ซุนเฟยหรงในร่างหลี่ซูเผลอกำมือแน่นเมื่อคิดย้อนถึงอดีตอันเจ็บปวด ทั้งที่นางและเขาต่างผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันแท้ๆ คิดไม่ถึงคนที่เคยให้สัญญาว่าจะร่วมเป็นตายกันกลับหักหลังทำร้ายกันได้ลง ผิดกับจักรพรรดิโฉดที่ครั้งหนึ่งนางตราหน้าเขาว่าเลวร้ายหนักหนาอย่างจ้าวหนิงหลงกลับทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนางแม้จะต้องสละชีวิตของตนเอง
ซุนเฟยหรงได้แต่คิดด้วยความรู้สึกแค้นใจที่เมื่อก่อนนางมองคนไม่ออกถึงเพียงนี้ ก่อนจะมีเสียงเรียกของหลี่หนิงผู้เป็นน้องสาวนางในตอนนี้ดังขึ้นเรียกสติ
“พี่ใหญ่” หลี่หนิงเอ่ยเรียกซ้ำหลังจากพยายามเรียกคนที่เหม่อไปนานอยู่พักใหญ่
“หืม ว่าอย่างไร” หลี่ซูหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางงุนงงอย่างไม่รู้ตัวว่าตนเองเผลอใจลอยไปเนิ่นนานเพียงไหน
“ท่านต่างหากไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าข้ากับฮองเฮาเรียกท่านตั้งนานแล้วเหตุใดจึงเหม่อเช่นนี้”
“นั่นสิหลี่ซูหากยังไม่หายดีเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้ให้หลี่หนิงอยู่เป็นเพื่อนข้า”
“ไม่เป็นไรเพคะ ขอบพระทัยหม่อมฉันแค่เผลอคิดอะไรไปชั่วครู่”
ซุนเฟยหรงที่อยู่ในร่างของหลี่ซูว่าพลางเดินเข้ามาหาร่างของตนเองยามนี้ที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่หน้าคันฉ่องบานใหญ่
“หม่อมฉันช่วยหวีพระเกศาให้นะเพคะฮองเฮา”
"อืม” ซุนเฟยหรงพยักหน้ารับเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะส่งหวีหยกสลักที่อยู่ตรงหน้านางให้หลี่ซูกับมือ
มือเรียวรับหวีมานั้นไว้ในมือมั่นก่อนจะลงมือสางผมให้คนตรงหน้าช้าๆ อย่างตั้งใจ นางเกล้าผมด้วยทรงเรียบง่ายแต่ก็ยังคงความสง่างามเอาไว้เหมือนเช่นที่ตนเองชอบไม่ผิดซึ่งทำให้ซุนเฟยหรงในตอนนี้ถูกใจเป็นอย่างมาก
“วันนี้เจ้าเกล้าผมให้ข้าสวยมากต่อไปยกหน้าที่นี้ให้เจ้าดีหรือไม่”ซุนเฟยหรงว่าด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกชาดขึ้นทาปากเป็นอย่างสุดท้าย
“เพคะฮองเฮา” หลี่ซูยิ้มรับก่อนจะจัดการยกน้ำล้างหน้าออกไปจากห้องเพื่อนำไปเททิ้ง แต่ระหว่างทางเดินนางกลับได้พบคนที่นางเคย คาดคิดว่าคงไม่มีวันจะได้พบเจอกันอีกแล้ว คนที่นางทำผิดต่อเขาในชาติก่อน คนที่นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาตินี้นางจะสามารถดูแลรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้มิปล่อยให้ถูกลู่ฉีฆ่าตายอย่างจ้าวหนิงหลง
ใบหน้าอันหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มจางๆ ของเขายังคงงดงามเช่นดังวันวานที่ผ่านมา จ้าวหนิงหลงแต่งกายด้วยชุดสีขาวปักลายมังกรทองเหมือนดั่งเคย บนศีรษะที่รวบเส้นผมขึ้นไปครึ่งหนึ่งนั้นประดับด้วยกวานทองลายมังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแห่งแคว้นเอาไว้
