วันนี้เป็นอีกวันนึงที่สงบสุขมากๆของกรุงลงกา ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง ทว่าผมกลับรู้สึกร้อนๆหนาวๆ เป็นงุ่นง่านๆแปลกๆ มันเป็นอยู่ไม่สุขทั้งวันโดยไม่ทราบเหตุผล วันนี้ผมเลยทำการเดินตั้งแต่หน้าประตูวังจนถึงท้ายวังเพื่อหาสาเหตุอาการกระวนกระวายนี้
แต่แล้วแต่เล่า ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร ผมเลยตัดสินใจไปไหว้วานพิเภกให้ตรวจดูดวงชะตา เผื่อจะเห็นสาเหตุที่ผมกระวนกระวายอยู่แบบนี้
"เรียนท่านพี่ จากที่ข้าดูมา ดวงชะตาท่านพี่ปกติดีทุกอย่าง"
"แล้วเจ้าคิดว่ามีสาเหตุอะไรที่ทำให้พี่กังวลใจไม่เลิกแบบนี้"
ทางพิเภกเองก็ไม่ใช่อัปดุลเสียด้วย ที่จะถามอะไรก็ตอบได้ จึงต้องลองคิดหาต้นสายปลายเหตุถึงเรื่องนี้ แต่ก่อนจะเค้นอะไรในสมองออกมาได้ ทางประตูห้องก็มีร่างหนึ่งโผล่เข้ามาก่อน
"พ่อทศ น้าพิเภก มีปัญหาอะไรกันหรือขอรับ"
อินทรชิตที่เห็นว่าพ่อกับน้าตนมากระจุกอยู่ที่ห้อง พลางมีสีหน้าเครียดๆ ก็คิดได้ว่าทั้งสองอาจจะมีปัญหาคิดไม่ตก จึงเสนอตัวมาช่วย
"ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแค่พ่อรู้สึกว่ามีบางอย่างกวนใจ จนอยู่ไม่ค่อยสุขพ่อเลยมาขอคำปรึกษากับพิเภก"
"งั้นหรือ แล้วท่านเป็นแบบนี้มานานหรือยัง?"
"ก็ ไม่นาน แต่ช่วงนี้รู้สึกมากเป็นพิเศษ"
"อื่ม.. จะว่าปัญหาบ้านเมืองก็ไม่ใช่ หรือว่าจะมีกบฏ!"
"น้าตรวจดูดวงชะตาพ่อเจ้าแล้ว ไม่มีเคราะห์ร้าย"
และแล้วยักษ์ทั้งสามก็ต่างหน้าดำคร่ำเครียด ทางทศกัณฐ์เองก็รู้สึกผิดพอสมควรที่ลากน้องชายและลูกมาปวดหัวกับปัญหาของตน
แต่ก่อนที่ตนจะได้พูดอะไร ในห้องก็มีแขกไม่ได้รับเชิญย่างกลายเข้ามาอีกครั้ง
เป็นหนุมานลิงขาวที่เดินเข้ามาเห็นพวกผมต่างคนต่างทำหน้าเคร่งเครียด พลางนวดขมับ แต่พอสายตาเบนเห็นลิงขาวและลองคิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง และแล้วความขุ่นมัวในใจผมก็พลันถูกลมพัดปลิวไปเมื่อนึกขึ้นได้
"จริงด้วย หนุมาน"
ทุกคนในห้องต่างหันมองผมอย่างถามสาเหตุ ที่จู่ๆผมก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
"อะแฮ่ม..ขอบคุณพิเภกกับอินทรชิตมาก ตอนนี้ข้ารู้สาเหตุของอาการงุ่นง่านในใจแล้ว ตอนนี้ขอตัวหนุมานก่อนสักครู่"
หนุมานมองมาที่ผม มันก็อยากจะเปิดปากถามอยู่หรอกว่ามีอะไร แต่ก็ยังไม่ทันอ้าปากผมก็ลากมันออกมาข้างนอกแล้ว
จากที่ผมเดา ช่วงเวลาแถบๆนี้จะเป็นช่วงที่สุครีพถูกไล่ออกจากเมือง แล้วหนุมานไปเจอเข้าเลยตัดสินใจร่วมทางกัน และไม่นานพระอินทร์ พระพรมก็จะมาสร้างเมืองให้ทั้งสองได้ปกครอง
เตรียมทัพเป็นทหารให้พระราม และแน่นอนว่าอาการงุ่นง่านของผมคงจะเป็นเพราะ ผมกักตัวหนุมานที่ควรจะไปเป็นกำลังให้พระรามไว้กับตัวเองนานเกินไปแล้ว ตอนนี้คงถึงเวลาส่งตัวหนุมานไปทำตามเนื้อเรื่อง
"เจ้าอยากได้กำลังอีกครึ่งของตัวเองที่หายไปหรือไม่"
"ก็ต้องอยากสิขอรับ "
หนุมานดูจะไม่เข้าใจปนสงสัยในคำถาม มันคงคิดว่าผมอาจจะมีวิธีทำให้มันได้กำลังอีกครึ่งกลับมา
หนุมานโดนสาป กำลังครึ่งนึงของมันจะหายไปจนกว่าจะได้พบกับพระราม เขาจะเป็นคนแก้คำสาปนั้นให้มัน มันถึงจะได้พละกำลังกลับคืน
"กำลังของเจ้าจะกลับมาก็ต่อเมื่อนารายน์อวตารลูบหัวจรดหาง เพราะฉนั้นข้าจะส่งเจ้าไปหาลิงตัวนึง ซึ่งอนาคตจะกลายมาเป็นทหารของนารายณ์อวตาร หากไปอยู่กับเขา เจ้าจะได้ช่วยปกครองเมืองที่เต็มไปด้วยวานร แล้ววันใดที่นารายณ์อวตารเดินทางมา เจ้าก็จะได้สวามิภักดิ์ต่อเขาและได้พลังกลับคืน"
หนุมานตั้งใจฟังผมพูดยาวเหยียด แม้จะอยากถามว่าผมรู้ได้ยังไง และเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน แต่ด้วยก่อนหน้านี้เคยถามอะไรทำนองนี้ไป มันก็ไม่เคยได้คำตอบ ครั้งนี้มันจึงทำเพียงเชื่อฟังและทำตามเท่านั้น
ผมชี้แจงรายละเอียดต่างๆให้มันเพิ่มเติม อีกทั้งยังกำชับไม่ให้พูดเรื่องของผมและกรุงลงกาออกไปให้พวกฝั่งลิงได้รับรู้ ทางหนุมานเองก็ให้คำมั่นพอได้ฟังผมชี้แจงจบ
ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะดีใจดีดดิ้นแบบในที่สุดมันก็จะได้ออกจากเมืองยักษ์และได้ชีวิตอิสระเสียที แต่ใบหน้าขาวๆของมันทำให้ผมแปลกใจ เพราะมันดูจะหมองลงไปมากกว่าดีใจด้วยซ้ำ
"เป็นอะไรไปหนุมาน มิดีใจหรือที่จะได้ไปอยู่กับน้า แถมในเมืองยังเต็มไปด้วยวานรเผ่าพันธุ์เดียวกัน"
เมืองที่ผมจะให้มันไปอยู่ผู้ปกครองเมืองคือสุครีพ ลิงที่เป็นน้าแท้ๆของหนุมาน
"ก็..ดีใจขอรับ..แต่.."
หนุมานดูจะชั่งใจกับคำพูดตัวเอง มันไม่รู้ว่าคำพูดต่อไปของตัวเองควรจะพูดออกมาดีหรือไม่ แต่เมื่อได้สบตากับยักษ์ทศกัณฐ์ตรงหน้ามันก็กล้าเปิดปากพูดได้อีกครั้ง
"ข้าผูกพันธ์กับที่นี่ ตลอดมาข้าอยู่ในป่าตัวเดียว แม้ว่าในเมืองนี้จะเต็มไปด้วยยักษ์ แต่การที่ท่านปฏิบัติตัวกับข้ามันไม่เคยทำให้ข้าอึดอัดใจเลย อีกทั้ง.."
