บทที่ 3 พ่ายแพ้

2179 คำ
ย้อนกลับไปก่อนที่จุดจบนี้จะเกิดขึ้นเรื่องราวของมันเริ่มต้นมาจากสงครามรวมแผ่นดินเจ็ดแคว้นเข้าด้วยกัน เพราะเจ็ดแคว้นต่างแย่งชิงอำนาจกันไปมาจึงทำให้เกิดสงครามยาวนานไม่สิ้นสุด กลายเป็นกลียุคประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากไฟสงครามจนมีผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ฮ่องเต้แห่งต้าจินจึงคิดรวบรวมเจ็ดอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของพระองค์ พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีในการเตรียมตัวเพื่อทำสงครามไม่ต่างจากแคว้นอื่นๆ ที่ต่างก็ต้องการแสวงหาอำนาจเพื่อความเป็นใหญ่สูงสุด หลายปีผ่านไปสุดท้ายต้าจินสามารถรวบรวมห้าอาณาจักรให้อยู่ใต้การปกครองของตนได้ บัดนี้เหลือเพียงแคว้นต้าเหยียนเป็นอาณาจักรสุดท้ายแล้วที่กำลังจะตกเป็นอีกหนึ่งในเมืองใต้อาณัติของเขา หลังจากที่จ้าวหนิงหลงสามารถพิชิตต้าเหยียนได้แล้วเขาจะประกาศควบรวมเจ็ดแคว้นให้เป็นหนึ่งและสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่แห่งเทียนจิน ท่ามกลางความวุ่นวายและไฟแห่งสงครามราชสำนักและวังหลังแห่งต้าเหยียนในตอนนั้นกลับมัวแต่แย่งชิงอำนาจกันเองจนที่ทำให้ต้าเหยียนระส่ำระสายยิ่งกว่าเก่า ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของต้าเหยียนนั้นไร้ความสามารถทั้งยังเอาแต่ลุ่มหลงสุรานารีจนบ้านเมืองถดถอยลงไปทุกขณะ ต่อให้ไม่ถูกควบรวมอาณาจักร บ้านเมืองแห่งนี้ก็คงจะเสื่อมถอยอยู่ดี ด้วยเพราะองค์ฮ่องเต้ผู้นี้มิได้สนพระทัยกิจการบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของราษฎรมานานแล้ว ผู้คนต่างพากันอดอยากแร้นแค้น ขณะที่เหล่าเชื้อพระวงศ์และข้าหลวงขุนนางนั้นต่างพากันเอาแต่เสวยสุขกินอยู่อย่างสุขสบายบนความทุกข์ยากของประชาชน พวกเขาคอยแต่จะกอบโกยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยไม่สนใจว่าผู้คนเหล่านั้นจะได้รับความเดือดร้อนลำบากยากเข็ญเพียงใด สุดท้ายแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเหยียนจึงไม่อาจดูดายได้ หลังจากที่เขาทนเห็นประชาชนและทหารในปกครองต้องล้มตายรายวันท่ามกลางศึกสงครามอย่างเสียเปล่า เพราะไร้การเหลียวแลจากผู้เป็นนายอย่างฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหยียนที่เอาแต่ออกคำสั่งให้เขาและพี่น้องในกองทัพปกป้องแคว้น แต่กลับไร้การสนับสนุนทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงจากวังหลวง กองทัพเรือนแสนถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างอดยากและต้องจัดการเสบียงที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน เป็นเหตุให้ทหารต้าเหยียนมากมายต้องมาล้มตายเสียเปล่าเพราะกองทัพเริ่มไร้ประสิทธิภาพลงทุกวัน ความอดอยากที่แผ่ขยายมาถึงกองทัพทำให้พวกเขาต้องอดมื้อกินมื้อเพื่อประทังชีวิตทั้งยังต้องแจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยจากสงครามด้วยไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ที่ต้องเห็นเด็ก สตรี และคนชราเจ็บป่วยล้มตายกันอย่างไร้คนเหลียวแล