จะว่าฉันเห่อเกินไปหรือตื่นเต้นเกินไปก็ได้นะ หลังจากที่เขาพูดกับฉันวันนั้น วันนี้ฉันก็ส่งข้อความไปหาเขาทันที พอดูตารางเรียนแล้วว่าว่างตรงกันทั้งคู่ แต่ว่าข้อความที่เขาส่งกลับมานั้น…
[โทษทีนะ วันนี้ฉันต้องเข้าเวรคอกไก่แทนเพื่อนน่ะ ไว้วันหน้านะ]
ไม่นะ!!! ทั้งที่ในใจกรีดร้องแทบตาย แต่ก็ต้องตอบกลับไปอย่างนางฟ้า
[ไม่เป็นไร ๆ ค่อยเจอกันวันหน้าก็ได้]
เฮ้อ… แผนพังไม่เป็นท่าเลยแฮะ ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ฉันก็มาถึงสวนดอกแก้วแล้วนี่สิ สงสัยคงต้องเล่นคนเดียวแล้วล่ะมั้ง
ว่าแล้วก็เดินไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก หมดแพชชั่นในการใช้ชีวิต บางครั้งก็หยุดเดินและไปเล่นของเล่นตามจุดต่าง ๆ แทน งัดข้อบ้าง กระโดดสูงบ้าง เล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพราะจุดมุ่งหมายในวันนี้ของฉันดันต้องไปเฝ้าคอกไก่แทนเพื่อนซะงั้น! เฮ้อ… เศร้าจริงเชียว
ฉันเดินเล่นไปเรื่อย อย่างคนไม่รู้เวลาเพราะขี้เกียจยกมือถือขึ้นมาดู ปล่อยให้มันเล่นเพลงไปเรื่อย ๆ เพียงเท่านั้น ก่อนจะนั่งลงทอดน่องบนม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งกับเขา
แต่พอไม่มีเขาก็เหงาขึ้นมาเสียเฉย ๆ เลยแฮะ ทั้งที่เพิ่งได้คุยกันแค่สามครั้งเท่านั้น กลับรู้สึกว่าสนิทกันแล้ว หรืออาจจะเป็นฉันที่รู้สึกไปเองคนเดียวก็ได้ บางทีเขาอาจจะรำคาญ เลยหาข้ออ้างไม่มาเจอ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ฉันควรจะตัดใจเลยดีไหมนะ
“น่าเบื่อจัง…” ฉันก้มหน้ามองรองเท้าวิ่งตัวเองที่เพิ่งจะขุดออกมาใช้ได้แค่สองครั้งเท่านั้น พอคิดว่าจะไม่ได้ใช้อีกแล้วก็รู้สึกเสียดาย
ระหว่างที่กำลังเหม่อลอย ก็มีรองเท้าอีกคู่มาเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า
“กะแล้วว่าต้องมา”
เสียงนี้มัน...
ฉันเงยหน้ามองเจ้าของคำพูดทันที ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นหน้าเขาชัด ๆ ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อเขาหย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน
“เธอนี่ดื้อจังเลยนะ” เขาดุฉัน แต่สายตากลับไม่มองหน้าฉันเลยสักนิด เหมือนพูดขึ้นลอย ๆ แต่กระทบฉันเข้าอย่างจัง
ฉันเบะปากเบา ๆ
“ไม่ได้ดื้อสักหน่อย ฉันแค่ว่าง เลยชวนนายต่างหาก แล้วนายล่ะ ไม่เฝ้าคอกไก่แล้วเหรอ”
“เพื่อนมันมารับช่วงต่อแล้ว”
“แล้วตรงมาที่นี่เลยเหรอ”
“อืม”
คำตอบเรียบง่ายของเขาทำให้หัวใจของฉันพองโตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เพราะนั่นหมายความว่าฉันเริ่มมีตัวตนในสายตาของเขาแล้วเหมือนกัน...ใช่ไหม...
