบบเนียน ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเขาน่ะ มองฉันเหมือนกำลังเอ็นดูลูกแมวอย่างนั้นแหละ เป็นสายตาที่ถ้าสบตาเกินสิบวิ ได้มีคนตายแน่ ๆ และคนคนนั้นก็คือฉันเอง
“แล้วแต่เธอสิ”
คือฉันให้นายเลือกนะ ไม่ใช่ให้โยนกลับมา
ฉันถอนหายใจเฮือก ถ้าอย่างนั้นฉันขอทำตามใจตัวเองก็แล้วกัน อีกอย่างก็ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ ด้วย ขอยึดตัวนายไว้กับฉันสักวันก็แล้วกันนะ…
“งั้นเข้าร้านนะ” ฉันชี้ร้านชานมไข่มุก มองเขาตาแป๋วเหมือนลูกแมว แม้ว่าจะดูเหมือนแอ๊บใสไปแล้วก็ตาม
แผ่นดินพยักหน้า
ถึงฉันจะตัดสินใจไปแล้ว แต่ก็ลังเลนิดหน่อย แต่พอมองตาเขาที่เหมือนจะไม่ว่าอะไรแล้ว ฉันก็เปิดประตูร้านเข้าไปทันที
อา… ฉันรักแอร์ของที่นี่จัง ถ้าฉันต้องเป็นหวัดเพราะความเย็นของที่นี่ก็ยอม
ด้วยความที่ร้านเพิ่งเปิดใหม่ ลูกค้าก็เลยยังไม่เยอะมาก ฉันกวาดสายตาหามุมที่ค่อนข้างส่วนตัวหน่อย เมื่อเจอก็รีบเดินไปวางของไว้ทันที ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังนุ่มนิ่ม สบายจัง
ฉันเผลอเอนหลังพิงอย่างลืมตัว ก่อนจะได้สติว่าไม่ได้มาคนเดียว ก็รีบเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงทันที ส่วนแผ่นดินก็เหมือนจะตกใจนิด ๆ
“ไม่เป็นไร ๆ ตามสบายเถอะ” เขาหัวเราะเบา ๆ
เหมือนโดนสะกดไปกับรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของเขาอีกแล้ว ผู้ชายอะไรยิ้มได้น่ารักน่าบีบจริง ๆ ยิ้มทีตาปิดเป็นสระอิเลย แถมฟันกระต่ายก็น่ารัก...
“ฉัน… สบายดี”
“แล้วขา ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“อืม…”
ฉันพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมสติไม่ให้ติ่งแตก ทั้งที่ในใจกรีดร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาเป็นห่วงฉัน! เขาเป็นห่วงฉัน!
และพวกเราก็เงียบ เป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก ฉันควรจะชวนเขาคุยสิ มาเขินมาอายอะไรตอนนี้ เวลานี้ต้องกอบโกยโมเมนต์สิยะยายดาหลา!
“แล้วนายมาทำอะไรเหรอ ที่ร้านหนังสือมือสองอะ” คำถามละลาบละล้วงเกินไปไหมนะ แต่ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้จะคุยอะไรนี่นา ปกติแล้วฉันจะเป็นคนตอบคำถามมากว่า ไม่เคยต้องมานั่งถามเองแบบนี้ เขาเป็นคนแรกเลยนะ