สุดท้ายกองทัพกว่าครึ่งของแคว้นที่อยู่ภายใต้การปกครองของแม่ทัพใหญ่จึงยกไปสวามิภักดิ์ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าจินเพื่อขอความเมตตาจากพระองค์โดยแลกกับการที่พวกเขาจะช่วยพระองค์ในการเป็นหนึ่งในกองกำลังบุกยึดเมืองหลวงเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง การศึกสงครามในต้าเหยียนยืดเยื้อมาได้เพียงสามวันหลังจากนั้นกองทัพที่เหลือเพียงน้อยนิดของต้าเหยียนก็พ่ายแพ้ อย่างรวดเร็ว ขุนนางน้อยใหญ่ถูกสังหารในเหตุการณ์นั้นไม่เว้นแม้กระทั่งลูกเมียเพราะขัดขืนไม่ยอมจำนนไม่ต่างจากการศึกทั่วไป แม้ว่าจ้าวหนิงหลงจะไม่ได้ปรารถนาให้มีการสูญเสียมากนักแต่สุดท้ายก็ยากที่จะควบคุมความวุ่นวายที่ไม่อาจคาดคะเน ทั่วทั้งแคว้นต้าเหยียนเจิ่งนองไปด้วยหยาดโลหิตที่อาบย้อมและเสียงร้องระงมอย่างน่าสังเวชใจ แต่กระนั้นผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าเหยียนกลับยังเอาแต่ร่ำสุรานารีโดยไม่สนใจสิ่งใดแม้ว่าภัยอันตรายจะใกล้มาถึงตัว พระองค์ยังคงสั่งให้คนของตัวเองจับหญิงสาวบริสุทธิ์เข้าวังเพื่อถวายตัวแม้ในยามที่ข้าศึกบุกเข้ามาประชิดอยู่ตรงหน้า ฮ่องเต้แห่งแคว้นน่าชังผู้นี้กลับเอาแต่เสพสังวาสกับสตรีเหล่านั้น ท่ามกลางเสียงร้องขอชีวิตของหญิงสาวที่ต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับคนแก่คราวพ่ออย่างไม่เต็มใจ หากหญิงคนใดขัดขืนก็จะถูกฆ่าตายคาเตียงแล้วเหยียดหยามศพพวกนางด้วยการข่มขืนซ้ำอย่างบ้าคลั่ง หลังจากฮ่องเต้ต้าเหยียนทำลายบริสุทธิ์ของพวกนางแล้ว พระองค์ก็จะโยนพวกนางออกไปกำนัลเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่คอยช่วยกันทำชั่วเป็นรางวัลที่คนเหล่านั้นช่วยเฝ้าควบคุมตัวหญิงสาวผู้โชคร้ายนับร้อยนางเหล่านั้นเอาไว้ กินเวลามาแล้วกี่ราตรีกาลแห่งความทรมานของพวกนางก็ไม่อาจรู้ได้ หลังจากที่ต้องถูกพรากตัวจากคนรักและครอบครัว ทั้งยังต้องทนรับความน่าสะอิดสะเอียนที่ถูกบังคับมอบให้อย่างอับจนหนทาง หลายคนไม่อาจทนความอดสูได้ถึงกับกลั้นใจตายไปก็มาก แต่สุดท้ายประตูห้องของท้องพระโรงแห่งนี้ก็เปิดออกพร้อมเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หลังบานประตูด้วยชุดเกราะสีทองลวดลายมังกรดูสง่างามประดับด้วยผ้าคลุมสีชาดที่เนื้อผ้าทิ้งไปด้านหลังอย่างมั่นคง เรือนกายสูงโปร่งน่าเกรงขามทว่าใบหน้าพระองค์กลับหมดจดงดงามราวหยกสลัก ดวงตาสีอ่อนนั้นฉายความมั่นคงดุจภูผาในแววตาแต่ก็กลับนุ่มลึกจนสุดหยั่งดั่งสระน้ำอมฤต รับกับคิ้วพาดเฉียงที่เรียงตัวสวยและจมูกโด่งเป็นสันดูคมคายอยู่ในที แต่ก็ดูอ่อนโยนมีเมตตาอยู่หลายส่วน ฮ่องเต้แห่งต้าจินผู้ที่พิชิตทั้งเจ็ดแคว้นในคำร่ำลืออันน่าเกรงขามคนนั้น กลับมีรูปลักษณ์ดั่งเทพเซียนมาจุติ ทั้งยังกิริยาราวบัณฑิตมากความรู้ผู้ทรงภูมิเสียมากกว่าจะเป็นเทพแห่งสงคราม ยามเมื่อได้ชัยชนะจ้าวหนิงหลงจึงนำทัพเข้ามาด้วยพระองค์เองจนถึงท้องพระโรงแห่งนี้ ก่อนที่คนของพระองค์จะเร่งจัดการสังหารคนที่ขัดขืนพระองค์ และช่วยหญิงสาวเหล่านั้นเอาไว้ "ฮ่องเต้ชั่ว หึ สารเลวนัก" จ้าวหนิงหลงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม ทั้งรังเกียจในความชั่วช้าของคนโฉดตรงหน้าเหลือคณา ขณะที่เขาบุกนำกองกำลังเข้ามาถึงท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อจับกุมตัวคนที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็นอดีตฮ่องเต้ หลังจากที่ แคว้นต้าเหยียนถูกกองทัพของเขาโจมตีจนแตกพ่าย จ้าวหนิงหลงเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาพบเจอความมัวหมองจากทรราชย์ผู้โฉดเขลาเช่นคนผู้นี้มาก่อน ฮ่องเต้เฒ่าผู้ชั่วร้ายยังคงทำเรื่องบัดสีกับสาวน้อยรุ่นราวคราวลูกอย่างไม่อายฟ้าดินต่อหน้าผู้คนโดยไม่สนใจสายตาใคร บนโต๊ะทรงอักษรที่ควรเป็นที่ทรงงานเพื่อราษฎรกลับกลายเป็นดั่งแท่นสำหรับใช้ในการเริงสวาท เรือนกายเปลือยเปล่าของหญิงสาวในสภาพที่ไม่งามตาทอดกายนอนแน่นิ่งทั้งน้ำตาราวคนสติหลุดขณะที่นางยังคงถูกคนบ้าคลั่งตรงหน้าเขาเสือกไสตัวตนเข้าหาอย่างคลุ้มคลั่ง "ออกไป!! เจิ้นบอกให้พวกเจ้าออกไป ข้าเป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าเหยียน ขอสั่งพวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!" เขาตวาดลั่นทั้งที่ยังไม่หยุดพฤติกรรมเลวทรามก่อนจะกระตุกเกร็งแล้วซุกหน้าลงไปบนเรือนร่างผอมบางของหญิงสาวอย่างหมดแรงเมื่อเสร็จสมท่ามกลางเสียงสะอื้นของสตรีมากมายในห้องนั้นที่พากันร้องไห้ระงมกับชะตาน่าอดสูที่ได้รับ ปลายดาบเย็นๆ ตรงเข้าไปพาดลำคอของฮ่องเต้ต้าเหยียนที่ตอนนี้กำลังจะเป็นเพียงอดีตก่อนที่ทหารทั้งหลายจะตรงเข้าไปควบคุมตัวเขาเอาไว้ "ปล่อยข้านะ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์!!!" เขาตวาดลั่นด้วยสายตาหวาดกลัวอย่างคนไม่เหลือสติก่อนที่ครู่ต่อมาจะคลุ้มคลั่งหัวเราะราวคนบ้าเสียงดัง “ฮ่าๆๆๆ ไม่มีสิทธิ์!! อย่ามาถูกตัวข้า” "นำตัวไป" ฮ่องเต้แห่งต้าจินเอ่ยเสียงเรียบ พลางทอดมองสภาพท้องพระโรงที่เกลื่อนไปด้วยหญิงสาวมากมายที่บ้างก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณ บ้างก็เสียสติ บ้างก็นั่งร้องไห้ฟูมฟายในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นผมเผ้ายุ่งเหยิง น้อยคนนักที่จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่าพอดูได้หรือยังพอเหลือสติอยู่บ้าง "ฝ่าบาทไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด" หนึ่งในหญิงสาวที่ดูจะมีสติกว่าผู้อื่นคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้แห่งต้าจิน ร่างบอบบางเต็มไปด้วยร่องรอยเขียวช้ำไม่ต่างจากหญิงสาวนางอื่นๆ ที่ถูกกระทำอย่างทารุณ นางก้มลงโขกศีรษะขอความเมตตาอย่างอับจนหนทาง หลังจากที่ได้เห็นแล้วว่าทั่วพระราชวังแห่งนี้ล้วนอาบย้อมไปด้วยเลือดมากมายเพียงไหน แม้ไม่รู้ว่าจะได้รับความเมตตาจากคนตรงหน้าหรือไม่แต่นางก็ยังเสี่ยงขอความเมตตาดูสักครั้งเพียงเพราะต้องการรักษาชีวิตที่บอบช้ำเหล่านี้เอาไว้หลังจากต้องผ่านวันคืนแสนเลวร้ายมาด้วยกัน จ้าวหนิงหลงทอดสายตามองพวกนางเหล่านั้นนิ่งก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ "ทหาร จัดการส่งแม่นางเหล่านี้กลับบ้านอย่างปลอดภัย ห้ามให้ใครทำร้ายพวกนางอีก" ฮ่องเต้แห่งต้าจินเอ่ยสั่งก่อนจะโน้มพระองค์ลงไปช่วยประคองนางขึ้นมาด้วยความเมตตา "ขอบพระทัยฝ่าบาท" หญิงสาวเหล่านั้นที่ยังพอเหลือสติโขกศีรษะคำนับเขาทั้งน้ำตาด้วยความดีใจที่รอดพ้นจากภัยร้ายครั้งนี้ได้ในที่สุด แม้จะมีบางคนนึกโทษที่ฮ่องเต้แห่งต้าจินเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นของพวกนางกลายเป็นบ้าจนก่อเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บ้างเพราะรู้ว่าจะเสียเมืองแน่แล้ว แต่เมื่อสุดท้ายแล้วสามารถเก็บชีวิตตัวเองกลับคืนได้ก็ไม่มีใครหน้าไหนโง่พอที่จะมายืนกล่าวโทษเขา ท่ามกลางความวุ่นวายและการฆ่าฟันที่ยังไม่จบสิ้นรัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียนเองก็กำลังหลบหนีจากกองกำลังที่ไล่ล่าตนเองอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่วิ่งหนีเข้าไปในตลาดพร้อมกับคนสนิทของตัวเอง เขาอาศัยหลบตามซอกซอยร้านค้าไปตามทางอย่างอ่อนแรง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายซีดเซียวทั้งยังกำลังเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากหลังจากที่ต้องต่อสู้กับศัตรูมาตลอดหนทางหลบหนีจนได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเลย เสื้อผ้าที่เคยเป็นสีขาวสะอาดปักด้วยเส้นไหมทองคำดูเรียบหรูของเขา บัดนี้มันขาดวิ่นและอาบย้อมไปด้วยโลหิตทั้งจากศัตรูและตนเอง ลู่ฉีกลายเป็นองค์ชายตกยากชั่วพริบตาเพียงเมื่อทัพของต้าจินกรีฑาเหยียบย่างเข้ามาบนแผ่นดินของต้าเหยียน เขาหมดสิ้นทุกสิ่งและกลายเป็นเพียงเชลยหลบหนีคนหนึ่งที่กำลังหาทางเอาชีวิตรอด โดยไม่สามารถล่วงรู้ชะตากรรมของพระบิดาหรือพระญาติคนใดในวังได้เลย "องค์ชาย จากนี้พระองค์ต้องทรงพึ่งตัวเองแล้ว" เสียงองครักษ์คนสนิทของเขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ยามเมื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีมาได้ไกลมากพอเฉิงกงจึงวางใจว่าองค์ชายของเขาจากนี้คงสามารถพาตนเองหนีรอดออกไปจากที่นี่ได้ "พูดอะไร นี่เจ้าก็จะทิ้งข้าอีกคนหรือ" ทว่าลู่ฉีกลับขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยเหตุเพราะเฉิงกงเป็นองครักษ์คนสุดท้ายแล้วที่ยอมอยู่เคียงข้างเขา ทั้งที่อีกฝ่ายให้สัญญาและสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างกันแต่กลับพูดจาเช่นนี้ออกมาราวกับว่าไม่ต้องการเขาเป็นตัวถ่วงอีกต่อไป "มิได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ข้าพระองค์คงไปกับองค์ชายไม่ไหวอีกแล้ว" เฉิงกงเอ่ยก่อนจะทรุดกายล้มลงไปทั้งยืน เขาทนเก็บอาการบาดเจ็บมาเนิ่นนานจนสามารถพาองค์ชายหลบหนีจากกลุ่มทหารที่ออกตามล่ามาได้ แต่เพราะชุดดำที่สวมใส่พรางตัวของเฉิงกงนั้นจึงทำให้ลู่ฉีไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส "เฉิงกง" ลู่ฉีเรียกองครักษ์คนสนิทด้วยสีหน้าตระหนกอย่างคาดไม่ถึงทั้งยังรู้สึกผิดนักที่นึกโทษอีกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บหนักทั้งที่เพราะช่วยเขาเอาไว้เมื่อครู่ "องค์ชาย อึก กระหม่อมขออภัยที่ไม่สามารถอยู่รับใช้พระองค์ได้อีกแล้ว"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม