Chapter 20
สิบห้าปีที่แล้ว...
ICU[1] โรงพยาบาลเอกชน
“แม่ครับ... น้องอริสจะหายไหม? ผมสงสารน้อง” เด็กหนุ่มถามมารดา บีบมือนุ่มของแม่เสียจนเหงื่อเปียกชุ่ม
เด็กหญิงอ้วนท้วมเบื้องหน้าสายตาบัดนี้ไม่เหลือเค้าโครงคนเดิม ผอมลงจนเห็นกระดูกบนร่างที่มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาผ่านเครื่องช่วยหายใจ ต้องพ่นยาอยู่ตลอดจากอาการปอดติดเชื้อรุนแรง นอนติดเตียงมามากกว่าหนึ่งเดือนในห้องปลอดเชื้อสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ขวัญฤดีน้ำตาคลอทุกคราวมองเด็กร่าเริงที่กลายเป็นเด็กป่วยหนัก มือโอบบ่าลูกชายวัยสิบแปดปี “หายสิจ๊ะลูก น้องต้องหาย น้องเก่ง คุณหมอพยาบาลที่นี่ก็เก่ง รักษาน้องให้หายได้แน่นอน” แล้วเอื้อมมือไปแตะมือเล็กข้างที่มีผ้าก็อซปิดไว้จากแผลของเข็มที่ทิ่มลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างทะนุถนอม
“อดทนหน่อยนะลูก หนูออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร ป้าจะพาไปเที่ยว หนูอยากได้อะไร ป้าจะหามาให้หนูทุกอย่างเลยนะลูก หนูต้องหายนะ.. คนเก่ง ป้ามีตุ๊กตาให้อริสด้วย รีบ ๆ หายออกไปเล่นกับพี่เตนะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ต้องติดอุปกรณ์แพทย์ตลอดเวลา แม้อาหารยังต้องรับผ่านทางสายยาง มีแค่แววตาแดงช้ำผ่านการร้องไห้จากความเจ็บปวดทรมาน มองผ่านทั้งสองคนออกไป
เด็กหญิงอริสายังมีความหวังรอคอยอยู่ข้างนอกนั่น
“ผู้ชายคนนั้นใครครับแม่? เขารู้จักน้องหรือเปล่า ทำไมเขาชอบมายืนตรงนั้นตลอด”
ผ่านกระจกนิรภัยบานใหญ่ที่มีแพทย์และพยาบาลคอยดูแลผู้ป่วยทุกห้องอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด หนุ่มวัยรุ่นหน้าตาดีรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขามักมายืนอยู่หน้าห้องปลอดเชื้อหลายนาน เตชินมองออกไปด้วยความสงสัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับขวัญฤดีที่ไม่อยากให้ลูกชายสนใจเลยบอกปัดไป
“ไม่รู้สิลูก วัน ๆ คนเดินผ่านไปผ่านมาตั้งมาเยอะแยะ เขามาเยี่ยมญาติเขาห้องข้าง ๆ เลยมาแวะดูน้องเพราะสงสารมั้ง ไม่แปลกหรอกน่ะ”
เตชินส่ายหน้าไปมา “ไม่ครับแม่... มันแปลก ผมเห็นเขามายืนหน้าห้องนี้ทุกวัน น้องมองแต่เขา ไม่เคยมองไปที่ไหนเลย น้องยิ้มให้เขาคนเดียวด้วย”
“แม่ครับ... ผมเจอน้องห้องข้าง ๆ แม่ ตอนนี้น้องแข็งแรงดี เรียนจบปริญญาโท สัตวศาสตร์ น้องสวย เก่ง ไว้ผมจะพามาไหว้แม่นะ” เสียงทุ้มขาดช่วงไปเพราะก้อนแข็งจุกตันคอ ดวงตาคู่คมเอ่อคลอมองภาพถ่ายสีขาวดำของหญิงสาวใบหน้าสดสวย มีโกศบรรจุอัฐิอยู่ข้างหน้า และธูปหนึ่งดอกซึ่งยังคงมีประกายไฟ
ถัดไปชั้นข้างบนเป็นหิ้งพระสูงใหญ่ มีพระพุทธรูปมากมายไล่เรียงไปตามลำดับหน้าพื้นพรมกำมะหยี่สีแดงที่ชายหนุ่มกำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อย สองมือประนมแนบอก
เมื่อไรที่คิดถึงแม่ขึ้นมา ไอศูรย์จะกลับมาห้องพระที่บ้านเพื่อไหว้แม่เสมอ ไม่ว่าเขาจะอยู่ไกลถึงต่างประเทศหรือที่ไหน
แม่ของเขาเป็นศัลแพทย์หญิงที่มีชื่อเสียงพอตัว ตัวของเขาเองแต่เล็กจนอายุได้สักสิบแปดปีก็อยู่กับแม่มาตลอด
อันที่จริง ระดับบ้าน ‘วัชรภิรมย์’ จะจ้างแม่บ้าน พี่เลี้ยงมาสักกี่คนก็ได้ แม่กลับเลือกที่จะเลี้ยงเขาด้วยตัวเองเพราะพ่อมัวแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ กับงานของพ่อ ประสาความเป็นคนร่ำรวยมีฐานะ
แม่ตามใจเขาทุกอย่างไม่เคยขัดใจแม้สักเรื่อง หลังเวลาเลิกงานของแม่คือเวลาของเขา ขณะที่ลูกชายไม่รักดีอย่างเขาชอบที่จะทำตัวเสเพล คบเพื่อนเกเรอยู่เป็นนิจ รู้ตัวอีกทีว่าควรตอบแทนพระคุณแม่ ก็ตอนท่านนอนป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจในห้องไอซียูร่วมสองเดือน
ห้องผู้ป่วยข้าง ๆ กันมีหญิงสาวป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และเด็กสาววัยสิบสองปีเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรังเนื่องมาจากควันบุหรี่มือสอง
ผ่านกระจกนิรภัยบานหนาของห้องปลอดเชื้อผู้ป่วยขั้นวิกฤต ใบหน้าเศร้าหมองของเด็กผู้หญิงร่างผอมจนแทบจะเห็นแค่เนื้อติดกระดูกบนเตียงที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางยังอยู่ในห้วงความทรงจำ
เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องทนรับความทรมานทุกครั้งที่หมอและพยาบาลเดินเข้าออก เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยไม่ต่างจากหมูในโรงฆ่าสัตว์ ทุกครั้งที่เขาไปเยี่ยมแม่ เขาจึงแวะไปหาเธอและแม่ของเธอด้วย
ห้องปลอดเชื้อส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป แต่เป็นเพราะว่าผู้ป่วยเลิกต่อต้านการรักษา เลิกดื้อรั้นกับหมอและพยาบาลทำให้คุณหมอทำงานได้ง่ายขึ้น เธอยังแอบส่งยิ้มให้หนุ่มรูปหล่อทุกวัน จึงไม่มีใครว่าอะไรเขาที่คอยให้กำลังใจผู้ป่วยสาวแค่ตรงนั้น ไม่ได้รบกวนอะไรใคร
ประเด็นหลักยิ่งกว่าคือแต่ละคนคงจะเกรงใจ... ด้วยความที่แม่ของเขาเป็นหมอศัลยกรรมรุ่นใหญ่ ระดับอาจารย์
เป็นอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งไอศูรย์เลือกเรียนหมอ ถึงจะไม่ได้เป็นนายแพทย์ แต่เป็นนายสัตวแพทย์แทน เพราะครอบครัวของเขาเป็นคนรักสัตว์ ที่บ้านของเขามีทั้งหมาและแมวร่วมสิบตัว แม่ยังเคยบอกกับเขาว่าถ้ากลับไปเรียนใหม่ได้ บางทีแม่อาจจะเลือกเรียนสัตวแพทย์...
แม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดของแม่ไปกับเขาจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ จากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มหวาน ๆ ของแม่อีก เช่นเดียวกันกับเธอคนนั้น
รักแรกพบของเขา...
