สอง
ปรารถนาดี
เช้าตรู่ท้องฟ้ายังคงปกคลุมด้วยสีเทาหม่น กลิ่นชื้นของดินลอยฟุ้งปลอดโปร่งสดชื่น ทั้งด้านนอกและด้านในวัดร้างปรากฏแอ่งน้ำน้อยใหญ่เต็มไปหมด
โจรสาวสลบไสลไปด้วยพิษไข้แต่ก็ยังกอดกระชับมีดสั้นในมือแน่นจนผู้มองรู้สึกอึดอัดแทน เห็นทีหากเป็นยามปกติคงจะมีพิษสงอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นผู้หญิงตัวคนเดียวคงไม่สามารถหนีพ้นการตามล่าจากกองปราบมาได้จนถึงบัดนี้
เจ้าของร่างสูงโปร่งใช้ดวงตาเรียวจ้องใบหน้าที่เปื้อนคราบโลหิตและฝุ่นดิน มองสำรวจอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการจดจำทุกองค์ประกอบของสตรีผู้นี้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลงมือวัดชีพจรและสำรวจดูบาดแผลตามร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง
ดีที่นางไม่บาดเจ็บถึงขั้นกระดูกหัก แต่แผลที่ถูกเพลิงไหม้ตรงหน้าแข้งก็นับว่าอักเสบจนน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ผิวหนังที่พุพองเริ่มมีน้ำหนองไหลออกมาแล้ว
เขาครุ่นคิดเพียงไม่นานเสียงก็เอ่ยเรียกคนสนิท “อูกั๋ว”
“ขอรับลูกพี่”
“คบเพลิง”
สีหน้าของเด็กหนุ่มเผยความฉงนงุนงงทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาเดินหาอยู่ไม่นานก็พบว่าคบเพลิงถูกเขาโยนไปกองอยู่บนพื้นใกล้กับประตูทางเข้า เมื่อนำกลับมาก็ยื่นส่งให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มใช้นิ้วจุ่มเอาเศษเขม่าขี้เถ้าจากคบเพลิงแล้วเขียนบางสิ่งลงบนเศษผ้าที่เหลืออยู่ในมือ เรียบร้อยแล้วจึงมอบให้กับอูกั๋ว
“หากมุ่งหน้าไปทางทิศใต้อีกสามสิบลี้จะพบหมู่บ้านเล็กๆ เมื่อเจ้าออกจากวัดแล้วให้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยี่สิบก้าวจะพบม้า จงใช้ใบสั่งนี้ซื้อยามาให้ครบแล้วรีบกลับมา”
“ยะ...ยา ?” เด็กหนุ่มทวนเสียงสูง จากนั้นก็เบิกตาโพลงพร้อมกับเบือนสายตาไปยังร่างที่หลับสนิท
ต่อให้เข้าใจมาตลอดว่าลูกพี่เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แต่ถึงขั้นที่ต้องเดินทางไกลไปซื้อโอสถมาให้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?
“นางบาดเจ็บหนักมาก ยาที่ข้ามีไม่มากพอ”
“แต่ลูกพี่ นางคือจอมโจรนกยูงดำที่ก่อคดีปล้นทรัพย์มาตั้งมากมาย เราจำเป็นต้องทำ...”
“อูกั๋ว” มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่านางทำเรื่องผิดมามากน้อยเพียงใด แต่ในใจของเขากลับยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่อาจปล่อยให้นางตายได้
...เขามองเห็นอดีตของตนในดวงตาของเฮยขงเชว่
ภาพของโลหิตที่เปรอะเปื้อนอาภรณ์และหลั่งรินลงบนพื้นเหมือนกับค่ำคืนนั้น... ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจทนเห็นสตรีใดมาตายต่อหน้าได้อีกเป็นคราที่สอง
“หากเราไม่รีบรักษา นางอาจตายได้” เสียงที่ปกติมักจะสุขุมแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อูกั๋ว...”
อุณหภูมิรอบกายลดลงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบก้มหน้ารับคำสั่งแล้ววิ่งจากไปทันที
จอมโจรวิญญูชนมองผู้ที่หายลับไปจากสายตาก็ลอบถอนหายใจ หลายวันมานี้เขามีเรื่องให้คิดและลงมือทำไม่หยุดหย่อน ประกอบกับเมื่อคืนมิได้นอนเลยทั้งคืนเพื่อเฝ้าไข้ อารมณ์จึงไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนัก
เมื่อครู่เห็นทีคงทำให้อูกั๋วตกใจเกินไป แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากอธิบายให้เสียเวลา
วิหคน้อยใหญ่ส่งเสียงขับร้องกันอย่างแข็งขัน ครุ่นคิดพลางเบือนสายตากลับมายังเสาอวี่อีกครา ถ้าได้สตรีผู้นี้มาทำงานให้กับเขาคงดี แต่คนเช่นนางคงไม่เหมาะที่จะถึงเรื่องบุญคุณมาอ้างเอาได้
‘แต่จะใช้วิธีใดดีเล่า...’
ผู้คิดกวาดสายตาไปรอบๆ วัดร้างอย่างสำรวจ ทันใดนั้นเองก็สะดุดเข้ากับความผิดปกติบางอย่าง รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนมุมปากโดยไม่รู้ตัว
“ท่านหัวหน้า มีชาวบ้านแจ้งเบาะแสมาว่านางหลบหนีมาทางนี้...”
“นางบาดเจ็บอยู่คงไปไม่ได้ไกล พวกเจ้าไปทางนั้น! ส่วนข้าจะไปตรวจดูในวัด!”
