Chapter 14

1830 คำ
Chapter 14            เขาใหญ่แฟมิลี่แคมป์รีสอร์ตแอนด์ฟาร์มอยู่ในช่วงปิดทำการ หลังจากที่อริสาส่งข้อมูลกล้องวงจรปิดให้กับตำรวจฝ่ายคดียาเสพติดทำการสืบสวน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของทางฟาร์มว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นับว่าเธอรอบคอบพอตัวที่มีวิธีการสำรองหลักฐานทุกอณูพื้นที่ในความดูแล            นอกจากกล้องวงจรปิดตัวหลักกว่าสิบตัวซึ่งถูกตัดสายทิ้งไม่มีเหลือ กล้องลับ ๆ พวกนี้ถูกซ่อนอยู่ในจุดอับต่อมอนิเตอร์ตรงกับห้องนอนสองพ่อลูกเจ้าของฟาร์ม ทางตำรวจจึงทำงานได้ง่ายขึ้น            จะอย่างไร ปลาตัวเล็กกับลมปากซัดทอดว่าทำงานให้นายเมธพนธ์ ไม่มีหลักฐานมากพอจับกุมผู้มีอิทธิพลละแวกนี้ เขามีทรัพย์สินมากพอประมาณฟ้องกลับว่าตนบริสุทธิ์ หลักฐานทางแวดล้อมทั้งรอยนิ้วมือทั่วบริเวณเศษซากของกล้องวงจรปิดที่ถูกทุบ ยังสอดคล้องว่าเป็นฝีมือของพนักงานหนุ่มผู้ดูแลคลังสินค้าของรีสอร์ต ตัวผู้ต้องหาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อนเข้ามาทำงานที่นี่            ส่วนเรื่องม้าที่ล้มป่วยไปทั้งคอกนั้นพบว่าสารเคมีบางตัวที่มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบซึ่งพบในยาฆ่าแมลงเจือปนอยู่ในน้ำ โดยไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นฝีมือใคร มันอาจเกิดขึ้นเองจากสารปนเปื้อน การตกตะกอนตามธรรมชาติ ระบบการจัดการดูแลฟาร์มที่ไม่รัดกุม ทำให้พวกมันไม่สบายก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์กับตา คงซัดทอดความผิดใครไม่ได้             มันจึงเป็นข้อสรุปว่าเจ้าของฟาร์มเชิงท่องเที่ยว คู่แข่งทางธุรกิจอย่างนายเมธพนธ์อาจอยู่เบื้องหลังหรืออาจไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้ ทางตำรวจคงทำได้แค่เก็บสำนวนคดีไว้ขยายผลรอส่งศาลออกหมายค้นต่อไป ขณะที่พนักงานคนอื่น ๆ สอบปากคำเรียบร้อยก็ทยอยกลับบ้านบางส่วน ได้รับเงินชดเชยและหยุดงานประมาณสองอาทิตย์ ทางด้านพิภพวุ่น ๆ อยู่กับการให้ความร่วมมือกับพลตำรวจเอกปรีชา ไม่ได้ดูแลแขกอย่างขวัญฤดีกับเตชินที่พากันไปทำธุระในเมืองเสร็จก็ซื้ออาหารหลายอย่างมาเตรียมพร้อมสำหรับตำรวจทั้งกอง ด้วยพ่อครัวลาหยุดกลับบ้าน ทิ้งหน้าที่ไว้ให้แม่ครัวมือหนึ่ง มีลูกชายอยู่ช่วยเป็นลูกมือหั่นผักข้าง ๆ กัน กลิ่นเครื่องแกงหอมกรุ่นลอยตลบอบอวลไปถึงข้างนอก แม้ในครัวจะมีเครื่องดูดควันอย่างดี อริสาลงจากห้องนอนมาชะเง้อคอมองแกงสีเขียวข้นในหม้อ ของโปรดเธอที่ไม่ได้รับประทานมานานแล้ว “พี่เตไปอยู่อังกฤษเป็นสิบปี ไม่ได้กินแกงเขียวหวาน ปลาเก๋าสามรสฝีมือป้าเลยสิเรา” แม่ครัวจำเป็นพูดพลางลอบมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดทำงานฟาร์มเหมือนทุกวัน ขณะตั้งหน้าตั้งตาเคี่ยวแกง “ทำไมหนูจะไม่ได้กินคะ ลุงนัทกลับบ้านรอบนี้คงน้อยใจลาออก ไม่กลับมาเป็นพ่อครัวที่ฟาร์มแล้วมั้ง” “ดี... ลาออกไปเลยจ้ะ ป้าจะได้มาทำกับข้าวให้อริสกับพ่อเรากินทุกวันไง” “ป้าขวัญจะเลิกกิจการร้านทองมาเป็นแม่ครัวใหญ่ให้หนูกับพ่อเนี่ยนะคะ?” อริสาย่นจมูกหยอกสาววัยหกสิบ เลยถูกหยิกเข้าเบา ๆ พอดีกับที่ร่างสูงในเสื้อยืดหล่อเหลาเช่นทุกวันหั่นซอยผักเสร็จเรียบร้อย “มะเขือพอไหมแม่? ตอนเด็ก ๆ คุณอริสาชอบกินมะเขือนี่” ขวัญฤดีวางช้อนแกงลงเท้าเอวบ่น “เมื่อก่อนยังเรียกพี่เรียกน้อง เดี๋ยวนี้เป็นอะไรกัน เรียกคุณ ไม่กระดากปากหรือไง” “น้องเจอหน้าผมวันแรกก็เรียกผมว่าคุณนี่แม่ ผมเลยต้องเรียกตาม” คนช่างฟ้องส่งสายตาคมกริบผ่านหน้ามารดาไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่อีกฝั่งทางขวา ขวัญฤดีมองตามแก้มกลมตุ่ยอย่างโกรธงอน “ค่ะ ป้าขวัญ หนูเรียกพี่เตก็ได้ค่ะ” ว่าเสียงอ่อน เธอคงไม่สามารถขัดใจขวัญฤดีได้ง่ายนัก ถึงรู้ดีว่าหล่อนต้องการอะไร สมัยเป็นเด็กตัวเล็ก ที่แห่งนี้ยังเป็นฟาร์มม้าเล็ก ๆ ป้าขวัญเป็นมากกว่าเพื่อนบ้านที่ให้ความช่วยเหลือเธอกับพ่อ ในวันที่สูญเสียม้าไปแต่ละตัว ป้าขวัญและลูกชายยังคอยปลอบใจอยู่เสมอ ม้าเป็นสัตว์ที่มีอายุแค่ยี่สิบห้าถึงสามสิบปีหรืออาจน้อยกว่า มันจึงไม่ใช่ครั้งแรกที่อริสาสูญเสียเพื่อนรักเช่นคราวนี้ที่เธอต้องสูญเสียเจ้าสีนวลไป “กลับมาดูแลกัน เป็นเพื่อนคู่คิดกันเหมือนเมื่อก่อนนะลูก เดือนนี้พี่เตยังไม่ได้เริ่มงาน มีเข้าเมืองไปช่วยป้าดูร้านทองบางวัน จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนคลายเศร้าหนู” “ผมว่าอริสคงมีคนคลายเศร้าแล้วล่ะมั้งแม่ เอ...” ในท่าทีเสแสร้งแกล้งทำ เตชินเห็นอยู่ว่ารถยนต์ใครมาจอดถึงหน้าบ้านเมื่อคืนนี้ตอนพาแม่มานั่งคุยกับอาภพ ไหนจะหน้าตาระรื่นของสัตวแพทย์หนุ่มตี๋โอปป้า เขาอดคงปากไม่ไหว “น้องอริส เวลาหมามันป่วยทางใจ มันไปหาจิตแพทย์หรือหมอหมา แล้วคนที่ถ่อไปหาหมอหมาต้องป่วยเป็นอะไร เป็นคนหรือเป็น...?” “หยุดกวนประสาทน้องเลยนะ ไม่งั้นไม่ต้องกงต้องกินมัน แกน่ะ จะไปกินข้าวนอกบ้าน ไปกินที่ไหนก็ไป” ต่อว่าด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ขวัญฤดีหน้าตาบึ้งตึงหนัก กับแผนการที่ดูอย่างไร ๆ ก็ท่าจะล้มเหลวเพราะปากลูกชาย “โธ่... แม่จ๋า หนูขอโทษ” เสียงทุ้มออดอ้อนพลางสวมกอดเอวนุ่มของมารดา กลัวไม่ได้รับประทานอาหารฝีมือแม่ แต่กลับส่งสายตาเชือดเฉือนใส่อีกคนที่ยกหน้าเชิดหยิ่งจองหอง เพราะมีคนเข้าข้างอยู่ตลอด “อริส อย่าไปถือสาปากแมว ๆ ของมันเลยลูก” “ค่ะป้าขวัญ หนูไม่โกรธพี่เตหรอก เพราะหนูไม่เคยสนใจ” ในหัวของเธอไม่เคยมีเรื่องไร้สาระของเตชินอยู่แล้ว มีแค่ชายหนุ่มอีกคน ใบหน้าสดสวยก้มลงมองทัพพีในมือที่มีรอยเหี่ยวย่นของสาวใหญ่ “เอ่อ.. ป้าขวัญ หนูขอเอาแกงไปเผื่อพี่ ๆ ข้างในนะคะ ดูม้าตั้งเจ็ดตัว ทำงานกันหนักยันเช้าเลย” “จ้ะ ยกไปเลย ป้าทำไว้เยอะ แต่ของคุณหมอ.. ไม่มีนะ” ขวัญฤดีบอกหน้าตาเฉย หมั่นไส้หมอที่จะมาแย่งลูกสะใภ้ ทั้งที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากันสักครั้ง “อ้าว... ป้าขวัญ ทำไมทำงี้ล่ะคะ?” “อาหารที่นู่นเยอะแยะ แม่บ้านเขาจัดไว้ให้อยู่แล้ว หมอไม่ต้องมากินอาหารป้าหรอก” “ใช่ หมอไม่กินข้าวหรอก แม่บอกว่าให้หมอกินหญ้า กินฟางกับม้าไปละกัน น้องอริส” ได้ทีเข้าพวกอย่างสนุกปาก อริสาลอบถอนหายใจ “ค่ะ หนูตามใจป้าขวัญ หนูไปตามพ่อมากินข้าวก่อนนะ” เธอบอก เมื่อสาวใหญ่วัยหกสิบมีสีหน้าเย็นชาว่าเอาจริงแน่ และจำต้องเดินไปตัวเปล่า ไม่ได้ทันรู้ตัวว่าสายตาคู่หนึ่งแผ่พุ่งประกายปานดาบแหลมคมไปยังน้ำเจิ่งนองบนพื้น พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ว้าย!” ร่างบางเซถลาล้มลงก้นจ้ำเบ้า มือแปะพื้นหินอ่อนเย็นทรงตัวไว้ไม่ให้หงายฟาดไปข้างหลัง ขณะที่กางเกงเข้ารูปสีดำสนิทเปียกชุ่มไปทั่วเป็นวงกว้าง ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธสะบัดมองเสียงหัวเราะเยาะ “ฮ่า ๆ น้องอริสซุ่มซ่ามจริง ๆ เหมือนตอนเป็นเด็กตัวอ้วนกลมเลย”  เรียวปากบางเม้มเข้าหากันจนเหยียดตรง ทั้งเจ็บทั้งขายขี้หน้า เธอจำได้ว่าเคยลื่นล้มมาก่อนเพราะไอ้เด็กชายเตชิน! จากนั้นมันก็ยืนหัวเราะเธอซึ่งร้องไห้อยู่ครึ่งค่อนวัน “ร้องไห้สิครับ น้องอริส...” ไม่ขาดคำดี “ไอ้เต แกนี่มัน..!” ขวัญฤดีเบิกตากว้าง