วันนี้หลี่หลินรื้อเอาพวกเครื่องประดับที่มีออกมานับ หากอันไหนพอขายได้ราคาก็จะเอาไปขาย นางไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง เพียงแต่รู้สึกว่ามีมากเกินไป บางชิ้นซื้อมายังไม่ได้ใส่เลยด้วยซ้ำ
นางเริ่มจัดการทรัพย์สินที่มี ตั้งใจนำไปบริจาคให้วัดเถาหยวน นี่ก็ย่างเข้าเดือนสิบสองแล้ว ทุกชาตินางจะตายช่วงเดือนสี่ วันเวลาไม่แน่ชัด ไม่รู้หนนี้ สุ่ยอวิ๋นเหอจะจัดการนางอย่างไร
สาเหตุที่เป็นวัดเถาหยวน เพราะนางฝันถึงเหตุการณ์หนึ่งบ่อยมากและบรรยากาศนั้นคือวัดเถาหยวน ทุกครั้งที่นางลืมตาตื่นในแต่ละชาติ นางจะฝันถึงหลวงจีนคนหนึ่ง นั่งเคาะกะลาไม้อยู่ทางเข้าโบสถ์ ท่าทางเขาดูคุ้นมาก ทว่านางกลับมองไม่เห็นใบหน้าเขา ภาพใบหน้านั้นช่างเลือนลางเหลือเกิน
เสี่ยวจูตกใจเมื่อได้ยินว่าฮูหยินจะนำเครื่องประดับที่มีไปขาย “ฮูหยิน! ท่านจะเอาไปขายทำไมเจ้าคะ”
“เพราะมีเยอะเกินไป” หลี่หลินตอบยิ้มๆ
ในระหว่างนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่ลานกว้างข้างนอก หลี่หลินมองหน้าเสี่ยวจูแวบหนึ่ง ก่อนจะวางปิ่นไข่มุกน้ำงามในมือลง แล้วเดินออกไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สาวใช้ที่ชื่อหรงผิงนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ลานกว้าง ร่างผอมบางตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนที่มุงดูนางต่างก็ชี้นิ้วและเริ่มด่าทอ
“เห็นซื่อๆ เช่นนี้ ไม่นึกเลยว่านางจะมือไว ขี้ขโมย!” หลานเอ๋อร์ชี้นิ้วไปที่หรงผิง ริมฝีปากเหยียดยิ้มขึ้น แววตาดูสะใจ
หรงผิงเดิมทีเป็นคนเงียบๆ นางไม่ค่อยพูดจากับใครและไม่สนิทกับใครเลยเช่นกัน นางได้แต่นั่งตัวสั่นไม่ตอบโต้อะไรเลยสักคำ ได้แต่กัดริมฝีปากตนเองจนได้กลิ่นสนิม
“สร้อยเส้นนี้เจ้าเห็นว่าอยู่ในตัวนางจริงหรือ” พ่อบ้านตู้หันถามหลานเอ๋อร์ พักหลังมานี้ในจวนมักมีแต่เรื่องวุ่นวายชวนให้ปวดหัว มิน่าเล่านายท่านถึงไม่ค่อยอยู่จวน
“จริงเจ้าค่ะ ข้าเห็นนางล้วงหาอะไรบางอย่างในตัว แล้วจู่ๆ สร้อยเส้นนี้ก็ร่วงลงมา หากไม่เชื่อ พ่อบ้านตู้ก็ลองถามอาหมิงดูได้เจ้าค่ะ”
“จริงหรืออาหมิง” พ่อบ้านตู้หันไปถามสาวใช้ที่ชื่ออาหมิง
อาหมิงพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ ตอนนั้นนางก็นั่งทำงานอยู่กับหรงผิงและหลานเอ๋อร์ นางเห็นว่าหรงผิงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วจู่ๆ สร้อยเส้นนี้ก็ร่วงลงมาจริงๆ
“ของมีราคาเช่นนี้บ่าวอย่างพวกเราจะมีปัญญาครอบครองได้อย่างไรหากไม่ขโมยมา!” หลานเอ๋อร์เอ่ย คนบริเวณนั้นล้วนพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
