ตอนที่ 16
“นี่รับรู้ไว้อย่างหนึ่งนะชายก่อนจะกลับหญิงจี๊ด จะกลับมาเมืองไทยอีกสามเดือนข้างหน้าถ้าเป็นไปได้ ช่วยกันมาต้อนรับ ที่สนามบินและการกลับเข้าสู่วัง อีกครั้งของหญิง ย่าอยากจะให้ไปกันหลายคน ย่าเองก็เหมือนกัน”
นิ่งฟังคำตรัสของท่านย่าครู่หนึ่งจึงเอ่ย
“ได้ครับท่านย่าชายรับปาก”
เต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มจากมุมโอษฐ์ของสตรีสูงศักดิ์ผู้ครอบครองวังเลื่องชื่อแห่งนี้จากนั้นเชื้อพระวงศ์หนุ่ม ก็ค้อมกายเดินผ่านท่านย่าก่อนหน้านั้นจุมพิตที่แก้มเหี่ยว เป็นการแสดงความรัก ให้คนแก่ได้ชื่นใจ
เรื่องที่ติดข้องกลับเป็นเรื่องสตรีที่ท่านย่าเอ่ยขึ้น ชื่อของสุชาวดีผ่านหูและสายตาของหนุ่มหล่อเชื้อสายสูงศักดิ์มาแล้ว สิ่งนั้นควรและไม่ควรนั่นแหละ
ท่านย่าจึงทรงตักเตือนหาไม่เช่นนั้นแล้ว จะกระทบกับชื่อเสียงเกียรติคุณซึ่งเป็นราชวงศ์สูงศักดิ์ได้ตกเป็นที่ ติฉินครหา ซึ่งบอกตรงตามความจริงแล้ว หม่อมเจ้าหญิงมณีรัตนาท่านไม่ปรารถนาให้เกิดเรื่องเช่นนี้
แต่ชายเคนธิศเป็นบุรุษเพศมีวิถีชีวิตอิสระรวมทั้งโลกส่วนตัวสูงอีกทั้งเป็นหนุ่มเนื้อหอมหล่อเหลาในวงสังคมชั้นสูงจึงมีบ้างที่เขาจะลดเลี้ยวและใช้ชีวิตเกกมะเหรก เยี่ยงวัยรุ่นทั่วไป ที่ออกนอกลู่นอกทางบ้าง
ก็คงไม่เป็นไรนักหรอกพอถูกท่านย่าดุทรงตำหนิบ้าง ก็ได้สติกลับคืนทุกครั้ง
ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ของชายหนุ่ม เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
พักหลังนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับนักร้องสาวคนนั้นแล้วเขายอมรับว่าสุชาวดีเป็นหญิงสาวที่สวยไฉไลและพราวพริ้ง เนื่องด้วยหล่อนรู้จักแต่งกาย พัฒนาตัวเองให้ก้าวรวมกับบุคลชั้นสูงซึ่งความเป็นจริงแล้วหล่อนเป็นเพียงแค่ผู้หญิงโนเนม เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา
ที่หม่อมราชวงศ์หนุ่มให้ความสนิทสนมในฐานะเพื่อนและรวมทั้งกับความสัมพันธ์ที่เลยเถิดไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่นั่นล่ะ มันจบลงที่ตรงนั้น
ชายหนุ่มยั้งเอาไว้ดูเหมือนสุชาวดีก็รู้ตัวเช่นกัน หากว่าแอลกอฮอล์ไม่แสดงฤทธิ์ในคืนนั้นซึ่งเป็นงานจัดเลี้ยงวันเกิดอย่างสุดหรูของคุณชายที่ผับหรูชื่อดังซึ่งเมื่อเลิกงานแล้ว หล่อนมักจะมาต่อที่นี่กับเพื่อนๆ
อีกครั้งที่คอนโดสุดหรูย่านทองหล่อซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่กับชีวิตของคนกรุง รวมถึงหม่อมราชวงศ์หนุ่มผู้สูงศักดิ์ด้วย คอนโดสามสิบสองชั้นใหม่เอี่ยมหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์ และความกว้างขวาง
ที่พักของชายหนุ่มอยู่ชั้นสิบห้า หลังจากที่ออกจากห้องแล้วก็มีธุระออกไปอีกครั้งตามธรรมดาประสาเพื่อนที่นัดแนะกันไว้แล้ว สิบนาทีต่อมาชายหนุ่มหล่อเหลา ที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าสวมเชิ้ตสีเข้มสุภาพกางเกงขายาวลาย
สก๊อตเป็นที่สะดุดตาแก่สาวๆหลายคน ที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด
เมื่อหนุ่มหล่อโฉบเดินตรงมาที่โต๊ะเพื่อนและรถส่วนตัวคันหรูสปอร์ตสีดำเข้มถูกนำไปจอดที่ลานและได้รับการดูแลอย่างดีจากพนักงานดูแลรถซึ่งรู้ว่าชายหนุ่มเป็นแขกขาประจำ
“อ้าวเคน ทางนี้โว้ย”อาทรเพื่อนซี้ที่สุดของชายหนุ่ม กวักมือพร้อมเรียกเคนธิศจึงเดินตรงมาที่กลุ่มเพื่อนๆพร้อมทรุดนั่ง
