ชีวิตประจำวันของหลี่หลินเปลี่ยนไป เวลาส่วนใหญ่ของนางหมดไปกับการนอน บ่าวไพร่ในจวนเริ่มคุ้นชินกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮูหยิน ต่างก็ก้มหน้าทำงานด้วยความสบายใจ
แต่พ่อบ้านตู้กลับไม่เชื่อว่านายหญิงของจวนจะเปลี่ยนไปได้เร็วราวพลิกฝ่ามือเช่นนี้ วันนี้เขามาหานางที่เรือนหานเยว่พร้อมหีบและสมุดบัญชีในมือ พ่อบ้านตู้กล่าวด้วยใบหน้าแช่มชื่นว่า “ฮูหยิน เดือนนี้ท่านจะเบิกเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวหรือไม่”
หลี่หลินเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกตัวโปรด กำลังนอนอ่านหนังสือและแทะเม็ดแตง มีเสี่ยวจูคอยเขี่ยกระถางไฟเพิ่มความอบอุ่นอยู่ด้านข้าง หญิงสาวตอบพ่อบ้านวัยกลางคนโดยไม่ใช้เวลาคิดเลยด้วยซ้ำ “ไม่ล่ะ”
พ่อบ้านตู้ได้ยินก็แปลกใจ เขามองนายหญิงอย่างไม่อยากจะเชื่อหูเท่าใด พลางคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางงั้นหรือ ชายวัยกลางคนยังไม่ยอมแพ้ เขากล่าวเย้าเพื่อลองใจ “ฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าที่หอซือเซียนมีเครื่องประดับมาใหม่ เป็นพลอยสีน้ำเงินน้ำงามมากเลยทีเดียว เห็นว่าค่อนข้างหายาก เอ่อ ฮูหยินไม่อยากลองไปดูสักหน่อยหรือ”
หลี่หลินลดหนังสือในมือลงโดยฉับพลัน นางจ้องตาพ่อบ้านตู้เขม็ง แววตาลุกวาวเปล่งประกายอยู่วูบหนึ่ง แต่แล้วนางก็ถอนหายใจและตอบคำเดิม “ไม่ล่ะ”
เก็บของมีค่าไว้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่ชอบสะสมอัญมณีล้ำค่าอะไรนั่นแล้ว
พ่อบ้านตู้คิ้วตกยอมแพ้ เขาเอ่ยขอตัวด้วยใบหน้าที่สับสน
“พ่อบ้านตู้ โปรดรอสักครู่ อย่าพึ่งรีบไป” ทว่าหลี่หลินรีบรั้งไว้เมื่อชายวัยกลางคนหันหลังให้ นางรีบลุกจากเก้าอี้โยกแล้วเดินเข้าไปในห้อง เปิดตู้เก็บของและหยิบกล่องไม้สักออกมา ในนั้นมีอัญมณีล้ำค่าที่นางเก็บสะสม นางยื่นกล่องใบนั้นให้พ่อบ้านตู้ “เอาไปเก็บในคลัง ลงบัญชีเป็นชื่อจิ้งเสวียน”
หนึ่งปีมานี้นางเอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย นางใช้เงินในส่วนของหยางจิ้งเสวียนเสียส่วนใหญ่ เขารู้แต่ไม่คิดห้ามปรามนาง ปล่อยให้นางถลุงเงินเป็นว่าเล่น นางจึงต้องการค*****นจำนวนนี้ให้แก่เขา และในส่วนของนาง นางตั้งใจจะเอาไปถวายที่วัดเถาหยวน เผื่อผลบุญที่ทำในชาตินี้จะช่วยให้ความปรารถนาของนางเป็นจริง
อย่าให้มีชาติที่เจ็ดอีกเลย...ข้าเบื่อแล้ว
พ่อบ้านตู้รับกล่องไม้สักนั้นมา ใบหน้าสับสนยิ่งกว่าเดิม
หยางจิ้งเสวียนอยู่จวนแค่สองวัน ก่อนจะควบม้ากลับไปทำงานเหมือนเดิม
ส่วนหลี่หลินก็ใช้ชีวิตอย่างปลาเค็มต่อไป
กินนอน อ่านหนังสือและแทะเม็ดแตง!