หลี่หลินเดินเข้ามาดูสถานการณ์ นางกำลังจะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทว่าเสี่ยวจูที่วิ่งตามหลังมาติดๆ ก็โพล่งขึ้นเสียก่อน “เอ๋!? นี่มันสร้อยคอฮูหยินมิใช่หรือเจ้าคะ” นางชี้ไปที่สร้อยในมือพ่อบ้านตู้
สร้อยคอทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ จี้ทับทิมสีแดงน้ำงามทีเดียว หลี่หลินเห็นแล้วคิ้วขมวดยุ่ง สร้อยเส้นนี้มารดามอบให้นางเป็นของขวัญวันแต่งงาน
“สร้อยเส้นนี้ไปอยู่กับพ่อบ้านตู้ได้อย่างไร” หลี่หลินหันไปถามพ่อบ้านตู้ด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าเห็นสร้อยเส้นนี้หล่นจากตัวสาวใช้หรงผิงนางนี้เจ้าค่ะ” หลานเอ๋อร์ชิงตอบก่อน นางขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วชี้นิ้วไปที่หรงผิง ที่ตอนนี้กำลังนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“หรงผิง ตอบข้ามา ว่าเจ้าได้สร้อยเส้นนี้มาอย่างไร” พ่อบ้านตู้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หรงผิงได้แต่สะอื้นไห้ นางพูดไม่ออกแม้สักคำเดียว ได้แต่ส่ายหน้าไปมา นางเองก็ไม่รู้ว่าสร้อยเส้นนี้มาอยู่ในตัวนางได้อย่างไรเช่นกัน จึงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
หลี่หลินคว้าสร้อยทับทิมแดงจากมือพ่อบ้านตู้ นางกำสร้อยไว้ในมือแน่น บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นล้วนขนลุกซู่เมื่อเห็นดวงตาฮูหยินดุร้ายขึ้น ฮูหยินคงอาละวาดทุบตีหรงผิงอีกเป็นแน่ ไม่ก็เฆี่ยนหลังนางด้วยไม้กระดาน!
หรงผิงโขกศรีษะกับพื้น ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ไม่รู้ว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรมานักหนา ถึงต้องโดนทารุณไม่ต่างจากสัตว์ข้างทาง
นางพยายามเปล่งเสียงออกมา กล่าววาจาฟังไม่ได้ศัพท์ “ฮึก ขะ...ข้าไม่รู้...ไม่รู้...ว่ามันมาอยู่กับข้าได้อย่างไร...”
“ฮูหยิน เดี๋ยวข้าจะทำการสอบสวนนางเอง” พ่อบ้านตู้เองก็รู้สึกเวทนาหรงผิง ที่ผ่านมานางเป็นที่รองรับอารมณ์เสมอ หากถูกฮูหยินลงมือคราวนี้ เกรงว่านางคงสาหัสจนลุกจากเตียงไม่ไหวเป็นแน่
สายตาหลายคู่จ้องมองที่หลี่หลิน ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีทีท่าจะอาละวาดแต่อย่างใด “ไม่ต้อง! นางไม่ได้ขโมย ข้าเป็นคนให้นางเอง” จบประโยคผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนทำตาโตอ้าปากกว้างแทบยัดไข่เข้าไปได้
ฮูหยินพูดว่าอะไรนะ!