ความโหยหาอาลัยสะท้อนอยู่ในแววตาคู่คม ในห้องพระของบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า โครงการสุดหรูชานเมืองกรุงฯ ติดริมทะเลสาบ มีสวนหย่อมกว้างขวางและสระว่ายน้ำอยู่บริเวณข้างหน้า
เป็นที่รู้กันของผู้คนละแวกนี้ว่าเป็นคฤหาสน์ของนายศรุต เจ้าของสนามมวยชื่อดังมากว่าสี่สิบปี อาศัยอยู่ด้วยกันลำพังสองพ่อลูกมาตลอดจนลูกชายเรียนจบสัตวแพทย์ ถึงเริ่มยุ่งตามประสาอาชีพหมอ
“ไหว้แม่อยู่ตั้งนาน จะระลึกอะไรกันนักหนา แล้วจะพาใครมาเรอะ? ไอ้อาย” คนพ่อถามขึ้นมา หลังด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าห้องพระหลายนาน ได้ยินอะไรแว่ว ๆ จนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหว หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบแปดปีหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกชายที่เงยหน้าขึ้นตอบ
“ลูกสะใภ้ไง”
ใบหน้าหล่อเหลาตามวัยของนายศรุตเต็มไปด้วยคำถาม “ฮะ... นี่มีแฟนแล้วเรอะ?”
“มีแล้ว ไว้จะพามาไหว้คราวหน้านะ” ตอบโดยไม่ละวางตาไปจากแม่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนสุดความสูง และเป็นเพราะความสนิทสนมกัน เขายกมือไหว้ลาแม่ก่อนหันไปบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ไปก่อนนะพ่อ... ผมรีบ”
“จะรีบไปไหนเล่า? เพิ่งมาถึงเอง ไหน ๆ ก็มาแล้ว ทำไมไม่ไปทำบุญกับพ่อที่วัดก่อนค่อยกลับ”
“เอาไว้วันหลังนะพ่อ เร็ว ๆ นี้แหละ” ในสีหน้าเรียบเฉย ไม่ใช่เรื่องธรรมดากับคนเป็นพ่อ ยิ่งเจ้าตัวลุกขึ้นเดินตัวปลิวออกจากห้องไป
“เฮ้ย ๆ ไอ้นี่มันยังไง อยู่คุยกับพ่อก่อนสิ จะรีบไปไหนวะ” บ่นพลางเดินตามไปติด ๆ เพราะไม่ค่อยได้เจอหน้าลูกชาย ศรุตคงต้องอยากรู้สารทุกข์สุกดิบระหว่างไปอยู่ต่างจังหวัดว่าเป็นยังไงบ้าง
“บอกว่ารีบก็รีบสิพ่อ ผมมีธุระ” ร่างสูงในชุดทำงานเรียบร้อยลงบันไดด้วยก้าวยาวกว่าเดิม ไม่เข้าไปเปลี่ยนชุดหรือหยิบอะไรจากห้องนอนของตัวเอง เนื่องมาจากว่าเขาจัดการยัดใส่รถยนต์ไปก่อนหน้าที่จะมาไหว้แม่
“อะไรมันจะรีบได้ขนาดนั้น ไปก่อเรื่องที่ไหนอีกหรือเปล่า?”
ศรุตยังคงตามลูกชายลงบันไดไปเรื่อย ๆ อีกคนก็ตอบด้วยท่าทางรีบร้อน
“วัน ๆ อยู่แต่กับหมา แมว ม้า จะให้ไปทำเรื่องอะไร? โต ๆ กันแล้วน่ะ”
“อย่าให้รู้นะน่าดู กูจะเอาให้อ่วม” เสียงขู่ฟ่อบอกว่าทำจริงแน่ คนลูกก้าวพรวดไปถึงโซฟาหน้าบ้าน ไม่แม้จะหันหลังมองพ่อด้วยซ้ำ มือคว้ากระเป๋าหนังขึ้นสะพายพาดบ่า
“ผมเป็นหมอแล้วนะพ่อ ไม่ใช่เด็ก ๆ วัน ๆ ทำแต่งานจะเอาเวลาที่ไหนไปสร้างเรื่อง” แล้วก้มลงหยิบรองเท้าสีดำมันวับมาสวมไว ๆ
ศรุตหรี่ตาเล็กจนเหยียดตรงด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ ถึงลูกชายของเขาจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทางหรือจะพาผู้หญิงมาบ้านสักคนยังไม่มีมานานแล้ว เขาไม่ได้วางใจ...
