ตอนที่ 1 เกิดใหม่ครั้งที่หก
เช้านี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใสหลังอึมครึมมาหลายวัน แสงแดดอ่อนสาดส่องกระทบพื้นหิมะขาวโพลน หิมะหยุดตกได้พักใหญ่แล้ว เสียงนกกระจิบร้องด้านนอกทำให้ ‘หลี่หลิน’ รู้สึกตัว
เกิดใหม่ครั้งที่หก...ชาติที่หก...
หลังจากตาย นางก็จะฟื้นคืนชีพในร่างนี้ บนเตียงนี้และเวลานี้
ทุกครั้งที่หลี่หลินลืมตาตื่น ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยประกายของไฟแค้น ในใจนางมีแต่เพลิงแค้นและความชิงชัง แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจเอาชนะสุ่ยอวิ๋นเหอได้เลยสักครั้ง
นางเคยปรารถนาแก้แค้นเอาคืนสุ่ยอวิ๋นเหอให้สาสมใจ แต่มาถึงชาติที่หกนี้ นางคิดได้อย่างถ่องแท้ นางปลงตกและคิดจะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จะเกิดอะไรก็เกิดเถอะ
“ฮูหยิน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ท่านหิวหรือยัง หากหิวแล้วข้าจะได้ให้คนตั้งโต๊ะตอนนี้เลย”
เสี่ยวจู เป็นสาวใช้คนสนิทจากบ้านเดิม นางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องจึงเข้ามาดู
หลี่หลินขานรับในลำคอ “อือ”
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากและเปลี่ยนเสื้อผ้า หลี่หลินก็มานั่งทานมื้อเช้าที่ห้องโถง กระถางไฟมีอยู่ทุกมุมห้องช่วยคลายหนาวได้อยู่บ้าง
บนโต๊ะกลมมีผลไม้โปรดของนางและโจ๊กรังนกที่เย็นชืดแล้ว หากหลี่หลินไม่ใส่ใจ นางตักโจ๊กรังนกเข้าปากคำแล้วคำเล่า
บ่าวรับใช้ต่างมองหน้ากัน โดยเฉพาะหลานเอ๋อร์ นางเม้มริมฝีปาก หัวคิ้วขมวดมุ่น แปลกใจกับกิริยาท่าทางของฮูหยิน
หลี่หลินในเมื่อก่อน นางไม่ชอบทานอาหารที่เย็นชืด อาหารทุกอย่างต้องร้อนจนมีไอร้อนลอยขึ้น แบบที่ว่าจะเข้าปากต้องเป่าสองนาน ไม่เช่นนั้นนางจะโวยวายจนบ่าวในครัวหัวหมุน
หลี่หลินเป็นคนอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจ ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้ อาจเพราะนางเป็นลูกคนเล็ก ถูกบิดามารดาเลี้ยงแบบตามใจจนเสียคน นางอยากได้อะไรย่อมต้องได้ ไม่พอใจก็จะอาละวาดและชอบทุบตีบ่าวไพร่ในจวนเป็นประจำ
แม้แต่งงานออกเรือนแล้วนิสัยนางก็ยังเป็นเช่นเดิม
บ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพล้วนไม่มีใครชอบนาง แม้กระทั่งหยางจิ้งเสวียนผู้เป็นสามี ปีหนึ่งนับครั้งได้ที่เขาจะควบม้ากลับจวน ทั้งที่ค่ายประจำการก็อยู่ใกล้เพียงข้ามเขาลูกเดียว
แต่หลี่หลินก็หาได้ใส่ใจ วันๆ นางหมกมุ่นแต่กับสมบัติอัญมณีล้ำค่า นางถลุงทรัพย์สินในคลังเบิกจ่ายใช้เงินเป็นว่าเล่น ใช้เงินประหนึ่งโยนข้าวเปลือกให้ไก่กิน
“ฮูหยิน เอ่อ โจ๊กดูไม่ร้อนเท่าไร อุ่นสักนิดดีหรือไม่เจ้าคะ” หลานเอ๋อร์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงประหม่า นางเกลียดบ่าวคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในครัว จึงตั้งใจยกโจ๊กเย็นชืดขึ้นโต๊ะ ที่สำคัญนางแอบโรยขิงใส่โจ๊กถ้วยนั้น รู้ดีว่าฮูหยินไม่ชอบกินขิง นางหวังให้ฮูหยินหัวเสียและลงโทษทุบตีบ่าวคนนั้นเหมือนเช่นที่ผ่านมา
“...ไม่ล่ะ” หลี่หลินตอบอย่างไม่ใส่ใจ นั้นทำให้หลานเอ๋อร์รู้สึกหงุดหงิดจนต้องก้มหน้าซ่อนความไม่พอใจ
หลังมื้อเช้าเสร็จสิ้น หลี่หลินก็กลับเข้าห้องไปนอนต่อ นางซุกตัวในผ้านวมผืนใหญ่ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เสี่ยวจูสังเกตได้ว่าฮูหยินดูแปลกไป ด้วยความเป็นห่วง นางจึงเข้ามาถามไถ่ ว่าเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่
หลี่หลินที่ห่อตัวเหมือนรังไหมโผล่มาให้เห็นเพียงใบหน้าเล็กๆ นางตอบเสี่ยวจูด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าสบายดี”
หญิงสาวตื่นอีกทีก็บ่ายคล้อยแล้ว นางอยากกินบะหมี่ไก่ฉีกซดน้ำร้อนๆ คลายหนาว จึงให้เสี่ยวจูไปสั่งคนในครัวทำให้
ไม่นานสาวใช้รูปร่างผอมบางคนหนึ่งก็ยกบะหมี่ไก่ฉีกเข้ามาให้ นางชื่อหรงผิง
หรงผิงมีอาการมือสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าฮูหยิน นางเป็นคนซุ่มซ่าม ทำอะไรไม่ค่อยรู้จักระมัดระวัง จึงถูกหลี่หลินด่าทอทุบตีอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อหลี่หลินเงยหน้าขึ้นสบตา มือหรงผิงก็พลันอ่อนยวบคว่ำชามบะหมี่เสียอย่างนั้น น้ำบะหมี่ร้อนๆ กระเซ็นโดนผิวขาวดุจหิมะของหลี่หลินจนเป็นรอยแดง
บ่าวรับใช้ที่ทำงานอยู่แถวนั้นเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ต่างก็พากันอุทานเสียงหลงในใจ พวกนางรับรู้ถึงชะตากรรมของสาวใช้หรงผิง
หรงผิงรีบคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นจนพื้นสะเทือนเลื่อนลั่น น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ตัวนางสั่นงันงกเหมือนลูกนกตกน้ำ หวาดกลัวฮูหยินจะทุบตีจับใจ
“...ไปทำมาให้ข้าใหม่” ทว่าหลี่หลินกลับโบกมือให้อย่างเกียจคร้าน นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับที่แขนตัวเองเบาๆ และถอนหายใจ หากเป็นเมื่อก่อน สาวใช้หรงผิงคงโดนหลี่หลินอาละวาดใส่แล้ว
“เจ้าไม่ได้ยินหรือ รีบไปทำมาให้ฮูหยินใหม่สิ” เสี่ยวจูเองแม้แปลกใจกับท่าทางของฮูหยิน แต่นางก็มีสติดี รีบเข้าไปกระซิบบอกหรงผิงที่นั่งตัวสั่นหมอบอยู่บนพื้น
“จะ...เจ้าค่ะ...เจ้าค่ะ” หรงผิงรีบรับคำ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวทันที
พฤติกรรมที่ดูแปลกไปนี้ทำให้บ่าวไพร่ในจวนต่างจับกลุ่มนินทาพูดถึง สามสี่วันมานี้ฮูหยินดูแปลกประหลาดเหมือนไม่ใช่คนเดิม นางมักเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน ทั้งที่เมื่อก่อนต่อให้ฟ้าจะถล่มทลายนางก็ต้องออกจากจวนเสียให้ได้ เพื่อไปผลาญเงินเล่น
เสี่ยวจูที่ติดตามรับใช้ฮูหยินมานานนม นางเริ่มไม่สบายใจที่เห็นฮูหยินเอาแต่นอนทั้งวันทั้งคืนไม่ทำอะไร จึงไปปรึกษาพ่อบ้านตู้ กังวลว่าฮูหยินอาจป่วยเป็นโรคร้าย
พ่อบ้านตู้นั้นไม่ชอบนายหญิงคนนี้อยู่แล้ว เขาจึงรับปากส่งๆ ว่าจะตามท่านหมอมาตรวจดูอาการให้
หลี่หลินเอาแต่นอน นางรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่อยากทำอะไรเช่นกัน สุดท้ายแล้วอย่างไรก็ต้องตาย มีอยู่ชาติหนึ่ง ซึ่งนางเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นชาติที่เท่าไร นางตัดสินใจหนีออกจากจวนท่านแม่ทัพหวังเปลี่ยนชะตาชีวิต สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือสุ่ยอวิ๋นเหออยู่ดี
สุ่ยอวิ๋นเหอจ้างนักฆ่าฝีมือดีให้ตามสังหารนางอย่างโหดร้ายทารุณ
ส่วนหยางจิ้งเสวียนน่ะหรือ...เขาไม่สนอยู่แล้วว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร นางไม่อยู่ในสายตาเขา เหมือนที่เขาก็ไม่อยู่ในสายตานางเช่นกัน
สวรรค์ลิขิตให้นางเป็นผู้แพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนั้นแล้วจะให้นางเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกทำไมกัน..ไม่เข้าใจจริงๆ เลย
เช้าวันต่อมา หลี่หลินตื่นนานแล้วแต่ยังนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง นอนฟังเสียงนกกระจิบขับขานด้วยความสุข หากเป็นเมื่อก่อนนางจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญเสียงนกพวกนี้ จนต้องเอาน้ำร้อนมาสาดไล่พวกมัน มาชาตินี้นางสงบนิ่งและเริ่มใจเย็นลงมาก
“ฮูหยิน ลุกจากที่นอนได้แล้ว ตอนนี้นายท่านกลับถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูเดินแหวกม่านโปร่งหน้าเตียงเข้ามาปลุกด้วยการดึงผ้านวมออกจากตัว ใบหน้านางแย้มยิ้มสดใส ผิดกับคนที่ยังนอนเป็นปลาเค็มอยู่บนเตียง
หลี่หลินคิดว่าตัวเองหูฝาด นางจึงถามย้ำอีกครั้ง “เจ้าว่าอะไรนะ”
เสี่ยวจูเดินไปเดินมาอยู่หน้าเตียง รวบม่านโปร่งมัดไว้กับเสาเตียง ก่อนจะก้มเก็บที่นอน “นายท่านกลับถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”
“เขามากับใคร” หลี่หลินถาม จะใช่คนที่นางคิดไว้หรือไม่นะ
“มากับท่านหมอเจ้าค่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้ว ท่านหมอหรือ...
เท่าที่จำได้ ช่วงเวลานี้หยางจิ้งเสวียนจะพาสุ่ยอวิ๋นเหอเข้าจวนแล้ว
สุ่ยอวิ๋นเหอเป็นบุตรสาวคหบดีสุ่ย ซึ่งเป็นคนร่ำรวยที่สุดในเมืองผิงเหยา มีครั้งหนึ่งที่กองทัพของหยางจิ้งเสวียนขาดแคลนอาหาร แต่ก็ได้คหบดีสุ่ยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง คือให้สุ่ยอวิ๋นเหอเข้าจวนมาเป็นอนุภรรยา
ด้วยความจำเป็น หยางจิ้งเสวียนจึงต้องตกปากรับคำ
ส่วนหลี่หลินนั้นไม่ได้คัดค้านอะไร หยางจิ้งเสวียนจะมีภรรยากี่คนก็มีไป ขอเพียงคนพวกนั้นอยู่อย่างสงบเจียมตัวและอย่ามายุ่งวุ่นวายกับนางก็พอ
หลี่หลินล้างหน้าบ้วนปากและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังนั่งรอท่านหมออยู่ที่ห้องโถง แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ท่านหมอมาจับชีพจรนาง นางร่างกายแข็งแรงดี อารมณ์ก็ดีมากด้วย ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเสียหน่อย แต่เสี่ยวจูบอกว่า นี่เป็นความประสงค์ของท่านแม่ทัพ นางจึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายและไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีก
เสี่ยวจูเป็นห่วงฮูหยิน ร่วมเดือนแล้วที่ฮูหยินไม่ออกไปที่ใดเลยแม้แต่เด็ดกิ่งดอกบ๊วยมาใส่แจกัน ซึ่งปกตินางชอบออกไปเด็ดกิ่งดอกบ๊วยมาก จะว่าเพราะอากาศหนาวเหน็บเกินไปก็ไม่ใช่
ฮูหยินมักเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นางชอบนอนแทะเม็ดแตงกับอ่านหนังสือ หากเป็นเมื่อก่อนเวลาอยู่เรือนสิ่งที่นางชอบทำมากที่สุดคือนำอัญมณีที่สะสมออกมานับ พฤติกรรมที่ผิดแปลกไปนี้ทำให้เสี่ยวจูเริ่มกังวล
แม้นางจะปรึกษาพ่อบ้านตู้ ซึ่งพ่อบ้านตู้ก็รับปากว่าจะเชิญท่านหมอมาตรวจร่างกายฮูหยินที่เรือน ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมาเสียที นางเองก็พอรู้ว่าพ่อบ้านตู้ไม่ได้ชอบฮูหยินสักเท่าไร นางจึงให้คนส่งข่าวนี้แก่นายท่านทราบ อย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากัน นายท่านคงไม่ปล่อยปละละเลยผู้เป็นภรรยา
หยางจิ้งเสวียนพอทราบข่าวก็รีบตะบึงม้ากลับมาที่จวน พักหลังมานี้เขาเองก็ไม่ได้รับรายงานข่าววุ่นวายที่จวน แน่นอนว่าเขาเองย่อมคิดว่านี่ผิดปกติ
ชายหนุ่มแวะไปที่เรือนเล็กด้านหลังเพื่อถอดชุดเกราะและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะมาที่เรือนหานเยว่พร้อมกับหมอชราผู้หนึ่ง เมื่อเดินเข้ามาด้านใน เขาก็เห็นสตรีโฉมงามสวมชุดสีเขียวมรกตนั่งอยู่บนเก้าอี้ เรือนผมดำขลับถูกรวบขึ้นและปักด้วยปิ่นหยกอย่างลวกๆ ใบหน้าของนางขาวแต่ไม่ซีด ยังเห็นเลือดฝาดบนแก้ม มองดูแล้วไม่เหมือนคนป่วยสักนิด
หลี่หลินเงยหน้าสบตาผู้มาเยือน หากนับจริงจัง นี่เป็นครั้งที่สามในรอบปีที่นางได้เจอหน้าเขากระมัง หากหลี่หลินเองก็ไม่ได้ถวิลหาเขาเท่าไรนัก
นางแต่งงานกับหยางจิ้งเสวียนได้ปีกว่าแล้ว แน่นอนว่าตอนแรกนั้นนางไม่ยินยอมและต่อต้านค้านหัวชนฝา แต่เพราะเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้จึงมิอาจปฏิเสธได้
วันนั้นที่วังหลวงมีการจัดงานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบหกสิบปีของฮ่องเต้ ครอบครัวของนางที่บิดาเป็นขุนนางระดับสามก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน ซึ่งครอบครัวนางไปเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว รวมทั้งหยางจิ้งเสวียนที่พึ่งยกทัพรบชนะพวกนอกด่านก็ได้เข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงเห็นว่าทั้งคู่ยังไม่แต่งงานและดูเหมาะสมกันดีจึงทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยจับคู่ให้
หลี่หลินจึงต้องจำใจแต่งงานกับเขา
นางต้องจากครอบครัวที่เมืองหลวง เดินทางมายังเมืองผิงเหยาที่กันดาร รอบนอกยังมีพวกนอกด่านลอบโจมตีเป็นระยะ
“ท่านลองตรวจร่างกายนางหน่อย...” หยางจิ้งเสวียนยืนค้ำหัวนางและเอามือไพล่ไว้ มองหมอชราตรวจจับชีพจรภรรยา หลี่หลินเองก็ยื่นข้อมือให้ท่านหมอตรวจจับแต่โดยดี
“เรียนท่านแม่ทัพ ชีพจรหยางฮูหยินปกติดี เลือดลมในร่างกายนางก็ปกติเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดผิดปกติขอรับ” หมอชรากล่าว
หยางจิ้งเสวียนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะบอกให้เสี่ยวจูออกไปส่งหมอชราหน้าจวน ชายหนุ่มขยับตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาเองก็มีเรื่องสำคัญจะพูดกับนางเช่นกัน
หยางจิ้งเสวียนเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร หากข้าจะรับสุ่ยอวิ๋นเหอเข้าจวน นางเป็นบุตรสาวของคหบดีสุ่ย ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยเหลือกองทัพเรื่องอาหาร แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนคือข้าต้องรับบุตรสาวเขามาดูแล...”
หลี่หลินฟังจบก็พยักหน้า สีหน้าของนางเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด นางรีบตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ หากนางบอกเขาว่าไม่ยินยอม อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วสุ่ยอวิ๋นเหอก็ต้องหาวิธีเข้าจวนมาอยู่ดี “ข้าแล้วแต่ท่าน”
หยางจิ้งเสวียนเองก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นสีหน้านางเรียบเฉย ความสัมพันธ์ของเขาและนางเป็นอย่างไรย่อมรู้แก่ใจ หากเขาเองอดที่จะเหลือบมองใบหน้าเล็กๆ นั้นไม่ได้ ถามนางอย่างห่วงใยว่า “ช่วงนี้เจ้ามีเรื่องทุกข์ใจหรือ”
หลี่หลินเงยหน้าสบตาเขาอย่างแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เขาถามอะไรเช่นนี้กับนาง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยถามอะไรอย่างนี้เลย บทสนทนาระหว่างกันแทบนับครั้งได้
หลี่หลินส่ายหน้า นางเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว คงเพราะพฤติกรรมของนางที่ดูแปลกไปถึงหูเขาเข้า เขาจึงคิดว่านางป่วยใช่หรือไม่ เลยให้ท่านหมอชรามาตรวจร่างกาย พอเห็นว่าร่างกายนางปกติดี จึงคิดว่านางคงมีเรื่องทุกข์ใจงั้นหรือ
“ข้าไม่มีเรื่องทุกข์ใจใดและข้าก็สบายดี”