Chapter 16
ร่องรอยบวมช้ำจ้ำเขียวบริเวณข้อเท้าได้รับดูแลอย่างระวังมากที่สุด ในความอ่อนโยนนั้น อริสาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าวันที่เขาได้กลับมาเจอเธออีกครั้งช่างเป็นเหมือนความฝัน
“วันหลังต้องระวัง... อย่าให้ใครมาแกล้งรู้ไหม? ไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แล้ว เจ็บตัวแบบนี้ จะทำงานทำการลำบาก”
รอยบุ๋มปรากฏบนแก้มขาวเนียนราวกระจกใสที่มีเคราเขียวครึ้มขึ้นแซมไล่ไปตามกรามแกร่ง ดวงตาสว่างใสเฝ้ามองทุกการกระทำแสนอบอุ่น นึกถึงคำพูดของเตชินขึ้นมา เธอว่าเธออาจต้องกลายเป็นหมาซะแล้ว
“อืม... ฉันชักอิจฉาหมาที่คลินิกอาจารย์นิธิ ถ้าหมอจะมือเบาขนาดนี้ ใจดีอีกด้วย”
“จะหมาหรือคน ถ้าผมพอจะช่วยอะไรพวกเขาได้ ผมให้ความช่วยเหลือทั้งนั้นแหละ” เอ่ยพลางคว้าผ้ามาพันยึดข้อเท้าไม่ให้มีการเคลื่อนไหวมาก เพื่อที่หญิงสาวจะได้เดินสะดวกขึ้น สัตวแพทย์อย่างเขาเพิ่งจะเคยพันข้อเท้าให้คนก็วันนี้ แม้อีกคนจะคิดอีกอย่าง
“โดยเฉพาะสาว ๆ สวย ๆ หรือเปล่า?”
“ก็ต้องดูก่อนว่าถูกใจไหม ผมไม่ได้ถูกใจใครง่าย ๆ เสียด้วยสิ... แต่ก็มีอยู่คน.. ขี้เมา บ้าปืน” เงียบไปในรอยยิ้มมีเลศนัย สำหรับไอศูรย์แล้วมันคงยากจะลืมมือนุ่มนิ่มซุกซนที่เขาเก็บไปฝันอยู่หลายครั้ง
“ต้องเมาขนาดไหนกัน น้องชายผมถึงกลายเป็นสมิธแอนด์เวลสันไปได้” พูดแล้ววงหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นอีกครั้ง คล้ายจะเอาความกับคนเมาไม่รู้เรื่อง ซึ่งเธอคงจำมันไม่ได้แค่เดาออกได้ว่าปืนอะไร!
“วันนั้นฉัน... เอ่อ ทำอะไรหมอหรือคะ?”
เขาไม่ตอบเรื่องนั้นแต่ถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมจริงจัง “ค่าตัวผมจะได้เมื่อไร?”
“หมอไอ.. จะให้ฉัน... ยังไงดี? คือฉันไม่รู้ว่า... ค่าจ้างที่หมอว่าเนี่ยมันหมายความอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า?” อึกอักถามด้วยใจไหวสั่น
ขณะที่มุมปากหนายกยิ้มเปิดเผยความปรารถนา ลอบมองคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู พอผ้าพันแผลถูกพันไว้ตึง ๆ เรียบร้อยดี มือของเขายังคงไม่ปล่อยข้อเท้านุ่มเนียน ลมเย็น ๆ พัดพากลิ่นกายสาวผสมปนเปไปกับกลิ่นหอมอ่อนของแชมพูจากเส้นผมสีน้ำตาลเป็นลอนคลื่น ไม่ต่างจากเครื่องดื่มมึนเมา...
วันนี้เขาต้องได้อะไรบ้างล่ะ!
“ม้าเจ็ดตัว... เจ็ดจูบ”
“คะ...? จูบ... อะไรนะคะ?” เสียงสูงย้ำถาม ยังเผลอทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่รู้ตัว ทว่าพอแววตาและน้ำเสียงของคุณหมอหนุ่มบอกว่าเขาเอาจริงแน่
“ค่าจ้างของหมอขอ ‘เจ็ดจูบ’”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองชายตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู
อริสาถึงไร้ประสบการณ์อย่างไร... ก็ฉลาดมากพอรู้ว่าผู้ชายมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทอดสะพานต้องการอะไร ทั้งพ่อของเธอและคุณป้าบ้านโฮสแฟมิลี่ที่สวิสฯ พร่ำสอนเรื่องการวางตัวอยู่เสมอ แต่กับคุณหมอไอศูรย์ เขาทำให้เธอต้องคิดแล้วคิดอีก
“ถ้ามันทำให้อึดอัดใจ คุณลืมมันไปเถอะ คิดซะว่าไม่เคยพูดละกัน” เขาคืนคำไปเสียอย่างนั้น เป็นเหตุให้อีกคนถึงกับขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ฉันจะลืมคำพูดของหมอไอได้ไง... ฉันแค่ไม่เคยจูบใครค่ะ”
“ก็อยู่เมืองนอกมาตั้งหลายปีไม่ใช่เหรอ ไม่เคยเห็นฝรั่งจูบกันหรือครับ?” แย้งขึ้นมา มุมปากหนาหยักได้รูปโค้งขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาคู่คมยังจับจ้องทุกอากัปกิริยาราวต้องการซึมซับภาพน่ารักน่าเอ็นดูของดวงหน้างามไม่ให้มีร่วงหล่น... อาการกลอกตาไปมา อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แก้มแดงระเรื่อเหมือนสีของลูกมะเขือเทศทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดว่าอริสาเป็นสาวมั่น
“คือ... มันก็เคยเห็น แต่ไม่เคยทำนี่คะ หมอไอจะให้ฉันจูบหมอเป็นค่าจ้างเนี่ยนะ”
“งั้นช่างมันเถอะครับ”
ในความหมายคือไม่สนใจอะไรอีกทำให้เธอรู้สึกผิด ชีวิตของม้าที่เปรียบเสมือนลูกรัก ‘เจ็ดจูบ’ นับว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ
ร่างบางผ่อนลมหายใจออกครั้งหนึ่ง มือเรียวเล็กสั่นเทาตัดสินใจคว้าเสื้อยืดสีดำกำไว้ ชันเข่าขึ้นเพื่อกระถดกายเข้าหาชายร่างกำยำ
ก้อนเนื้อในอกชายแกร่งส่งเสียงอึกทึกครึกโครมว่าตื่นเต้นอยู่เท่าไร กับกิริยาชวนขนลุกชัน ซึ่งเขาก็ตั้งใจรออย่างลุ้นระทึก กระทั่งข้อมือเล็กกระตุกเบา ๆ ให้ต้องโน้มใบหน้าลงหาตามแรงเหวี่ยง ริมฝีปากคู่งามจึงประกบลงบนริมฝีปากหน้าหยักได้รูปอมแดงชมพูเพียงครู่ ก่อนจะผละออกไปอย่างนวยนาดเหมือนสติกเกอร์ที่ถูกดึงออก
ไอศูรย์กลอกตาไปมา ถอนหายใจบ่นว่า “แบบนี้ ร้อยทีก็ไม่พอ..”
“มันต้องแบบไหนล่ะคะ? ฉันจะไปรู้ไหมล่ะ มาให้ฉันทำอะไรแบบนี้ ฉันคงจะทำเป็นหรอก” ในน้ำเสียงไม่พอใจว่า เธอไม่กล้าเอาลิ้นเข้าไปในปากเขาพราะไม่รู้ว่ามันจะเลื้อยไปไหนต่อยังไง และเขาก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากจุ๊บเธอตอบเนี่ยนะ!
“ไม่เคยจูบใครเลยจริง ๆ?”
“ไม่เคยค่ะ”
“ไหนอ้าปาก”
อริสาทำตามอย่างว่าง่ายกลับถูกว่า
“อ้าโตขนาดนั้น ไปหาหมอฟันเถอะ” แล้วเขาก็กำมือขึ้นป้องปากแอบหัวเราะ ก่อนจะจัดการสาวแสนงอน ยกปลายนิ้วโป้งแตะปากนุ่มนิ่มที่เคลือบด้วยสีโทนนู้ดอ่อนดูราคาแพง เนื้อเรียบเนียน
“วันนี้ไม่ทาลิปแดง แต่สีนี้ก็สวย เอ.. จูบไม่หลุด ตั้งใจทามาให้ผมหรือเปล่า?”
“ผู้หญิงเขาใช้กันทั้งนั้นล่ะค่ะ” ตอบพลางลอบมองความแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ มือยังกำเสื้อยืดของเขาเอาไว้แน่นจนยับยู่ยี่ เพราะความสั่นกลัว หัวใจไม่รักดียังแทบกระเด็นออกมานอกอก เธอไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ
วูบหนึ่งในความคิด คงต้องมีความคิดว่าเขาเหมือนผู้ชายประเภทหนึ่งที่ควรหลีกห่างไม่ให้มากล้ำกรายคือผู้ชายเจ้าชู้...
“ผมว่าอริสน่ารัก เวลาแก้มหอม ๆ เป็นสีแดง”
“รู้ได้ไงว่าหอมคะ?”
นั่นสิ.. ผมได้กลิ่นมาตั้งแต่วันนั้นแล้ว ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าหอมหรือไม่หอม แต่สวยขนาดนี้ก็น่าจะหอมอยู่” ในท่าทีเย้าหยอกขอคนเจ้าคารม ดวงตาคู่กลมโตเลื่อนมองไปทางอื่นทำทีว่าไม่ได้ยิน ทว่าพอปลายจมูกโด่งเป็นสันคมเคลื่อนมาถูไถแก้มนวลอย่างสนิทสนม แก้มร้อนผ่าวก็ถูกฉกไปหนึ่งฟอดใหญ่ ๆ
ปลายหางตาตวัดมองนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลอ่อนรำไรทอดผ่านแสงอรุณอ่อน ๆ หัวใจระส่ำระสาย จนกระทั่งเขาถอยห่างออกไป หญิงสาวยกมือขึ้นจับแก้ม ถลึงตามองอย่างโกรธขึ้งเขินอาย
“หมอ... ทำอะไร?”