วันนี้หิมะตกหนักตั้งแต่เช้ามืด หลี่หลินทำกิจวัตรประจำวันเช้าเสร็จก็มานั่งผิงไฟคลายหนาว สีหน้านางดูมีความสุขยิ่ง หญิงสาวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
จู่ๆ เสี่ยวจูก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา นางยืนหอบแฮ่กจนควันออกปาก บนศรีษะและไหล่ยังมีละอองหิมะสีขาวติดอยู่ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้ว เอ่อ พาผู้หญิงมาด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่หลินได้ฟังก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด คิดว่ารอบนี้นางมาช้าไปเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวขานรับในลำคอแค่คำเดียวแล้วก็ฮัมเพลงต่อ
เสี่ยวจูเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของฮูหยินก็ถอนหายใจดังเฮือก ความรู้สึกที่ฮูหยินมีต่อนายท่านนั้นช่างเย็นชาเหลือเกิน
บ่าวไพร่ในจวนล้วนตื่นตกใจเมื่อทราบว่า ท่านแม่ทัพพาผู้หญิงคนใหม่เข้าจวน ที่สำคัญนางเข้ามาในฐานะนายหญิงอีกคน
“นางหน้าตาเป็นอย่างไร” หลานเอ๋อร์รีบทิ้งผ้าขี้ริ้วในมือ หันไปถามบ่าวชายที่นำข่าวมาบอกด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น
“หน้าตาสะสวยพอๆ กับฮูหยิน แต่...นางพิการต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น!”
เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินว่าผู้หญิงคนใหม่ของท่านแม่ทัพนั้นพิการ
ทางด้านสุ่ยอวิ๋นเหอ นางนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ร่างนางถูกห่อด้วยเสื้อคลุมกันหิมะตัวใหญ่ เห็นเพียงใบหน้าเล็กๆ โผล่มา แก้มของนางกลายเป็นสีแดง ดูแล้วน่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง
นางนั้นนับว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองผิงเหยา หากแต่นางเป็นหญิงพิการ จึงไม่ได้แต่งงานเสียที
สุ่ยอวิ๋นเหอพิการขาลีบตั้งแต่เด็ก คหบดีสุ่ยกังวลเรื่องนี้มาก เพราะหากสิ้นเขาแล้ว บุตรสาวคนนี้จะอยู่อย่างไร จะมีใครดูแลนางได้ดีเท่าเขาหรือไม่ เขาจึงฉวยโอกาสตอนกองทัพของหยางจิ้งเสวียนขาดแคลนอาหาร ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้รับบุตรสาวตนไปเป็นภรรยาอีกคน เพราะรู้ดีว่าอย่างไรแม่ทัพหยางก็ต้องตกลง เขารู้จักหยางจิ้งเสวียนผู้นี้ดี จึงไว้วางใจให้ดูแลอาเหอบุตรสาวตน
หยางจิ้งเสวียนช่วยเข็นเก้าอี้รถเข็นเดินฝ่าปุยหิมะมาส่งสุ่ยอวิ๋นเหอที่เรือนฮ่วนซุย ตลอดทางเขาดูสงบเสงี่ยมมาก ไม่ได้พูดสิ่งใดเลยนอกจากตอบคำถามที่สุ่ยอวิ๋นเหอถาม
เมื่อถึงที่หมาย ชายหนุ่มก็หมุนตัวเตรียมจากไปทันที ทว่าสุ่ยอวิ๋นเหอกลับคว้ามือเขาไว้ นางเม้มริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาเขา ดวงตาสีดำขลับนั้นดูทั้งใสซื่อและบริสุทธิ์ “ขอบคุณท่านพี่...ที่มาส่งข้าเจ้าค่ะ”
หยางจิ้งเสวียนตัวแข็งไปชั่วขณะ เขาเพียงรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่ถูกเรียกว่า...ท่านพี่
ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วบอกกับนางว่า “เจ้าพักผ่อนเสียเถิด”
“เจ้าค่ะ” สุ่ยอวิ๋นเหอค่อยๆ ปล่อยมือเขาอย่างเสียดาย ดวงตาคู่งามหม่นแสงลง นางยังจ้องแผ่นหลังกว้างของเขาเดินฝ่าปุยหิมะและเลี้ยวหายจนลับตา ก่อนจะบอกสาวใช้คนสนิทด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ว่าให้ช่วยพานางเข้าไปข้างในได้แล้ว
การมีอยู่ของสุ่ยอวิ๋นเหอในจวนไม่ได้เป็นปัญหาต่อหลี่หลินแต่อย่างใด เพราะในชาตินี้นางตั้งใจปล่อยวางทุกอย่างแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้นางคงนั่งทำหน้าเครียดคอยคิดหาวิธีแก้แค้นเอาคืนสุ่ยอวิ๋นเหอ
ช่วงนี้หยางจิ้งเสวียนควบม้ากลับจวนบ่อยขึ้น คิดว่าคงมาดูแลสุ่ยอี๋เหนียงกระมัง หลี่หลินเองก็เจอหน้าเขาบ่อยขึ้นเช่นกัน ทว่าบทสนทนาระหว่างกันก็ยังดูห่างเหินเช่นเดิม
หยางจิ้งเสวียนมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนเล็กด้านหลัง ไม่ได้มาวุ่นวายที่เรือนใหญ่อย่างเรือนหานเยว่แต่อย่างใด
เช้านี้แดดจ้ามาก แต่ด้านนอกหิมะยังเกาะตัวหนาเป็นชั้น พื้นก็ยังขาวโพลน หลี่หลินเปิดหน้าต่างเพื่อรับแสงแดดอุ่นๆ นางนั่งเท้าคางกับขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้ารีบเร่งของเสี่ยวจูก็วิ่งเข้ามาในห้อง “ฮูหยิน...ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยอี๋เหนียงขอพบเจ้าค่ะ”
หลี่หลินคายเปลือกเม็ดแตงลงกระโถน นางพยักหน้าเชื่องช้า เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้เรียบร้อย ม้วนผมไว้กลางศรีษะอย่างเกียจคร้านเช่นเดิม
เมื่อเดินเข้ามาที่ห้องโถง นางก็เห็นสุ่ยอวิ๋นเหอนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ด้านหลังเป็นสาวใช้จากบ้านเดิมของนาง นามว่าอาจู
สุ่ยอวิ๋นเหอแม้พิการ แต่นางนับว่าเป็นสตรีที่งดงามมากทีเดียว ใบหน้าเรียวเล็ก ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มชุ่มชื้น ดวงตากลมโตนั้นดูใสซื่อบริสุทธิ์และก็ดูน่าสงสารในคราวเดียวกัน
ทว่าเป็นเพียงเปลือกนอกที่นางสร้างขึ้นมา
สังหารข้าแล้วยังมาเย้ยข้า!
ในยามที่นางจะสิ้นใจ สุ่ยอวิ๋นเหอและหยางจิ้งเสวียนจะมายืนอยู่ข้างเตียง พวกเขามาอำลานางเป็นครั้งสุดท้าย สุ่ยอวิ๋นเหอถึงกับร่ำไห้ปานจะขาดใจตาย ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มหยันให้นาง!
หลี่หลินส่งยิ้มให้สุ่ยอวิ๋นเหออย่างอ่อนโยน นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ที่จริงควรเป็นข้าเสียมากกว่าที่ต้องไปพบเจ้า แต่พอดีช่วงข้ายุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาเลย” หลี่หลินโกหก ที่จริงแล้วนางขี้เกียจ แล้วก็มีไม่เหตุผลใดที่ต้องไปหาสุ่ยอวิ๋นเหอที่เรือน ตามขนบธรรมเนียมแล้วสุ่ยอวิ๋นเหอต่างหากต้องเข้าหานาง ทว่านางก็พูดไปอย่างนั้น
สุ่ยอวิ๋นเหอส่ายหน้า อย่างไรก็ต้องให้เกียรติฮูหยินพระราชทานอย่างหลี่หลิน นางยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ลำบากอะไรเจ้าค่ะ ข้าเป็นผู้น้อย สมควรต้องมาหาท่านถูกแล้ว ที่จริง...ข้าต้องมาหาท่านในวันแรกๆ เสียด้วยซ้ำ ทว่าข้ากลับรู้สึกไม่สบาย ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่หลินแอบคิดว่า ทักษะการแสดงของสุ่ยอวิ๋นเหอนั่นยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่นางนั้นยอดเยี่ยมกว่า! หลี่หลินแย้มยิ้มหวานทีหนึ่งก่อนจะหันไปสั่งให้เสี่ยวจูยกน้ำชาและขนมเข้ามา นั่งจิบชากับสุ่ยอี๋เหนียงอย่างเป็นกันเอง
ส่วนสุ่ยอวิ๋นเหอรู้สึกว่าหลี่หลินพูดคุยถูกคอกับนางดี ดูแล้วไม่เห็นมีทีท่าดุร้ายเหมือนที่เล่าลือกันเลย
บ่าวรับใช้ในเรือนหานเยว่แอบมองนายหญิงทั้งสองพูดคุยกัน หลานเอ๋อร์พูดกับเสี่ยวจูที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ทำไมนายท่านต้องรับลูกสาวคหบดีสุ่ยมาเป็นอี๋เหนียงด้วย นางพิการเช่นนี้ เอามาเป็นภาระทำไม หากเป็นสตรีบ้านอื่นข้าจะไม่สงสัยเลย”
ทุกปีในช่วงวันเกิดของนายท่าน จะมีขุนนางในท้องที่เดินทางมาที่จวนไม่ขาดสายเพื่อมอบหญิงงามให้เป็นของกำนัล หากแต่นายท่านไม่สนใจเรื่องสตรี
หากจะบอกว่าสุ่ยอวิ๋นเหอเป็นคนในใจก็คงไม่ใช่ สี่ปีที่นางทำงานอยู่ในจวนนี้ ก็ไม่เคยได้ยินว่าแม่ทัพหยางข้องเกี่ยวกับหญิงใดเลย รอบนอกเมืองยังไม่สงบ เวลาส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นแต่ปราบกบฏ
เสี่ยวจูถลึงตาดุ อย่างไรพวกนางก็เป็นแค่บ่าว จะพูดอะไรควรระวังให้มาก “ปากเปราะเช่นนี้ระวังโดนโบยหลังด้วยไม้กระดาน”
หลานเอ๋อร์ย่นจมูก ส่งเสียงเย็นในลำคอทีหนึ่ง นางเองก็ไม่ค่อยชอบเสี่ยวจูเท่าไรนัก ทำเป็นวางท่ามาก!
แม้เป็นการพูดคุยกันครั้งแรก แต่สุ่ยอวิ๋นเหอก็รู้สึกสนุกและประทับใจมาก นางยิ้มและหัวเราะอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะถามอย่างเป็นกันเองว่า “พี่หญิง เดือนหน้าเป็นวันเกิดท่านพี่แล้ว ท่านรู้หรือไม่ ว่าเขาชอบอะไรเป็นพิเศษ”
หลี่หลินเงียบไปครู่หนึ่ง แปลกมากที่นางรู้สึกคันหัวใจ สุ่ยอวิ๋นเหอเข้าจวนมาเพียงสองวัน แต่กลับเรียกหยางจิ้งเสวียนได้อย่างสนิทสนมเต็มปาก
หญิงสาวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย กระทั่งวันเดือนปีเกิดหรือนิสัยส่วนตัว นางไม่เคยให้ของขวัญแก่เขาเลยสักชิ้นแม้ช่วงเทศกาลสำคัญ
มีแต่เขาเป็นฝ่ายให้นาง
หลี่หลินครุ่นคิด เขาเป็นแม่ทัพ ชำนาญเรื่องรบทัพจับศึก ก็คงจะชอบพวกอาวุธกระมัง
“เอ่อ เขา...เขาชอบพวกอาวุธเช่นดาบ” หลี่หลินตอบ แน่นอนว่านางมั่นใจเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าจะหาช่างตีเหล็กเก่งๆ ทำดาบให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด” สุ่ยอวิ๋นเหอแย้มยิ้มสดใส
หยางจิ้งเสวียนควบม้ากลับจวนในช่วงเย็น พ่อบ้านตู้เดินยิ้มหน้าระรื่นออกมาต้อนรับ เมื่อแม่ทัพหนุ่มกระโดดลงหลังม้า เขาก็กล่าวหยอกเย้าทันที “นายท่านช่างโชคดียิ่ง สตรีของท่านทั้งสองดูท่าจะเข้ากันได้ดีทีเดียว” หากเรือนหลังสงบเรียบร้อย แน่นอนว่าผู้เป็นเจ้าของเรือนย่อมสบายใจ
ทว่า...เขาก็ค่อยไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าจะสงบ
หยางจิ้งเสวียนเลิกคิ้วขึ้น ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว ชายหนุ่มส่งเสื้อคลุมกันหิมะให้พ่อบ้านตู้แล้วเร่งฝีเท้าไปที่เรือนเล็กเหมือนเช่นเคย
เขาเดินผ่านเรือนหานเยว่ ได้ยินเสียงจามดังขึ้นมาอยู่หลายครั้ง เมื่อถึงเรือนเล็ก ก็สั่งบ่าวหน้าห้องให้ไปบอกคนในครัวทำสาลี่ตุ๋นไปให้ฮูหยินที่เรือนหานเยว่
ช่วงหลังหลี่หลินชอบเปิดหน้าต่าง นางโดนลมเย็นบ่อยเข้าจึงเป็นหวัด นั่งจามตลอดทั้งวัน
ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง จู่ๆ เสี่ยวจูก็เดินถือถ้วยใบเล็กเข้ามา นางส่งยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ฮูหยิน สาลี่ตุ๋นเจ้าค่ะ นายท่านสั่งบ่าวในครัวให้ทำมาให้”
เสี่ยวจูดีใจที่ท่านแม่ทัพก็ใส่ใจฮูหยิน นางอยากเห็นทั้งคู่รักใคร่ปรองดองกันฉันท์สามีภรรยาทั่วไป
“เจ้าเอาวางบนโต๊ะก่อน” หลี่หลินบอกอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าลึกๆ กลับแปลกใจ
ชาตินี้เขาดูใส่ใจนางยิ่งนัก!