“หา…” พ่อบ้านตู้ถึงกับตาเหลือก แน่นอนว่าไม่เชื่อว่าฮูหยินจะให้ของล้ำค่านี้กับบ่าวคนหนึ่ง
“หรงผิง เจ้าเงยหน้าขึ้นและเช็ดน้ำตาเดี๋ยวนี้ เจ้าจะร้องไห้ทำไม หา!” หลี่หลินแสร้งถามเสียงเข้ม ทว่าดวงตากลับโก่งโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว หลี่หลินเดินเข้าไปหาหรงผิง จับมือนางขึ้นมา แล้วส่งมอบสร้อยเส้นนั้นให้ไป
หรงผิงเงยหน้าสบตาฮูหยินอย่างงุนงง ทีแรกคิดว่าคงโดนทุบตีเหมือนครั้งที่ผ่านมา ทว่าเมื่อสังเกตสีหน้าคนตรงหน้าแล้ว ไม่ได้มีสีหน้าดุร้ายแต่อย่างใด มิหนำซ้ำกลับส่งยิ้มให้นางอย่างอาทร
“พวกเจ้าไม่มีงานทำกันหรือ แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว!” หลี่หลินชักสีหน้าแล้วโบกมือไล่ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าเรือนไป เสี่ยวจูได้แต่มองตามหลังนายหญิงอย่างสับสน นางยกมือเกาศีรษะดังแกรกๆ แล้วรีบวิ่งตามฮูหยินเข้าไปเรือนทันที
เมื่อพ่อบ้านตู้เห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงไล่ทุกคนให้กลับไปทำงานต่อ แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เขาเองก็สับสนและมึนงง
ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงาน เหลือแต่หลานเอ๋อร์เพียงคนเดียว นางได้แต่กำมือแน่นและกระทืบเท้าอย่างขัดใจ อยากเห็นหรงผิงถูกตบตีอีกสักครั้ง
หลานเอ๋อร์แค่ไม่ชอบหรงผิงจึงวางแผนใส่ร้าย นางแอบขโมยสร้อยของฮูหยิน ครั้งที่นางเอาเกาลัดคั่วเกลือเข้าไปให้ที่ห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นสร้อยทับทิมน้ำงามวางอยู่บนหัวเตียง จึงฉวยโอกาสแอบเข้าห้องตอนที่ฮูหยินเผลอแล้วขโมยออกมา จากนั้นก็แอบเอาซ่อนไว้ในเสื้อผ้าของหรงผิง
เสี่ยวจูวิ่งตามหลังหลี่หลินมาติดๆ แน่นอนว่านางย่อมไม่เข้าใจฮูหยินในตอนนี้เลย นางถามอย่างกระวนกระวายว่า “ฮูหยินเจ้าคะ สร้อยเส้นนั้นสำคัญกับท่านมากมิใช่หรือ”
หลี่หลินถอนหายใจยืดยาวและกล่าวว่า “สร้อยอยู่กับข้าก็ได้แค่เก็บไว้ บางทีไปอยู่กับคนอื่นอาจเป็นประโยชน์ก็ได้”
ชาตินี้นอกจากปล่อยวางแล้ว นางเองก็ไม่อยากยึดติดสิ่งใดเช่นกัน!
หลี่หลินยังจำได้ดี ภาพในความทรงจำยังแจ่มแจ้งและชัดเจน ภาพที่นางกระทำอย่างทารุณต่อสาวใช้ที่ชื่อหรงผิง ทั้งตบตี ทั้งด่าทอ หรงผิงนางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียเลยด้วยซ้ำ สาเหตุที่นางลงมือกับหรงผิงเพียงแค่ ‘ไม่พอใจ’
หญิงสาวหลับตาลง นางนิสัยแย่มาก จิตใจก็ดำมืด หากบอกว่านางสมควรแล้วที่ตายก็คงไม่ผิด
นางร้ายกาจ อารมณ์รุนแรง จนผู้คนต่างบ่ายหน้าหนี...