“ก็แค่คิดว่า เธอน่าจะมา” แผ่นดินมองฉันด้วยสายตาอ่อนลง
“ก็ต้องมาอยู่แล้วสิ…”
“ครั้งหน้าฉันจะรอเอง”
“แต่ฉันเป็นพวกตรงเวลานะ”
“มาช้าบ้างก็ได้ ไม่เหนื่อยเหรอ”
“ไม่หรอก”
เพราะฉันรอจนชินแล้ว
“แม่คะ พวกหนังสือนิทานเก่า ๆ ของหลา แม่เก็บไว้ที่ไหนอะคะ ห้องเก็บของรึเปล่า แค่ก ๆ ๆ ๆ” ฉันตะโกนถาม หลังพยายามคุ้ย…เอ่อ หาหนังสือนิทานจากกล่องเก็บหนังสือในห้องใต้หลังคา ซึ่งทันทีที่เปิดก็มีพายุฝุ่นถล่มร่างใส่ร่างฉันจนตั้งตัวไม่ทัน สูดรับฝุ่นเข้าเต็มปอด ถ้าเกิดฉันเข้าโรงพยาบาลกะทันหันนี่ ไม่ต้องสืบเลยนะจ๊ะว่าสาเหตุมาจากอะไร ส่วนสาเหตุที่ทำให้ต้องรีบกลับบ้าน ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่คิดอยากจะกลับเลยสักครั้ง ก็เพราะข้อความของว่าที่น้องสาวสุดที่รักของฉันเอง
[พี่หลาค้า]
[วันพุธชมรมจะเปิดหมวกรับบริจาคหนังสือและเงินทุนที่ตลาดนัดหอใน]
[พี่หลาสนใจมาร่วมกิจกรรมมั้ยคะ…]
[พี่ดินก็มานะคะ ^O^]
เมื่อสายตาเห็นประโยคสุดท้าย ฉันก็…
[ไปแน่นอนค่ะ! เดี๋ยวพี่เอาหนังสือนิทานไปร่วมด้วยนะคะ!]
ยายดาหลา ยายคนใจง่าย เห็นชื่อเขาหน่อยเป็นไม่ได้ รีบกระดิกหางเชียวนะแก แล้วก็ต้องมาลำบากตัวเองเอาตัวไปคลุกฝุ่นเพื่อหาหนังสือนิทานเนี่ยนะ ป่านนี้ปลวกกินหมดแล้วมั้ง
แต่ถามว่ายอมทำมั้ย ก็ยอมค่ะ เพื่อผู้ชาย TT
จะว่าไปนับตั้งแต่วันนั้น ฉันกับเขาก็ได้เจอกันน้อยลงจริง ๆ นั่นแหละ เพราะเขาได้ปลูกบ้าน ณ คอกไก่ไปแล้ว ถ้าพลาดกิจกรรมนี้ กว่าจะได้เจอกันอีกทีคงหลังสอบไฟนอลโน่น เพราะอาจารย์เองก็เริ่มสั่งงานเยอะจนฉันแทบหาเวลาไปส่องผู้ชายไม่ได้เลย วัน ๆ ถ้าไม่หมกตัวในหอพัก ก็ห้องสมุดกลาง
เห็นอย่างนี้ ถึงฉันจะบ้าผู้ชาย แต่ก็ไม่ทิ้งการเรียนนะเออ ส่วนแผ่นดินก็อยู่แต่ในคอกไก่ จะเอาเวลาไหนไปเจอกันล่ะ
“เอาไปทำไมเหรอ แม่แพ็คขายไปหมดแล้ว”
“ห๊า! แค่ก ๆ ๆ ๆ” ฉันตกใจจนสำลักฝุ่น รีบพาร่างแสนจะบอบบางของตัวเองออกมาจากห้องใต้หลังคา
ฉันค่อย ๆ ตะกายลงบันไดเพราะสำลักฝุ่นไม่หยุด ก่อนจะหอบเอาหนังสือเรียนชั้นประถมสามสี่เล่มที่หาเจอลงมาด้วย ส่วนแม่ก็รีบเข้ามาเช็ดฝุ่นให้ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าลำบากนักก็อย่าไปเลย ดูสิ ขนาดแขนโดนฝุ่นนิดหน่อยก็ผื่นขึ้นแล้ว” แม่จับแขนฉันพลิกไปพลิกมาเบา ๆ
เพราะฉันโดนโอ๋แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ไง ถึงได้โตมาเป็นคนเอาแต่ใจแบบนี้ อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ต้องได้ทำ และตอนนี้ฉันก็อยากจะไปค่ายจิตอาสา ฉันก็ต้องได้ไป! รู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่สุดท้ายฉันก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองนี่นา พวกท่านไม่ได้อยู่กับฉันไปตลอดชีวิตสักหน่อย…
“ช่วงนี้หลาออกกำลังกายเยอะนะคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ หลาไม่ป่วยง่าย ๆ แน่นอน!”
“สัญญา?”
“สัญญาค่า!” ฉันเกี่ยวก้อยสัญญากับแม่