“ก็มาซื้อหนังสือเข้าโครงการนี่แหละ แล้วเธอล่ะ ซื้อหนังสือเหมือนกันเหรอ”
เขาแอบเหล่ถุงหนังสือนิยายอีโรติกของฉัน ก่อนจะยิ้มออกมาเบา ๆ
เห็นแบบนั้น ฉันก็รีบเก็บซ่อนจากสายตาของเขา และรีบแก้ตัวทันที
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ” แล้วฉันจะแก้ตัวไปทำไมเนี่ย
ยิ่งเห็นเขายิ้มแบบนั้น ยิ่งรู้สึกแก้ตัวไปก็ไร้ค่าเลยแฮะ
“ฉันไปสั่งน้ำดีกว่า นายจะเอาอะไรมั้ย” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันยังไม่หิวเท่าไหร่”
“อ้อ งั้นฉันไปสั่งก่อนนะ”
“อืม”
นายยังไม่หิว แต่ก็เดินมาสั่งกับฉันด้วยเนี่ยนะ ก็คงเป็นอเมริกาโน่เหมือนเดิมสินะ
“อเมริกาโน่ครับ”
เห็นมั้ยล่ะ! ฉันไม่ได้ทายถูกหรอกนะ แต่เป็นข้อมูลที่เฝ้าสังเกตมาตั้งสามปีต่างหาก!
“ลาเต้ค่ะ”
เพราะเป็นร้านชานมไข่มุกที่มีเมนูกาแฟเป็นส่วนเสริม ถือเป็นร้านชั้นเลิศที่ควรมีอยู่ในลิสต์เวลามาเดต
เดต!
ตอนนี้ฉันไม่เหมือนคนกำลังเดตอยู่เหรอ!
ถึงจะบังเอิญเจอกันที่ร้านหนังสือก็เถอะ
แต่จะว่าไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขาจะตามฉันมาทำไม
ฉันเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะตัวเดิม ก่อนจะพยายามอ่านสีหน้านิ่งเรียบของเขาด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
“ดิน ทำไมนายถึง”
“ขาเธอ เป็นยังไงบ้าง”
ฉันนิ่งอึ้งเมื่อเขาถามฉันกลับ อย่างกับรู้ว่าฉันตั้งใจจะถามอะไร ขอตีความไปเองว่าเขาเป็นห่วงได้ไหมนะ
“ก็ยังดีอยู่” ฉันลองขยับข้อเท้าไปมา นอกจากรอยถลอกกับรอยช้ำนิด ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรอีก โชคดีที่ใส่ส้นเตี้ยมา
ขอบคุณตัวเองล้านรอบเลยที่เลือกส้นเตี้ย ด้วยความที่ฉันตัวสูงกว่ามิ่งขวัญก็เลยเลือกจะใส่ส้นเตี้ย เวลาเดินด้วยกันจะได้ไม่โดดมาก แถมมาซื้อหนังสือด้วย ถ้าใส่ส้นสูงแล้วเจอเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ ฉันคงเข้าเฝือกแทนได้ไปเข้าค่ายกับเขาแน่ ๆ
และเพราะเขาถามฉันกลับมาแบบนี้ ฉันก็เลยเก็บคำถามของตัวเองเข้ากรุ เขาคงห่วงฉันจริง ๆ ล่ะมั้ง ก็เลยตามมาด้วย ฉันคิดแบบนี้ได้สินะ ไม่ได้คิดไปเองคนเดียวสินะ อยากได้ความมั่นใจจัง
“นายเป็นห่วงเหรอ”
อา… ฉันเกลียดนิสัยคิดอะไรก็ออกมาเป็นคำพูดไปซะหมดของตัวเองจัง
พอถามออกไปแบบนั้น แน่นอนว่าคนอึ้งไม่ได้มีแค่ฉัน ดูเหมือนเขาก็อึ้งไปเหมือนกันกับคำถามที่ตรงเป็นไม้บรรทัด ไม่ใช่ว่าฉันรุกเขาหรืออะไรหรอกนะ ฉันแค่ปากไวเท่านั้นเอง
และเมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดเรียกสติ หน้าแห้งไปสิ รู้สึกเหมือนมีรอยร้าวบนใบหน้าเบา ๆ ขนาดวันนี้ไม่ได้โบกรองพื้นหน้าเป็นกระเบื้องนะเนี่ย
ซึมเหมือนหมาหงอยรอบที่เท่าไหร่แล้วล่ะยายดาหลา
“แหะ โทษที พูดเล่นน่ะ” ฉันแกล้งมองไปที่เคาน์เตอร์เพื่อมองว่าเครื่องดื่มที่สั่งไว้ เสร็จหรือยัง
“อืม”
ฉันหันขวับมองเขาทันทีราวกับไม่เชื่อหูของตัวเองเท่าไหร่ แต่เขายกมือปิดปากตัวเองเหมือนกำลังเก็บอาการเขินของตัวเอง ยิ่งมั่นใจในข้อมูลของตัวเองเท่าไหร่ อาการของเขายิ่งทำให้ฉันเขินไปด้วยมากขึ้นเท่านั้น
และประโยคต่อมาก็เหมือนโดนตอกฝาโลงซ้ำเข้าไปอีกทีว่าหัวใจของฉันหยุดเต้นไปแล้วจริง ๆ
“เป็นห่วงน่ะ”
โชคดีจริง ๆ ที่เมื่อวานฉันไม่ตาย วันนี้ก็เลยมีบุญได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของเขา!
บนที่ไหนก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าบนกับเจ้าตัวนะคะบอกเลย
เมื่อวานตอนกลับหอ แผ่นดินก็ขับมอเตอร์ไซต์มาส่งฉันถึงหอพักโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แถมยังอุตส่าห์ใจดีขับอย่างนุ่มนวลจนลืมไปว่าแสงแดดสี่โมงเย็นก็แรงไม่แพ้ตอนบ่ายสามเลยสักนิด คิดว่าได้ลอกคราบแน่ ๆ แต่โชคดีที่ครีมกันแดดที่เสียเงินซื้อมาเกือบพันช่วยชีวิตสาวน้อยบอบบางเช่นฉันเอาไว้ได้ ไว้ใช้หมดแล้วจะไปตำใหม่นะคะ
ส่วนที่ว่าวันนี้ฉันมีบุญ ก็เพราะว่าเมื่อคืนในกลุ่มค่ายจิตอาสาได้ขอความช่วยเหลือร่วมกันทำของขวัญตอบแทนผู้บริจาค ใครจะมาช่วยทำก็ได้ในวันอาทิตย์ เพราะต้องแจกของวันพุธแล้ว สถานที่คือห้องโถงใหญ่คณะเกษตรฯ
ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ไปหรอก แต่พอเห็นข้อความของแผ่นดินที่ว่าจะไป ฉันก็เปลี่ยนใจในทันที ทั้งที่เหนื่อยกับงานโปรเจ็คปีสามแทบขาดใจ ไหนจะซ้อมหลีดให้น้องปีหนึ่งเตรียมงานกีฬามหาวิทยาลัยอีก ถ้าหนึ่งวันมีสามสิบชั่วโมงคงจะดีไม่น้อยอ่ะ เรื่องเรียนห้ามตก กิจกรรมก็ห้ามขาด ผู้ชายก็ต้องตามจีบเขาอีก ถ้าเรียนจบไม่ได้เกียรตินิยมนะ ฉันจะแจ้ง! ฉันจะแจ้ง!!
กลับมาค่ะสาว ๆ ถึงช่วงที่เห็นข้อความของแผ่นดิน แน่นอนว่าฉันรีบกระดิกหางทักข้อความส่วนตัวไปหาประดุจบีเกิ้ลเจอเจ้าของเลยล่ะ ก็เนียน ๆ ทักไปถามว่านายไปทำของขวัญด้วยรึเปล่า ถ้าไป ฉันขอไปด้วยได้มั้ย แต่ฉันไม่มีรถนะ นายมารับได้รึเปล่า แล้วเขาก็ว่าไงล่ะ ก็ตอบตกลงสิคะ!
อา… แต้มบุญที่สั่งสมมาทั้งชีวิตของฉัน จะใช้หมดก็วันนี้แหละ แผนการใด ๆ ในพันติ๊ปคงไม่ต้องใช้แล้วล่ะ มาถึงหอพักขนาดนี้ อีกนิดคือดักตีหัวลากขึ้นห้องแล้วนะ
เอ่อ… ยิ่งนานยิ่งฟุ้งซ่านแฮะ ยายนั่นไม่ใช่ดาหลานะคะ นั่นแอดมินสองที่ชอบโผล่มาควบคุมสมองของฉันเวลาเพ้อจัดเพราะนอนไม่พอ แล้วถามว่าวันนี้นอนมาพอมั้ย ตอบเลยว่าไม่ TT
ถ้าฉันเพี้ยนไปโปรดรับรู้ไว้ว่านอนไม่พอนะคะ