แม้กระทั่งเสี่ยวจู ที่อยู่ข้างกายรับใช้นางมานานนม บางครั้งก็ยังถูกนางลงมือเช่นเดียวกัน ทว่าเสี่ยวจูเองก็ไม่เคยปริปากสักคำ
ขณะที่นั่งทบทวนความชั่วร้ายของตัวเองอยู่นั้น หรงผิงก็ได้ขอเข้าพบ
ร่างผอมบางเดินตัวลีบเข้ามาในห้อง ท่าทางนางนั้นยังหวาดหกลัวอย่างเห็นได้ชัด หรงผิงคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ฮะ...ฮูหยิน ขะ...ข้ารับสร้อยเส้นนี้ไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ ขะ...ของสิ่งนี้มีค่าเกินกว่าจะให้บ่าวอย่างข้า” นางใช้สองมือประคองสร้อยล้ำค่าเส้นนั้นขึ้น
หลี่หลินไม่ได้ให้ความสนใจว่าสร้อยทับทิมถูกขโมยไปได้อย่างไร หากแต่นางตัดสินใจจะให้ก็คือให้ แม้ไม่อาจชดใช้ในสิ่งที่ตนได้กระทำก็ตาม
“ข้าบอกว่าให้คือให้ เจ้ารับไว้เถอะ” หญิงสาวกล่าว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเอื้ออาทร
หรงผิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตาคู่งามคู่นั้น นางได้ยินมาเหมือนกันว่า ฮูหยินเปลี่ยนไปแล้ว หากแต่นางไม่ได้เชื่อคำพูดเหล่านั้น แต่มาตอนนี้ นางเชื่อสนิทใจแล้ว ทั้งสีหน้า ท่าทางและแววตาล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ฮะ...ฮูหยิน คือข้า...มะ...ไม่ได้ขโมยจริงๆ นะเจ้าคะ ขะ...ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าสร้อยเส้นนี้มาอยู่กับข้าได้อย่างไร” หรงผิงที่เริ่มสบายใจขึ้นนิดหน่อย จึงกล้าพูดมากขึ้น
“อืม ข้าเชื่อเจ้า”
แววตาของหรงผิงเปล่งประกายตื้นตัน นางรีบก้มหน้า ซ่อนน้ำตาไหลที่รินไหลเป็นสาย จริงแล้วตอนนี้ทางบ้านนางกำลังมีปัญหาอย่างหนัก หากฮูหยินมอบสร้อยเส้นนี้ให้จริงๆ นางก็พอเห็นทางสว่างแล้ว
ครอบครัวนางมีหนี้สินก้อนใหญ่ เพราะเมื่อสี่ปีก่อน มารดาได้ไปหยิบยืมเงินมารักษาบิดาที่ล้มป่วยด้วยโรคร้าย แต่ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจรักษาชีวิตบิดาไว้ได้ มารดาเองก็เริ่มล้มป่วยเพราะตรอมใจ หรงผิงที่เป็นบุตรคนโตจึงต้องแบกรับหน้าที่ดูแลครอบครัว ด้วยการมาเป็นทาสขายแรงงานอยู่ในจวนท่านแม่ทัพ
นางมีน้องสาวอายุหกปีอยู่คนหนึ่ง หากภายในเดือนนี้ไม่มีเงินใช้หนี้ก้อนนั้น น้องสาวของนางก็ต้องถูกนำตัวไปใช้หนี้แทน
แต่ตอนนี้นางมีเงินใช้หนี้แล้ว!