หนุมานบอกความในใจของตัวเองออกมา เป็นอย่างว่าตั้งแต่มันเกิดมันอยู่ตัวเดียวมาตลอด แม้มันจะได้ปีนป่ายและเที่ยวเล่นอย่างอิสระ มันล้วนแต่ต้องอยู่ลำพัง ในป่ากว้างใหญ่มันไม่ได้ร่วมสนทนากับผู้ใดเลย แม้จักมีลิงเผ่าพันธ์เดียวกันผ่านหน้าผ่านตาไปบ้าง แต่ทว่าตัวมันมิใช่ลิงปกติเสียหน่อย
ส่วนกรุงลงกาแห่งนี้ แม้มันจะเคยได้ยินมาบ้างว่ามันคือเมืองยักษ์ที่มีเจ้าเมืองเป็นยักษ์ที่โหดเหี้ยมและเก่งกาจ แต่พอได้เข้ามาอยู่ในรั้ววังได้รู้จักกับครอบครัวของเจ้ากรุงลงกาดูจริงๆสักครั้ง นอกจากมันจะได้รับความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับแล้ว มันยังรู้สึกได้อีกว่ามันสามารถเป็นครอบครัวเดียวกันกับครอบครัวนี้ได้
และอีกทั้ง คำที่มันยังไม่ได้พูดออกไปกับคนตรงหน้า แต่สายตาของมันก็เป็นเครื่องบ่งบอกชัดเจน หนุมานมองข้ามไหล่ทศกัณฐ์ไปด้านหลัง ตรงนั้นเองก็ปรากฏภาพของอินทรชิตมองมาทางนี้อยู่
ทางทศกัณฐ์ที่มองตามมันไปก็พอเข้าใจ ก่อนจะหันมาทำหน้ายิ้มเหี้ยมๆให้ลิงขาวที่เป็นคู่สนทนา
ไอ่ลิงนี่ คิดจะกินเต้าหู้*ลูกชายบ้านคนอื่นหรอ!
*กินเต้าหู้ หมายถึง ลวนลาม แต๊ะอั๊ง หรือเต๊าะ จีบ เป็นคำเปรียบเปรยของจีน
ไอ่ลิงขาวที่เหมือนเห็นสายตาของคนหวงลูกก็ยิ้มแหยๆให้ ถึงจะรู้ว่าคุณพ่อ(ตา)คนนี้คงพอมองออกนานแล้ว แต่อะไรหลายๆอย่างมันก็ไม่ชัดเจนจนกระทั่งมันเริ่มชัดขึ้นในวันนี้ ทางทศกัณฐ์เลยใช้สายตาคาดโทษตนไว้ก่อน
"หึ เอาเถอะ เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง ไปบอกลาเขาเสีย อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ค่อยเดินทาง"
โถ่ไอ่ลิงจ๋อ ถ้าไม่ใช่ว่าแกต้องไปต่างบ้านต่างเมืองผมบอกเลยจะไม่ยอมเปิดทางให้มันกินเต้าหู้ลูกผมแน่ ไม่มีทาง
"ขอรับ!"
หนุมานที่รู้ว่าตนจะต้องจากคนงามไปในเร็ววันก็พลันเรียกยักษ์หน้าบูดของตัวเอง(หื้ม)ไปคุยด้วยอีกทางทันที
ทศกัณฐ์มองตามอีกฝ่ายไปพลันคิดในใจว่านี่แค่ไปบอกลาทำไมต้องลากกันไปคุยในที่ลับด้วย?
แต่เอาเถอะ อาจจะอยากลากันแบบพิเศษที่รู้กันได้แค่สองคน เขารู้ว่าอินทรชิตไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆอยู่แล้ว และเขาก็เคารพการตัดสินใจของลูก
แต่ เอ๋ เขาจะลากันยังไงนะ
คนเป็นพ่อคิดมากจัง อื่ม