ฉันลงนั่งรอที่ม้านั่งหน้าหอพักสักพัก พร้อมจัดเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพดีที่สุด ปกติแล้วฉันเป็นพวกนิยมขาสั้นนะ แต่เมื่อวานโดนแดดจนแทบจะเป็นทางม้าลาย ก็เลยต้องใส่กางเกงวอร์มขายาวไปแทน ใส่คู่ไปกับเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ และสวมทับด้วยเสื้อคณะ
เสื้อคณะ! จะว่าไปเสื้อคณะของแผ่นดินก็อยู่กับฉันนี่นา! อยู่มานาน แถมเขาก็ไม่ได้ทวงด้วย จนฉันลืมไปแล้ว! โอ๊ย ถึงเขาจะไม่ทวงเธอก็จะเก็บไปไว้บนตู้สะสมของแผ่นดินไม่ได้นะยายดาหลา มันไม่เหมือนแก้วน้ำ ปากกา ดินสอที่เธอไปตามเก็บนะ ป่านนี้เขาคงบ่นฉันไปรอบครั้งในใจแล้วมั้ง!
ว่าแล้วก็รีบขึ้นห้องไปหยิบเสื้อคณะของแผ่นดินที่ซัก อบ รีด พรมน้ำหอมเสร็จแล้วอย่างดีลงมาด้วย พอดีกับรถมอเตอร์ไซต์สีเขียวลายต้นมะพร้าวก็มาจอดถึงที่ตามเวลานัดเป๊ะ
“ไงดิน”
“รอนานไหม โทษที ฉันไปคอกไก่มาน่ะ”
ฉันส่ายหน้าช้า ๆ
จริง ๆ อยากจะตอบเขาว่าต่อให้รอไปอีกสิบปีแล้วนายพร้อมจะแต่งงานกับฉัน ฉันก็รอได้นะ แต่ถ้าตอบไปแบบนี้เขาคงวิ่งหนีอะ เอาจริง...
“หมวกกันน็อคของเธอ” แผ่นดินยื่นหมวกกันน็อคใบใหม่มาให้ฉัน
เอ๋...ใบใหม่ จริงด้วย คนละใบกันเจ้าหมวกกันน็อคใบเมื่อวานเลย ทั้งใหม่กว่า สีก็น่ารักกว่า ถึงจะไม่ใช่สีแดงที่เป็นสีนำโชคของฉัน แต่ก็เป็นสีส้มแบบที่ฉันชอบเลย แต่เขาคงไม่รู้หรอกมั้งว่าฉันชอบสีอะไร คงซื้อมาเพราะให้น้องฟ้าใช้ด้วยล่ะมั้ง
แต่เขาบอกว่าของฉันนี่นา งั้นเป็นของฉันแค่วันนี้ก็แล้วกันนะ วันเดียวก็ยังดี
ฉันรีบสวมหมวกกันน็อค แต่เหมือนตัวล็อคมันจะหลวมไปหน่อยเลยพยายามปรับมัน
“โทษทีนะ รอแป๊บนึง” ฉันบอกเขา ก่อนจะดึงสายปรับให้เข้าที่ แต่มันแน่นเกินไป แถมเรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมีด้วย ก็เลยขอความช่วยเหลือผ่านสายตา
จริง ๆ คือทำได้ แต่แกล้งเป็นง่อย เพราะอยากให้เขาช่วย…
“มานี่มา” แผ่นดินเรียกฉันให้เดินเข้าไปหา แต่กลับเป็นเขาที่ขยับตัวเข้ามาใกล้แทน
แทนที่จะเหม็นขี้ไก่แต่กลับได้กลิ่นหอมสบู่นกแก้วขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฉันที่ไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหนดี เพราะเงยหน้าก็เจอกับสายตาของเขา ก้มหน้าก็ไม่ได้เพราะเขากำลังปรับสายหมวกกันน็อคให้ เลยพยายามมองไปที่แขนขาวเนียนของเขาแทน ทั้งที่ต้องทำงานกลางแดดกลางฝนขนาดนั้น ทำไมผิวยังดีขนาดนี้นะ ใช้ครีมบำรุงอะไรเนี่ย จะได้ใช้ตาม
แต่เมื่อรู้ว่าถ้าพลาดโมเมนต์ช่วงนี้ไปจะต้องเสียดายมากแน่ ก็เลยทำใจกล้ามองหน้าของแทน ซึ่งใบหน้าแบบเทพเจ้าสร้างก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนบาปที่โดนสาปเป็นหินแทนเสียแล้ว
ตั้งแต่ดวงตาเรียวสองข้างที่ไม่สมมาตรกัน แอบเห็นด้วยว่ามีตาสองชั้นข้างเดียว น่ารัก จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ริมฝีปากบางที่ซ่อนฟันกระต่ายสุดจะน่ารักเวลายิ้ม และแก้มที่ต่อให้ตัวผอมแค่ไหนก็ยังมีอยู่ให้เห็น ให้ตายสิ ขนาดฉันอยู่ใกล้ขนาดนี้ยังเกือบละลาย ถ้าได้เขาเป็นแฟนฉันต้องขังเอาไว้ที่เกาะส่วนตัวแน่ ๆ ความหล่อที่ควรเก็บไว้มองคนเดียว
“เสร็จแล้ว”
เสียงของเขาปลุกฉันตื่นจากความเพ้อฝันอันไร้สาระของตัวเอง ส่วนสาเหตุของอาการเพ้อนั้นไม่ได้มาจากจิตใต้สำนึกจริง ๆ นะ ฉันแค่นอนไม่พอ!
