ลู่ฉีบีบมือองครักษ์คนสนิทแน่นเป็นเพราะเขามัวแต่หลบหนีจึงไม่ได้ใส่ใจเลยว่าอีกคนจะได้รับบาดเจ็บหนักแค่ไหน เฉิงกงเป็นทั้งคนสนิทและองครักษ์ที่เขาให้ความสำคัญไม่ต่างจากพี่ชายคนหนึ่งดังนั้นลู่ฉีตอนนี้จึงได้ยิ่งรู้สึกผิดมาก
"ไม่ เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ เฉิงกงลืมตาสิ ข้าสั่งให้ลืมตา" ลู่ฉีร้องเรียกเขาเสียงดังทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจหลังจากที่อีกฝ่ายสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าในอ้อมแขนเขา ก่อนที่ตัวเขาเองจะกระอักเลือดออกมาคำโตเช่นกันเพราะต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้
"ข้าคงจบสิ้นแล้วจริงๆ สินะคราวนี้ หรงเอ๋อร์ขอโทษที่ข้าช่างไม่เอาไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถตกแต่งเจ้าเข้าตงกง" เขาพูดทั้งที่สายตากำลังพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ และทำใจยอมรับในชะตากรรมบางทีนี่อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับองค์ชายไร้บัลลังก์เช่นเขาแล้วก็เป็นได้ ท่ามกลางความเงียบงันในตรอกเล็กๆ ลู่ฉีองค์ชายคนสุดท้ายของแคว้นกำลังหมดสติลงในขณะที่เสียงฝีเท้ามากมายกำลังใกล้เข้ามาทุกที
ลู่ฉีมองภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ พร่าเลือนอย่างพ่ายแพ้ คงเป็นคนของกองทัพต้าจินที่กำลังตามหาเขา และอีกไม่นานคนพวกนั้นต้องหาเขาเจอและคงตัดหัวเขาไปเพื่อรายงานนายของพวกมัน
ทว่าภาพเลือนรางตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติกลับเป็นเงาร่างที่คุ้นเคยของหญิงสาวที่เขาเฝ้ารอ
"องค์ชาย องค์ชาย" นางเรียกเขาและครู่ต่อมาก็มีคนมาช่วยประคองเขาลุกขึ้นยืนขณะที่ลู่ฉีหมดสติไปในทันทีหลังจากนั้น
สามวันผ่านไปเขาตื่นขึ้นมาในวัดร้างแห่งหนึ่งภายใต้แสงไฟสลัวจากกองไฟนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งกับคนสนิทของนางอีกสี่คนนั่งดื่มกินอาหารอยู่ด้วยกัน หญิงสาวคนนั้นที่เขารู้จักและสนิทสนมกับนางเป็นอย่างดี
"หรงเอ๋อร์" น้ำเสียงแหบแห้งของคนที่เพิ่งฟื้นนั้นเรียกสายตาของคนที่เฝ้ารอเขามานานถึงสามราตรีได้เป็นอย่างดี นางจึงรีบทิ้งทุกสิ่งเพื่อตรงเข้ามาหาเขาทันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียก
ภายใต้แสงสลัวสะท้อนให้สายตาพร่าเลือนของเขาได้มองเห็นหญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนดั่งหยกเนื้อดี ซุนเฟยหรงคู่หมั้นคู่หมายของเขาใบหน้างดงามของนางยามนี้เต็มไปด้วยความอ่อนล้าเหนื่อยอ่อนคงเพราะต้องหลบหนีทั้งยังมีเขาเป็นตัวภาระ
"รัชทายาท ฮึก.. ในที่สุดพระองค์ก็ฟื้นแล้ว" น้ำเสียงหวานเอ่ยเรียกเขาเคล้าเสียงสะอื้น ใบหน้าสะสวยของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่รินอาบจนกรีดหัวใจคนมองอย่างเขาจนย่อยยับที่ไม่อาจทำให้นางมีความสุขได้เหมือนเก่า
"ขอโทษ ข้าไม่เอาไหนเลย" ลู่ฉีเอ่ยขอโทษนางด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ตัวเองไม่สามารถปกป้องแคว้นและคนรักได้ทั้งยังน่าสมเพชจนต้องรับการปกป้องจากนาง
หากไม่เพราะซุนเฟยหรงเป็นหญิงสาวที่ซุกซนจนขัดขืนคำสั่งบิดาตนเองไปร่ำเรียนวรยุทธแทนที่จะศึกษางานบ้านงานเรือนอยู่ที่บ้านเหมือนสตรีชั้นสูงทั่วไป ไม่แน่ว่าในวันนี้เขาคงไม่อาจเห็นหน้านางอยู่ตรงนี้อีกก็เป็นได้
"ไม่รัชทายาทเพคะพระองค์ไม่ผิด จักรพรรดิโฉดผู้นั้นต่างหากเล่าที่แสนเลวทราม หากเขาไม่กระหายอำนาจจะมีผู้คนล้มตายมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ" ซุนเฟยหรงเอ่ยด้วยความแค้นเคืองในอกเพราะสงครามทำให้แคว้นของนางต้องล่มสลายรวมไปถึงครอบครัว ผู้คนในเมืองล้มตายมากมายทั้งเด็ก สตรี คนชราล้วนได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามในครั้งนี้เพราะจักรพรรดิโฉดชั่วผู้นั้น
"ต้าเหยียนตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง" ลู่ฉีเอ่ยถามอย่างอดความใคร่รู้ของตนเองไม่ได้ ก่อนที่เขาจะหมดสติไปจำได้ว่าทั่วเมืองหลวงวุ่นวายระส่ำระสายอย่างมาก หลายจุดเกิดเพลิงไหม้ทั่วเมืองมีแต่เสียงกรีดร้องของผู้คนที่หนีตายกันจ้าละหวั่น ทั้งเขายังถูกตามล่าจากกองทัพของศัตรู
ซุนเฟยหรงมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาตามจริง
"ทูลรัชทายาทตอนนี้เอ่อ..ทุกอย่างจบลงแล้ว"
นางเอ่ยเสียงเครือน้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน พวกเขาได้แต่มองกันนิ่งก่อนที่ต่างก็น้ำตาไหลพรากลงมาราวทำนบกั้นน้ำแตก คำว่าจบลงแล้วของนางไม่บอกก็รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด แคว้นต้าเหยียนแห่งนี้ล่มสลายภายใต้การปกครองของพระบิดาเขา
"ฮ่องเต้ต้าจินประกาศรวมเจ็ดอาณาจักรเข้าด้วยกัน ต้าเหยียนเราเป็นอาณาจักรสุดท้ายที่ถูกเขาบุกเข้ายึด เขาประกาศชัยชนะไปเมื่อสามวันก่อนและตั้งตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งเทียนจิน"
"เทียนจิน"
"ใช่ ศักราชหนิงหลง อาณาจักรเทียนจิน ปกครองโดยจักรพรรดิหนิงหลงตี้" ซุนเฟยหรงเอ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นยามเมื่อเอ่ยถึงศัตรูหมายเลขหนึ่งผู้นี้มีแต่คำว่าแค้นตัวใหญ่เด่นชัดขึ้นตรงหน้า
"จ้าวหนิงหลงคนนั้น องค์ชายห้าแห่งต้าจิน" ลู่ฉีเอ่ยถามเสียงสั่นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงองค์ชายห้าผู้เป็นหนอนหนังสือคนนั้น ที่แท้เขาผู้นี้กลับคมในฝักท่าทางบัณฑิตนุ่มนิ่มนั้นมิใช่อย่างที่เห็นเลย
"ใช่" ซุนเฟยหรงพยักหน้ารับเบาๆ เพียงนั้นก็ทำให้คนที่รอคอยคำตอบเหยียดยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
"ฮ่ะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ" ลู่ฉีหัวเราะราวคนเสียสติหลังจากได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"สวรรค์ เขาเพิ่งได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดาที่เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่ถึงปีก็ได้เป็นถึงจักรพรรดิผู้รวบรวมดินแดนใต้หล้านี้เสียแล้ว ที่แท้คนที่เป็นแม่ทัพใหญ่คือเขา ขณะที่ข้ากลายเป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาดไร้อำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ น่าขัน นี่มันเรื่องน่าขันอันใด" ลู่ฉีเอ่ยอย่างเคียดแค้นเมื่อนึกถึงอดีตของตัวเอง
จ้าวหนิงหลงกับเขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันแต่ก็เคยพบปะกันอยู่บ้างในตอนที่ทั้งเจ็ดแคว้นยังไม่รวมเป็นหนึ่ง องค์ชายผู้นั้นเคยขอเข้ามาร่ำเรียนวิชาในแคว้นต้าเหยียนเมื่อสิบสองปีก่อน ดังนั้นเสด็จพ่อของเขาจึงได้ให้เขาเป็นผู้ทำการต้อนรับดูแลจ้าวหนิงหลงคนนั้นตลอดระยะเวลาสองเดือนที่เขามาอาศัยอยู่ที่นี่
เขายังเคยช่วยจ้าวหนิงหลงจากคนร้ายที่ถูกส่งมาจากต้าจินเพื่อกำจัดองค์ชายไร้สามารถอย่างอีกฝ่าย จ้าวหนิงหลงคนนั้นคนที่เป็นเพียงบัณฑิตผู้คลั่งไคล้การอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ บัดนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิผู้รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ที่แท้ท่าทางไร้สามารถนั่นล้วนตบตา
"รัชทายาท" ซุนเฟยหรงเอ่ยเรียกเขาเสียงเบาทั้งน้ำตาที่ยังเอ่อคลอ นางเข้าใจดีถึงความเคียดแค้นในใจเขาที่มีไม่ต่างจากนาง
"ดี ดียิ่ง" ลู่ฉีตัดพ้อด้วยความเคียดแค้นในโชคชะตาพลันสายตาเขามองเห็นมีดสั้นเล่มหนึ่งอยู่ใกล้มือ คนหมดแผ่นดินสิ้นอนาคตแบบเขาในตอนนี้จึงคิดจะหนีความอับอายด้วยการจบชีวิตอันน่าสมเพชของตัวเองลง
ลู่ฉีคว้ามีดสั้นเล่มนั้นขึ้นหมายจะปาดลงบนลำคอของตนเองให้ตายในครั้งเดียว ทว่ากลับเป็นมือของหญิงสาวตรงหน้าที่คว้ามีดสั้นเล่มนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็วจนถูกบาด ซุนเฟยหรงมองเขาทั้งน้ำตาอย่างกล้ำกลืนไม่ต่างกัน
"ไม่ได้มีแต่ท่านที่เสียทุกอย่าง ครอบครัวข้าก็ไม่เหลือแล้วบ้านแตกสาแหรกขาดบิดาข้าตายในการสู้รบกันของสองกองทัพ ครอบครัวทั้งหมดของข้าจมหายไปในกองเพลิงพร้อมพระราชวังต้าเหยียน เราต่างแค้นจักรพรรดิโฉดผู้นี้ไม่ต่างกันหรอก"
นางเอ่ยทั้งน้ำตาแต่ไม่อาจเสียเวลามาทำตัวอ่อนแอได้เพราะความแค้นใหญ่หลวงคราวนี้ยังไม่ถูกชำระ หากแต่คนที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจเช่นลู่ฉี มาบัดนี้กลับสูญสิ้นทุกอย่างไปสิ้นจนเหมือนถูกผลักลงไปยังห้วงแห่งเหวลึกจึงทำให้หัวใจของเขาหมดแล้วซึ่งความทะเยอทะยาน
"ข้าทนไม่ได้" เขาเอ่ยอย่างหมดอาลัยเพราะไม่รู้ว่าจะมีชีวิตเพื่อสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ไร้แผ่นดิน ไร้กำลัง ไร้สามารถ เขาจะทำอะไรได้อยู่ต่อไปแล้วจะมีอะไรดีขึ้นมาในเมื่อไม่สามารถเรียกคืนสิ่งที่เสียไป
ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับบีบมือเขาแน่นสายตาของนางแน่วแน่มั่นคงทั้งยังลุกโชนไปด้วยเพลิงแค้นอยู่ในนั้นและเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
"ท่านต้องทนให้ได้ เก็บความอัปยศอดสูวันนี้ไว้เป็นบทเรียน เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด แล้วค่อยไปล้างแค้นมันผู้นั้น ท่านเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของราชวงศ์ข้าไม่มีวันปล่อยให้ท่านต้องมาจบชีวิตไปง่ายๆ แบบนี้เด็ดขาด"
น้ำเสียงหวานเอ่ยราวเป็นคำสั่งขาดอย่างหนักแน่น อย่างน้อยชีวิตนี้ของนางเรื่องนี้นับว่าจริงจังที่สุดแล้วหลังจากที่ใช้ชีวิตสนุกสนานซุกซนมาเนิ่นนานในที่สุดนางก็ต้องยอมรับและต้องเติบโตเสียที ค่ำคืนนั้นเป็นคืนที่ทำให้ซุนเฟยหรงรู้ว่าจากนี้นางไม่ใช่เป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาอีกต่อไป
"รัชทายาทท่านเป็นความหวังเดียวของพวกเราแล้ว"