“ลองดูว่าหอมหรือเปล่า... เมื่อกี้มีคนถาม”
ก็เลยมาหอมกันหน้าด้าน ๆ แบบนี้เนี่ยนะ! ว่าในใจ อดปากไม่ไหวต้องว่า
“นี่... หมอไอ อย่ามาทำตัวรุ่มร่าม sexual harassment กับฉันนะ หมอหลอกปั่นหัวฉันเล่นใช่ไหม?” อริสาเป็นคนฉลาดแต่ดันเพิ่งจะรู้สึกตัว และกำลังโมโหตัวเองที่ดันไปเชื่อหมอหมาเจ้าเล่ห์! เขาดูสนุกสนานกับการต่อล้อต่อเถียงเธอเสียเหลือเกิน
“ทีคุณกำของผมเข้าไปทั้งอัน ผมยังไม่ว่าสักคำ”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนาน ฉันไม่รู้ค่ะ ไม่เห็นจะจำได้ มาทวงอะไรตอนนี้ล่ะ?” น้ำเสียงว่ารำคาญ ยามสบเสน่หาลึกซึ้งภายในแววตาเป็นประกายซึ่งสั่นคลอนจิตใจอยู่ไม่น้อย
เหมือนจะนึกอะไรออก เรื่องปืนรุ่นโบราณ... ด้ามจับพอดีมือ
อุณหภูมิสูงลิบเห่อขึ้นบนใบหน้าร้อนผ่าว ภาพลาง ๆ ในความทรงจำ พร้อมด้วยน้ำเสียงของชายแปลกหน้า
“อริส...” เขายิ้มแล้วปรับสีหน้าเข้มเครียด “เรื่องค่าจ้างน่ะ ผมล้อเล้น แต่แค่เอาปากแตะกันน่ะ... มันนับเป็นจูบไม่ได้ ผมนับเป็นค่าพันข้อเท้าให้ก็แล้วกัน”
“มีใครเคยบอกไหมคะว่าหมอไอเป็นผู้ชายขี้งก ขี้ทวง เจ้าชู้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้... อย่ามาหลอกแต๊ะอั๋งฉันอีกเชียวนะ” ว่าพลางมองค้อนวงโต สะบัดมือออกจากเสื้อที่เผลอกำไว้หลายนาน ขยับขาออกจากหน้าตักของเขาเพื่อวางพักเท้าไว้บนพื้น
ใบหน้าหล่อเหลาเป็นฝ่ายโน้มลงหา หยุดดวงตาคู่เรียวคมไว้เหนือปลายจมูกโด่งงาม เอ่ยทีละคำ “คนแรกนี่แหละ”
จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงหยิบรองเท้าแตะมาสวมให้ ระยะห่างที่ทิ้งไปอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เธอดันนึกว่าเขาจะจูบ!
ไม่สิ เขาจูบเป็นแต่มาขอให้เธอจูบ พอสบโอกาสเขาก็ควรจะดึงเธอเข้าไปจูบอย่างเร่าร้อนใช่ไหม...!?
อริสาสะบัดหน้าพรืด ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังอะไรกับสัมผัสนุ่มละมุนของปากหมอหมาที่ยังติดอยู่ในหัวสมอง พยายามลุกด้วยตัวเอง ถึงจะลำบากสักหน่อย ยังต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อสุภาพบุรุษให้ความช่วยเหลือด้วยการจับต้นแขนเรียวไว้เบา ๆ
พอยืนได้เต็มขาแล้วเธอจึงเงยหน้าขึ้นบอก “ขอบคุณนะคะ เรื่องค่ายา ค่ารักษาม้า หมอส่งบิลให้ฉันทางไลน์ หรือจะส่งให้ผู้จัดการ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ”
“ครับ... ไม่เป็นไร เรื่องค่าใช้จ่ายอาจารย์นิธิบอกว่าจะจัดการเอง อืม... ให้อุ้มไหม?”
ปลายเสียงจริงจังทำคนฟังชะงักไปครู่ ก่อนที่เธอจะตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินเองได้”
“ผู้หญิงพูดอย่าง หมายความอีกอย่าง เพื่อนผมเป็นจิตแพทย์บอกเอาไว้... ผมไปส่งดีกว่า” ไม่ขาดคำดี ร่างสูงโน้มตัวลงตวัดข้อพับขาวเนียนอย่างว่องไว คนถูกอุ้มอย่างงง ๆ เบิกตากว้างตกใจ มือโอบรอบบ่าไว้เหมือนกับว่ามันมีความนึกคิดของมันเอง
“หมอไอนี่นะ ตรรกะประหลาดคนจริง ฉันบอกว่าเดินเองได้ไง” ถึงปากบ่น ใบหน้าสดสวยนิ่งเฉยกลับก้มงุดลงไปในอ้อมอกที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน คุณหมอหนุ่มชำเลืองมองท่าทางเขินอายของเธอแวบหนึ่งอย่างนึกขำจนหุบยิ้มไม่อยู่
“ก็เห็นอยู่ว่าชอบ...”