ภายใต้การแต่งกายที่ดูราบเรียบนั้นกลับแฝงไปด้วยความหรูหรางดงามอยู่เสมอ แม้จะมิได้โดดเด่นด้วยสีสัน แต่ก็กลับทำให้เขาดูสูงส่งดั่งเซียนน้อยที่เหยียบย่างไปบนก้อนเมฆ ซุนเฟยหรงในร่างของหลี่ซูลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยทั้งน้ำตาเมื่อได้เห็นเช่นนั้น อดนึกไม่ได้ว่าที่แท้การแต่งกายนี้ของเขากลับบ่งบอกนิสัยของเจ้าตัวออกมาจนสิ้น
จ้าวหนิงหลงหรือฮ่องเต้หนิงหลงตี้แห่งแคว้นเทียนจินที่นางเคยเกลียดชังเขาเป็นคนอ่อนนอกแข็งในคล้ายกับรสนิยมการแต่งตัวของเขาที่ดูราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความหรูหราอยู่เสมอ ท่าทางบอบบางน่าถนอมของเขานั้นทำให้นางถูกหลอกอยู่หลายครั้งในชาติก่อนทั้งที่ความเป็นจริงเขาทั้งแข็งแกร่งและเยี่ยมยุทธไม่น้อยหน้าใครบนแผ่นดิน แต่สุดท้ายเขากลับต้องมาตายเพราะนาง
ตอนนั้นเพราะจ้าวหนิงหลงรู้สึกว่าตนเองยังใหม่ในการปกครองบ้านเมือง จึงเห็นว่าการจะปกครองแคว้นให้ดีได้นั้นจำต้องเข้าใจปัญหาของประชาชน ดังนั้นเขาจึงได้ปลอมตัวออกจากวังเพื่อไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยตนเอง ซึ่งมันกลายเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาและนางได้พบกันอีกครั้งในแบบที่นางยังจดจำได้ไม่ลืมจนถึงวันนี้
จ้าวหนิงหลงตอนนั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดตาอย่างที่ชอบ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มโดดเด่นสะดุดตาผู้คนเป็นอย่างมาก เพราะยากนักที่ชาวบ้านทั่วไปจะได้เห็นชายหนุ่มที่ดูงดงามสำอางถึงเพียงนี้
ในตอนนั้นเขาดูสะโอดสะองงดงามราวเซียนน้อยมาจุติ เรือนผมสีเข้มยาวสลวยนั้นถูกรวบขึ้นครึ่งศีรษะแล้วมัดไว้ด้วยผ้าผูกผมสีเข้ากันกับชุด สีของมันตัดกับเส้นผมเงางามนั้นของเขาพอดียาวละลงไปจรดปลายผม มองเผินๆ ก็ดูคล้ายจอมยุทธน้อยผู้ร่ำรวยในนิทานตามโรงน้ำชาอยู่หลายส่วน
คนส่วนใหญ่ที่ได้ยลรูปโฉมดั่งเทพเซียนนี้ล้วนลงความเห็นว่างดงามไร้ที่ติ
สิ่งที่เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะอันสูงส่งเป็นอย่างดีของเขาได้นั้นคงไม่พ้นปิ่นหยกมันแพะสีขาวนวลที่ปักอยู่ แม้จะถูกแกะสลักด้วยลวดลายอันเรียบง่ายแต่ก็กลับละเอียดลออเป็นอย่างมากจนน่าทึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันคงเป็นฝีมือของช่างชั้นสูง ยังไม่รวมพู่หยกห้อยประจำตัวตรงข้างเอวที่ทำจากหยกชนิดเดียวกันนั่นอีก
การแต่งกายที่ประณีตนี้แม้มองดูผิวเผินจะเรียบง่าย แต่เมื่อดูโดยรวมแล้วก็งดงามสะอาดตาจนโดดเด่นเหนือผู้คนอยู่หลายส่วน ทั้งยังเต็มไปด้วยความหรูหราอยู่ในทีจนใครได้เห็นล้วนต้องเหลียวหลังมองใบหน้างดงามราวหยกสลักนั้นที่รับกันกับการแต่งกายของเจ้าตัวอย่างชื่นชม