“ขอบใจนะ” ฉันขยับหัวไปมา เมื่อเห็นว่ามันแน่นดีแล้วก็ค่อย ๆ นั่งซ้อนท้าย ถ้าเป็นมิ่งขวัญ ฉันคงคว้าเอวกอดไปแล้ว แต่นี่เป็นเขา ถึงแม้ใจอยากจะทำมากกว่ากอดแต่ก็ต้องสำรวม ดังนั้นก็เลยต้องเกาะที่ชายเสื้อแทน ไม่ต้องเกาะชายผ้าเหลืองก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้วค่ะนาทีนี้
“ขยับเข้ามาอีกสิ มันอันตรายนะ”
ทุกคน! ได้ยินเหมือนฉันใช่ไหมคะ! เขากำลังเชิญชวนฉันล่ะ!
แต่ว่าเราต้องซอฟต์หวาน ต้องเป็นกุลสตรีนี่สิ
“แต่มันจะเบียดนายนะ”
“ถ้าตัวเธอปลิวฉันก็ตามเก็บไม่ทันเหมือนกัน”
“แหะ”
ก็จริงอย่างที่เขาว่า ถนนหน้ามหาวิทยาลัยว่ากันว่าเป็นเส้นทางอาถรรพ์ แม้จะติดไฟแดงก็ยังเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเดือน ต่อให้เราไม่ประมาทก็ตาม
เอาล่ะ ถึงแม้ว่างานในช่วงนี้จะเยอะมากจนอยากหลุดพ้นออกจากวงโคจร แต่เป้าหมายของชีวิตถ้าไม่ได้ผู้ชายคนนี้เป็นสามี ฉันจะตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะคิดได้อย่างนั้นเลยขยับตัวเข้าใกล้เขาอีกนิด และกำเสื้อของเขาแน่นขึ้นอีกหน่อย ไม่ใช่ว่าฉันจะทำตัวเป็นสีกาโดนตัวพระไม่ได้หรอกนะ เพราะอยู่ใกล้ขนาดนี้ก็คงอาบัติกันหมดแล้ว แต่ฉันยังเคารพร่างกายของเขาอยู่ต่างหาก ถ้าเจ้าตัวไม่อนุญาต ก็ไม่ควรไปแตะต้องเขา
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือกลัวใจตัวเองจะลากเขาเข้าห้อง…
“จะไปละนะ”
“อืม!”
ละแล้วฉันก็เดินทางมาถึงคณะเกษตรฯ โดยสวัสดิภาพ อันที่จริงมันไม่ได้มีความผาดโผนใด ๆ ในการเดินทางหรอก มันอยู่ที่จิตใจล้วน ๆ เลย แผ่นหลังของเขากำลังยั่วยวนฉันอยู่อ่ะ เป็นสิบนาทีที่ทรมานมาก ฉันต้องห้ามใจตัวเองมากขนาดไหนกับการไม่ให้ซบแผ่นหลังของเขา เขาจะรู้บ้างไหมนะ
ฉันค่อย ๆ ลงจากรถอย่างอ้อยอิ่ง เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เห็นแบบนี้แล้วอยากซ้อนท้ายเขาไปตลอดชีวิตจริง ๆ
ว่าแต่เสื้อ!
“ขอบใจนะที่มาส่ง แล้วก็นี่เสื้อของนาย เกือบลืมแน่ะ แหะ” ฉันยิ้มแห้งพร้อมกับยื่นเสื้อคณะคืนให้เขา
แผ่นดินตาโตขึ้นนิดหน่อย (ทำหน้าตาน่ารักอีกแล้ว!) และรับเสื้อคืนไป