“ขอบคุณฮูหยิน! ขอบคุณเจ้าค่ะ บุญคุณท่านครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมตราบชั่วชีวิต” หรงผิงโขกศรีษะกับพื้นอีกครั้ง
หลี่หลินได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ ทำอย่างกับนางกอบกู้ชาติอย่างไรอย่างนั้น ทว่าก็รู้สึกสุขใจเช่นกัน
หลังจากหรงผิงออกไป เสี่ยวจูก็เดินเข้ามา นางยังข้องใจไม่หายเรื่องสร้อย จึงถามว่า “ฮูหยิน ท่านเป็นคนเอาสร้อยให้หรงผิงจริงหรือเจ้าคะ”
“อืม ข้าให้นางจริงๆ” หลี่หลินตอบๆ ไป คร้านใส่ใจเรื่องนี้แล้ว
เสี่ยวจูได้แต่ยกมือเกาศรีษะอีกครั้ง
บ่ายวันนั้น หลี่หลินได้ออกจากจวนไปพร้อมเสี่ยวจู
นางไปที่โรงรับจำนำ ตั้งใจเอาเครื่องประดับที่คัดออกมาไปขาย และในระหว่างนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างใครบางคนที่ช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน
“ฮูหยิน นั่นหรงผิงนี่เจ้าคะ” เสี่ยวจูชี้ไปที่หน้าร้านโรงรับจำนำ
หลี่หลินก้าวเท้าไปด้านหลังยืนหลบมุมแอบมองหรงผิงที่เดินเข้าไปในโรงรับจำนำ ชั่วครู่นางก็เดินออกมาด้วยสีหน้านางเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
“นางคงเอาสร้อยที่ฮูหยินให้มาขาย” เสี่ยวจู
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
หลี่หลินเอาเครื่องประดับทั้งหมดที่มียื่นให้เถ้าแก่หนวดแพะ นางยิ้มจนตาแทบปิดแล้วกล่าวว่า “ขายทั้งหมด”
เถ้าแก่มองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างสำรวจ นางแต่งกายดูดี สวมชุดไหมเนื้อผ้าดี ดูมีสง่าราศรีคงเป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เถ้าแก่ยิ้มแย้มต้อนรับอย่างอารมณ์ดี เครื่องประดับในถุงนี้มีบางชิ้นเป็นของหายากด้วย!
“เถ้าแก่ เมื่อครู่ข้าเห็นหญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามาในร้านได้เพียงชั่วครู่แล้วก็ออกไป ไม่ทราบว่านางมาทำอะไรหรือ” หลี่หลินถาม
เถ้าแก่หนวดแพะเกาคางทำท่าครุ่นคิด ก่อนร้องอ้อ “นางเอาสร้อยทับทิมมาขาย แต่ข้าไม่กล้ารับซื้อ สร้อยเส้นนั้นดูมีราคามาก ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกคนแต่อย่างใด แต่ดูแล้วนางไม่น่าจะมีสร้อย ล้ำค่าเช่นนั้นได้ ข้ากลัวว่าจะเป็นของที่ขโมยมาจึงไม่กล้ารับซื้อ” เถ้าแก่อธิบาย นางแต่งตัวซ่อมซ่อเสียขนาดนั้น ไม่รู้ไปขโมยสร้อยใครมาหรือไม่
หลี่หลินเข้าใจได้ในทันที ดูแล้วหรงผิงคงต้องการใช้เงินด่วน “สร้อยทับทิมนั้น น้ำงามหรือไม่”
“น้ำงามทีเดียว”
“ข้าอยากได้ ตอนนี้กำลังสะสมทับทิม ท่านช่วยเป็นคนกลางรับซื้อแทนข้าได้หรือไม่ ข้าจะให้ค่านายหน้าสองเท่า”
เถ้าแก่ได้ยินก็ตาลุกวาว ไม่คิดไตร่ตรองแต่อย่างใด “ได้! ย่อมได้”
หรงผิงเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ก็ไม่มีร้านไหนกล้ารับซื้อเพราะกลัวว่าจะเป็นสร้อยที่ขโมยมา ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหานาง บอกอยากรับซื้อสร้อยทับทิมเส้นนั้น
หรงผิงดีใจ รีบพยักหน้าตอบตกลงทันที
หลี่หลินเข้าไปนั่งรออยู่ที่สวนหลังร้าน เถ้าแก่ได้ให้เด็กในร้านวิ่งออกไปตามหาเจ้าของสร้อยทับทิมเส้นนั้น คาดว่านางน่าจะยังไปได้ไม่ไกล
ผ่านไปราวสองเค่อ เถ้าแก่ร้านก็เข้ามาพร้อมสร้อยทับทิมในมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นี่สร้อยทับทิมแดง น้ำงามทีเดียว แม่นางช่างโชคดี”
หลี่หลินไม่ได้กล่าวอะไร นางรับสร้อยคืนกลับมา จ่ายเงินค่านายหน้าให้เถ้าแก่สองเท่าตามที่ตกลง เสร็จธุระแล้วก็ขอตัวทันที