อีกฉากหนึ่งของชีวิตในมุมอับหนุ่มใหญ่ปัจจุบันวัยไม่เกินสี่สิบแปดผมเผ้าที่ปล่อยรกรุงรังไม่ได้รับการเอาใจใส่ใบหน้าที่หมองหม่นเหมือนชายที่ผิดหวังต่อทุกสิ่งทุกอย่างทดท้อใจ จึงทำให้ตนเอง ต้องตกอยู่ในกรงขังสี่เหลี่ยม ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นสาบของมนุษย์ด้วยกัน
ชีวิตถูกปล่อยตามยถากรรมเขานั่งจับเจ่ากอดเข่าคว่ำหน้ากับตัวเองอย่างคนที่หมดหวังและไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นเลย นอกจากความทรงจำที่โหดร้าย
คอยทวีคุกคามไปเรื่อยเขาฝันร้ายหนักติดต่อกันมาสองสามวันแล้วฝันถึงลูกสาวกับลูกชายที่มีอยู่
อดีตภรรยาพาหอบหิ้วหนีไปโดยไม่เหลียวแลเขา ดังนั้นบางครั้งบางคราเขาจึงคลุ้มคลั่งด้วยการทำร้ายตัวเองหลังจากที่ตะโกนตะเบ็งเอ็ดตะโรลั่นอย่างคนประสาทเสีย และถูกหลอนด้วยภาพต่างๆ
นัฐปเดช สัสดีหนุ่มใหญ่วัยสามสิบห้า มองภาพนั้นแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ มีความรู้สึกสงสาร ต่อผู้ต้องขังรายนี้ บางครั้งแกสติดี จดจำเรื่องราวส่วนตัวแต่อดีตหนหลังได้ แต่บางครั้งก็ไม่ได้
และคลุ้มคลั่งอาละวาดอย่างที่เห็นเมื่อครู่ใหญ่
นึกสงสารชะตากรรมของแกที่ไม่มีใครมาเหลียวแล แม้แต่ญาติพี่น้องบางครั้ง นัฐปเดชเสนอตัวเข้ามาดูเพื่อปลอบพูดคุย เพื่อให้ผู้ต้องขังคนนี้ มีกำลังใจ มีสติ วางตัวเองอยู่ในฐานะเพื่อนและญาติคนหนึ่ง
ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ใช่ สำหรับเขา คงมีนักโทษน้อยรายนัก ที่น่าสมเพชเวทนาอย่างน้อยผู้ต้องขังคนนี้เป็นคนหนึ่ง ถ้าออกไปข้างนอก แกคงกลับตัวกลับใจเป็นคนดี อันที่จริงข้อหาลักทรัพย์ และฉ้อโกงของผู้ต้องหารายนี้จะว่าไปมันก็ไม่ได้หนักหนารุนแรงอะไร
ถ้ามีสินทรัพย์พอที่จะไถ่ตัวเองได้แต่เนื่องจากผู้ต้องหาคนนี้ ไม่มี และไร้ญาติขาดมิตร
ณัฐปเดชมีภรรยาแล้ว ภรรยาของเขาอ่อนกว่าสามปี ชื่อ สุภิชาหรือแต้ ปัจจุบันเธอเป็นแม่ลูกอ่อน เลี้ยงลูกคนแรกของเขาอยู่กับบ้านเป็นลูกชายด้วย ชื่อน้องโมน หรือธันฑศวร ศุภิชาเป็นภรรยาที่น่ารัก เพิ่งลาออกจากงานบัญชีที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวถนนวิทยุ ซึ่งเป็นงานประจำตามคำสั่งของเขา
ด้วยเหตุณัฐปเดชต้องการให้ภรรยาอยู่กับบ้านเลี้ยงลูกไม่อยากให้หล่อนกลับไปทำงานอีกครั้งมีชีวิตที่เหนื่อยยากลำบากเพราะระหว่างเมืองนนท์เข้าไปสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพแถวย่านสุขุมวิท เป็นการเดินทางที่ลำบาก
และเขาต้องขับรถส่งภรรยามาต่อเรือที่ท่าน้ำนนท์ จนไปสุดที่ท่าเตียน หล่อนจึงต้องต่อรถเมล์อีกทอด เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว แม้รายได้จากสัสดีของเขาไม่ได้มากมายมากนัก เงินเดือนหมื่นต้นๆเท่านั้นเอง
แต่ก็คิดว่าพออยู่ได้บวกกับเงินเก่าที่เก็บสะสม ระหว่างเขาและภรรยา เพื่อมีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าทำคลอด อาหารการกินเสื้อผ้าเครื่องใช้ของเด็กอ่อนซึ่งเขาตระเตรียมไว้ก่อนนั่นเอง
นี่คือโครงการที่พ่อแม่อย่างเขาจะต้องคิดเอาไว้ก่อนมันถือเป็นภาระและหน้าที่ ที่เขาจำยอมและปรารถนา เนื่องจากลูกที่เกิดมาก็เป็นโซ่ทองคล้องดวงใจ ไม่ใช่ลูกของคนอื่น ภรรยาของเขาเป็นคนดี สุจริตใจ