“ขอรับ”
บทสนทนาที่ดังขึ้นจากด้านนอกส่งผลให้ชายหนุ่มหันตื่นตัว คาดว่าผู้ที่ตามล่ากัดเฉยขงเชว่ไม่ปล่อย ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปทำเรื่องอันใดเอาไว้
บัดนี้อูกั๋วก็ไม่อยู่ หากเขาพานางหนีไปคงมีหวังคลาดกัน มิหนำซ้ำสภาพของนางก็อ่อนแอเกินไป
เสียงฝีเท้าที่วิ่งกรูกันเข้ามาตอกย้ำว่าเวลาของพวกเขาเหลือน้อยลงทุกที คิ้วเรียวกดลงก่อนที่เจ้าตัวจะเบิกตากว้างเมื่อมือเรียวของใครบางคนฉุดรั้งให้ร่างของเขาล้มตึงลงไป
“มะ...แม่นาง”
ชายหนุ่มกระซิบเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจเมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาเรียวคมสีน้ำตาลแดง ระยะห่างระหว่างใบหน้าทั้งสองห่างกันเพียงเส้นยาแดง
“เอามีดกรีดหน้าข้าเสีย”
ผู้ฟังเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง นี่นางยังสติดีอยู่หรือไม่!
“เจ้า...อยากให้ข้าทำลายโฉม? ” ชายหนุ่มกระซิบถามอย่างไม่อยากเชื่อหู ก่อนที่มือของเขาจะถูกยัดเยียดมีดเล่มเล็กให้อย่างปราศจากความลังเล
“รีบลงมือเร็วเข้า”
น้ำเสียงของเสาอวี่จริงจังเป็นอย่างยิ่ง นางไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้น แม้แต่จะลงมือกรีดหน้าตนเองก็ยังทำไม่ได้
หากทำให้พวกมันจดจำใบหน้าของนางไม่ได้ก็อาจช่วยสลัดพวกมันให้พ้นทาง
“เหลวไหล!” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันให้กับความบ้าคลั่งของนาง มีสตรีหน้าไหนบ้างที่อยากเสียโฉม ใจนางแข็งแกร่งพอที่จะแบกรับความอัปยศนั้นไปชั่วชีวิตเชียวรึ!
เสียงฝีเท้าย่างกรายเข้ามาใกล้ขึ้น...
“รีบลงมือเร็วเข้า ไม่ก็ไสหัวไปให้พ้น!”
ร่างสูงโปร่งเห็นนางเริ่มขึ้นเสียงก็กัดฟัน “แม่นาง คงต้องขอล้วงเกินแล้ว” กล่าวจบใช้นิ้วจี้จุดสลบให้นางโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว
เสาอวี่สลบไสลไปอีกครั้ง จอมโจรวิญญูชนผละกายออกห่างก่อนดึงมีดสั้นแกะสลักแววหางนกยูงขึ้นมาเพื่อใช้เป็นอาวุธต่อสู่กับกลุ่มคนที่ใกล้เข้ามา นึกไม่ถึงว่าด้านนอกจะมีเสียงกรีดร้องของม้าดังขัดจังหวะขึ้นมาพอดี
“โอ้ย!”
“ใครก็ได้ช่วยด้วย! สตรีผู้นั้นชิงม้าของข้าไป!”
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ย่ำเดินอยู่ในวัดร้างหยุดชะงักก่อนจะพากันยิ่งกรูออกไปด้านนอกอย่างพร้อมเพรียง
“สตรีที่เจ้าว่าเป็นเช่นไร”
“มีบาดแผลตามตัว สวมชุดสีทึม ข้ามองเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่นางมีผิวสองสี นางโผล่ออกมาจากชายป่าแล้วถีบข้าลงจากม้า” เสียงแหบแห้งที่เพิ่งแตกหนุ่มดังแว่วเข้ามาถึงภายในเขตรกร้างด้านใน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง นับว่าโชคยังเข้าข้างที่อูกั๋วย้อนกลับมาพอดี
“นางไปทางไหน”
“ทางนั้น พวกเจ้าเป็นใครกัน ม้าข้า...”
“ตามไปเร็วเข้า!” ชายฉกรรจ์ร่างหนาหลายสิบชีวิตฟังจบแล้วก็เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรีบร้อน ไม่คิดที่จะระแคะระคายคำกล่าวของเด็กหนุ่มที่เร่งรุดเข้ามาวัดร้างในเวลาถัดมา
“ลูกพี่ เป็นอย่างไร ฝีมือการตบตาข้าเหนือชั้นดีหรือไม่”
“อูกั๋ว เจ้าทำได้ดี” ชายหนุ่มกล่าวชมเชยด้วยใจจริงก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตัวเขามิได้ใช้กำลังมากมายอะไรแต่กลับรู้สึกเหนื่อยถึงเพียงนี้ สตรีผู้นี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นเหลือเกิน ทำเกินไปจริงๆ...
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงย้อนกลับมา”
“คือข้า...” อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาเกาศีรษะอย่างเคอะเขิน “เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเงินติดตัวจึงย้อนกลับมาเอาที่ท่าน”
จากเดิมที่ผู้เป็นลูกพี่คิดว่าเด็กหนุ่มอาจมีลางสังหรณ์หรือไหวพริบดีขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายกลับเป็นว่ามันคือโชคช่วยก็เท่านั้น
“แต่เราเสียม้าไปสองตัว จะทำอย่างไร”
“เอ่อ...เรื่องนี้...”
“บางทีข้าก็รู้สึกผิดต่อมารดาเจ้า”
อูกั๋วเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมหรือลูกพี่”
สุดท้ายจอมโจรวิญญูชนก็เลือกที่จะไม่บอก ปล่อยให้เด็กหนุ่มจมกับความมึนงงอยู่เช่นนั้น...