“ไว้ค่อยคุยกันทางโทรศัพท์นะ วันนี้ผมรีบ ไว้เจอกัน”
“เดี๋ยว... มึงน่ะ จะรีบไปไหน?” ทั้งน้ำเสียงและแววตาดุดันหยุดอีกคนไว้ให้มองขวับตามพ่อที่อาจกลายเป็นเจ้าพ่อนักมวยอย่างเต็มตัว นายศรุตตามใจลูกชายทุกเรื่องก็จริงแต่เวลาดุเรียกได้ว่าราวฟ้ากับเหว
“โธ่... พ่อ อะไรอีกเนี่ย? บอกว่ารีบไง ไว้ค่อยคุยได้เปล่า”
“กูไม่เข้าใจ มึงจะรีบไปไหน? ปกติมาบ้านก็แวะกินข้าว ไปเที่ยว ไปหาเพื่อนก่อนทุกที วันนี้มันมีเรื่องอะไร?”
คนถูกเซ้าซี้ถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ กัดฟันกรอด ๆ เพราะว่าตัวประกอบอย่างเขาคงไม่อยากไปถึงเขาใหญ่ช้าให้ไอ้พระเอกมันแย่งแฟน! ก่อนจะตอบทีละคำ “ผม... กำลังจะแต่งเมียให้พ่อ... โอเคนะ อย่าขวางทางหมอ”
อารมณ์ร้อน ๆ ของคนพ่อค่อยเย็นลง เอื้อมมือขึ้นตบบ่าหนัก ๆ ประสาผู้ชายตัวโต “ลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมไม่พามาให้รู้จัก มีอะไรปรึกษาพ่อได้ เรื่องจีบสาว พ่อระดับปรมาจารย์”
“น้องอริสาของผม” ชัดถ้อยชัดคำในรอยยิ้มหวาน
ใบหน้าหล่อเหลาตามวัยหนุ่มหกสิบห้าขมวดยุ่งไปกันใหญ่ ศรุตจำได้ว่าลูกชายเคยขอให้ติดตามข่าวคราวของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่บ่อย ๆ และเขาก็ช่วยลูกชายทุกครั้ง หลังจากที่เจ้าตัวเลิกคบเพื่อนเกเรตามสัญญาที่ให้ไว้
“หนูอริสา.. ไม่ได้อยู่สวิตเซอร์แลนด์? เอ้า.. ไหนแกว่าจะไม่ตามหาเขาแล้วไง ไปเจอกันที่ไหน คบกันเมื่อไรยังไง ไม่เห็นบอกพ่อสักคำ?”
เจ้าของร่างสูงใส่รองเท้าเสร็จเรียบร้อยดี กระแทกเหยียบมันลงบนพื้นครั้งหนึ่ง ก่อนสาดประกายตาคมวับบอก
“พ่อ... สมัยนี้เขาเลิกจีบกันแล้ว จับทำเมียสิ รออะไรครับ?” แล้วก็มุดหนีจากท่อนแขนเป็นล่ำสัน พรวดพราดออกจากบ้านไปกระโดดขึ้นบีเอ็มดับบลิวสีขาวที่จอดอยู่ โดยไม่สนใจเสียงโกรธจัดตะโกนไล่หลังตาม
“ไอ้อาย! มึงกลับมาคุยกันกูก่อน ลูกสาวบ้านไหนเขามีพ่อมีแม่ไหมวะ? มึงจะไปจับเขาทำเมียได้ไง เดี๋ยวได้โดนยิงตายหรอก ไอ้ห่า!”
[1] ICU หรือ Intensive Care Unit เป็นห้องที่ใช้เพื่อดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งแพทย์จะต้องทำการติดตามและเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด