เมื่อเดินยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ฉันก็เริ่มออกตัววิ่งช้า ๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อรอให้เขามาใกล้กว่านี้อีกนิด ถ้าโชคดีเขาอาจจะสังเกตเห็นฉัน อีกอย่างวันนี้ฉันผูกโบสีแดงอันใหญ่มาด้วย ตอนแรกคิดว่าจะใช้เส้นใหญ่กว่านี้ แต่กลัวว่าผูกแล้วมันจะกลายเป็นตีกะบังผมแทน เดี๋ยวคนเขาจะคิดว่าคุณนายผู้ว่าที่ไหนมาวิ่งในสวนของเด็กมหาวิทยาลัย
อา… วิ่งมาตั้งนาน จนเหงื่อไหลไคลย้อย ทำไมเขาไม่ทักฉันสักทีนะ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันไม่ใช่รึไง ทักฉันสิ ทักได้แล้ว ก่อนที่หน้าฉันจะเมือกไปมากกว่านี้
ฉันใช้หลังมือซับเหงื่อตัวเองไปพลาง และพยายามทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ ทำเหมือนเรื่องบังเอิญสุด ๆ เพราะทำแบบนั้นฉันเลยทักไม่ได้ ถ้าทักไป เขาต้องรู้แน่ว่าฉันแอบตามมา แต่ตอนนี้เหนื่อยเป็นบ้าเลย จะเป็นลมแล้ว ถ้าฉันล้มลงไป เขาจะช่วยฉันไหมนะ เหมือนหอบหืดจะกำเริบเลย
ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อควบคุมลมหายใจของตัวเอง แต่เหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผล ในเมื่อหัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาเต้นข้างนอกเป็นจังหวะสามช่าได้อยู่แล้ว
“ไหวรึเปล่า”
ตอนนี้ฉันแทบแยกไม่ออกแล้วว่าเสียงใครเป็นเสียงใครเพราะเสียงหัวใจเต้นดังกว่า แต่เมื่อหันไปมองเจ้าของคำถาม หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นทันทีเลยเหมือนกัน
“ดิน…”
“หน้าซีดแล้วนะ พักก่อนเถอะ”
เสียงของเขาดูใจเย็นมาก ทั้ง ๆ ที่หัวใจของฉันกำลังสั่นเหมือนจับไข้
ฉันพยักหน้าลง ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดิน และเดินไปนั่งที่ม้านั่งริมหนองน้ำ ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว แสงสะท้อนอ่อน ๆ ของมันทำให้หัวใจของฉันค่อย ๆ สงบลง
แต่พอมองร่างสูงที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อในชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำกับกางเกงวอมขาสั้นสีกรม ก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง คิดว่าหน้าแดงด้วยแน่ ๆ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอเขาในสภาพสุดจะเซ็กซี่ขยี้ใจขนาดนี้! ถ้าฉันเป็นเทียนไข ก็คงจะละลายจนเหลวเป็นน้ำลงตรงนี้แหละ
“ดีขึ้นหรือยัง มีน้ำมาด้วยหรือเปล่า” แผ่นดินถาม ในขณะที่ตัวเองก็ยกน้ำขึ้นดื่ม
ส่วนฉันน่ะเหรอ มองตาค้างเลยค่ะ อยากจะเก็บภาพเซตนี้เอาไว้สักโหล แต่ก็ทำไม่ได้เพราะดันได้มาเห็นด้วยตาใกล้ ๆ แบบนี้แทน จะว่าไปแล้ว การได้มองด้วยสายตาจริง ๆ ไม่ใช่มองผ่านเลนส์กล้อง มันก็ดีกว่าที่คิดแฮะ
“ดีขึ้น...แล้วค่ะ …” ฉันตอบแบบใจลอยออกไปไกลแล้ว ส่วนมือก็ควานหาน้ำขวดเล็กที่อยู่ในกระเป๋าคาดเอว ก่อนจะยกขึ้นจิบช้า ๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ขอบใจนะ ที่ช่วย”
“ไม่เป็นไร แล้วปกติมาวิ่งที่นี่บ่อยเหรอ”
“ก็บ่อย…” มุสาวาทาไปแล้วอ่ะ แต่เพื่อผู้ชาย...
“ฉันก็มาวิ่งที่นี่ทุกวัน แต่ไม่เคยเห็นเธอเลย”
“ก่อนหน้านี้เราติดสอบน่ะ”
“จริงด้วยแฮะ แล้วนี่วิ่งต่อไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวฉันเดินเป็นเพื่อนก็ได้”
“ขอบใจ”
และสุดท้ายเขาก็เดินกลับพร้อมกับฉัน ส่วนฉันก็จงใจเดินให้ช้าลงเพื่อจะได้ใช้เวลากับเขาให้นานขึ้นอีกนิด ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดแล้วก็ตาม
ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ พออาทิตย์ตกดิน อากาศก็เย็นลงทันที สายลมเอื่อยค่อย ๆ พัดเอาเหงื่อเม็ดใหญ่บนร่างกายฉันทำให้เริ่มแห้งไปทีละนิด และถึงแม้ว่าเขาจะเดินอยู่ข้าง ๆ แต่ฉันก็ยังไม่กล้าสบตาอยู่ดี ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ จะเขินอะไรขึ้นมาตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ได้คุยกันเป็นครั้งที่สามแล้ว! ความกล้าในครั้งแรกหายไปไหนหมด!
อยากคุยกับเขาจัง สัพเพเหระก็ได้ ขอสักเรื่องเถอะ...
“ฉันเป็นภูมิแพ้น่ะ ก็เลยต้องออกกำลังกาย ตอนไปเข้าค่ายจะได้ไม่ลำบากพวกนาย” ฉันตัดสินใจพูดขึ้นหลังจากต่างคนต่างเงียบไปนาน จริง ๆ แล้วเหมือนบ่นไปเรื่อยให้เข้าหูคนมากกว่า
หนึ่งคนเงียบเพราะไม่มีอะไรจะคุย อีกคนก็เงียบเพราะเขินจนไม่กล้าคุย แต่เมื่อเห็นว่าระยะทางมันเหลืออยู่ไม่มาก ก็เลยต้องรีบทำคะแนนให้ตัวเอง
“อืม…”
อย่างกับได้ยินคำว่า เรื่องของเธอ ออกมาจากประโยคนั้นอย่างนั้นแหละ
เชื่อแล้วว่าผู้ชายไม่ชอบฟังเรื่องของผู้หญิงจริง ๆ
“ถ้างั้น... มาออกกำลังกายกับฉันไหมล่ะ”
ฉันเงยหน้ามองเขาตาเป็นประกาย อารมณ์ดิ่งเมื่อครู่หายวับไปในทันที
“ได้เหรอ!” ฉันถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“ได้สิ”
ฉันเผลอฉีกยิ้มด้วยความดีใจเมื่อแผนที่ไม่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะชวนมาออกกำลังกายด้วยกันจะสำเร็จไปอีกขั้น ฉันแค่ตั้งใจมาเดินผ่านสายตาเขาเฉย ๆ นะเนี่ย แต่ดันเจอแจ็คพ็อตเข้าซะได้ แต้มบุญที่สั่งสมไว้ทั้งชีวิต คงหมดไปกับวันนี้แล้วล่ะ
“ไม่รบกวนแน่นะ!” ฉันถามเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะชะงักเมื่ออยู่ ๆ เขาก็หันมายิ้มให้ฉันแทน
“ไม่หรอก เพราะฉันจะได้มีเพื่อนออกกำลังกายเหมือนกัน”
“อื้ม!”
“ถ้าวันไหนอยากจะวิ่งก็ส่งข้อความมา”
“ได้เลย!” ตอนนี้คงเก็บอาการไม่ทันแล้วมั้ง แต่ก็ช่างเถอะ เพราะอย่างน้อยมันก็ก้าวไปข้างหน้าเพิ่มขึ้นอีกนิด แม้ว่าเส้นชัยมันจะอยู่อีกไกลก็ตาม