จิกปลายเล็บลงบนท่อนแขนเป็นล่ำสัน ออกแรงบิดจนร่างสูงตัวขดงอ ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ดังลั่นไปทั่วครัว พอได้เป็นอิสระจากนิ้วพิฆาต เตชินยกมือขึ้นลูบแขนแรง ๆ  “เจ็บนะแม่...” “เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง ไปช่วยน้องเดี๋ยวนี้...” “ไม่เป็นไรค่ะ” ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นจากพื้นว่องไว ฝืนยิ้มอย่างเต็มที่ให้สองแม่ลูก “หนูไปตามพ่อมากินข้าวก่อนนะคะ ป้าขวัญ” อริสายังมีความอดทนอยู่มาก ในเมื่อเธอได้พูดแล้วว่าไม่สนใจคือไม่ กระทั่งว่ายกปลายเท้าจากพื้นแฉะ ความเจ็บที่แล่นปร้าดตรงข้อเท้าทำให้ต้องกระย่องกระแย่งไป มีชายหนุ่มตามติด ๆ อย่างเป็นกังวลใจอยู่ว่าเขาอาจจะเล่นแรงไป “เดี๋ยวอริส ขาเจ็บหรือเปล่า? มาให้พี่ดูก่อน” ขายาว ๆ ก้าวทันถึง เจ้าของร่างบางตวัดหางตาคมกริบ “พูดครั้งเดียวนะพี่เต กลับเข้าไปช่วยป้าขวัญเตรียมอาหารในครัว” เตชินชะงักนิ่งมองใบหน้าสุดแสนเย็นชา ขนาดคำเรียก ‘พี่เต’ ยังไม่ได้มีความหมายที่ขวัญฤดีต้องการอยู่ในนั้นสักนิด “มาให้พี่ดูขาก่อน” “ไป... เตรียมข้าวให้พ่อ” สั่งประกาศิต ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าเดินไป โดยไม่สนใจความเจ็บปวดทุกคราวย่ำปลายเท้าลงบนพื้น และเสียงเรียกของคนข้างหลัง “อริส.. เดี๋ยว..” คนขับรถประจำตัวเปิดประตูบ้านเข้ามาพอดี ไม่ทันให้ชายหนุ่มเอ่ยคำได้ขอโทษ หรือทำตามความตั้งใจว่าจะบังคับจับอุ้มพาคนดื้อรั้นไปทำแผล หญิงสาวก้าวไปหาชายวัยหกสิบอย่างรวดเร็ว “ไป.. ลุงเษม ไปคอกม้า” “ไปคอกม้าทำไมครับ ไม่ไปหานายหัวหรือครับ? คุณอริส” ถามเพราะได้ยินอยู่แว่ว ๆ ว่าหญิงสาวจะไปตามเจ้าของบ้านมารับประทานอาหาร ก่อนจะหน้าเผือดลงทันทีที่มือเรียวขาวหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าไว ๆ ทั้งที่เคยเป็นเรื่องปรกติในบางวันหากเจ้าของฟาร์มหรือคนรวยบางคนละแวกนี้จะพกปืนติดตัวเผื่อเหตุฉุกเฉิน “ไม่ต้องมีคำถาม วันนี้ฉันจะสั่งทุก ๆ อย่างแค่ครั้งเดียว ไม่พูดซ้ำ ไปลุงเษม” บอกพลางโหลดกระสุนเข้าปืนก่อนเก็บใส่ที่เดิม เกษมก้มหน้ารับคำสั่ง “ครับ คุณอริส” คนข้างหลังที่ถูกทิ้งไว้ลอบกลืนน้ำลายลงคอ มองตามผวาก้าวขาไม่ออก ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ไปยุ่งกับยัยโหด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม