เมฆพายุที่พัดผ่านส่งผลให้ฝนตกๆ หยุดๆ ต่อเนื่องกันอย่างยาวนาน หยาดน้ำหยดแล้วหยดเล่าไหลรินจากหลังคาลงสู่พื้น ส่งเสียงติ๋งๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เรียงร้อยเป็นทำนองขับกล่อมผู้หลับใหลให้ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรามากยิ่งขึ้น
“อวี่เอ๋อร์...แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปเล่นน้ำฝนข้างนอก”
เสียงนุ่มที่เจือแววตำหนิของสตรีผู้หนึ่งราวกับดังมาจากไกลแสนไกล ร่างที่กำลังสลบไสลอยับตัวเล็กน้อย ทว่าดวงตาทั้งสองกลับหนักอึ้งจนไม่อาจลืมขึ้นมาได้
“ดูสิ ทั้งเจ้ากับน้องไข้ขึ้นกันทั้งคู่เลยเห็นไหม แล้วข้าจะไปอธิบายให้ท่านอากับท่านน้าเจ้าฟังเช่นไรดี”
ครานี้เสียงเดิมให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าเดิม ทว่าสิ่งที่สัมผัสได้กลับเป็นความหนาวเหน็บที่แทรกซึมจากแผ่นหลังลามไปจนถึงปลายนิ้ว
“อย่าดื้อสิอวี่เอ๋อร์...”
เหงื่อไคลซึมเข้าสู่บาดแผลตามร่างกาย แสบร้อนจนร่างระหงแทบคลุ้มคลั่ง ความทรมานยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหมดสิ้นที่
เนิ่นนานนัก...เนิ่นนานนัก
นกยูงสาวพยายามเอื้อมมือออกไป ในใจเกิดความรู้สึกโหยหาอย่างแสนสาหัส แม้ความทรงจำจะมาเพียงแค่เสียงโดยปราศจากภาพ แต่สัญชาตญาณกลับร้องบอกอย่างชัดเจนว่าสตรีผู้นั้นคือ...
“ท่านแม่...” เสียงแหบแห้งเบาหวิวราวกับเสียงน้ำค้างหยด หากความเจ็บปวดและอ้างวางกลับสะท้อนกึกก้องอยู่ในโสตประสาท ก่อนที่แพขนตาจะขยับถี่เมื่อหญิงสาวฟื้นคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ผู้บาดเจ็บลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ใช้เวลานานพอสมควรในการปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่สาดเข้ามา ภาพเบื้องหน้ายังคงเป็นวัดร้างปลอดผู้คน นางจึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
อดีตและปัจจุบันล้วนถูกเชื่อมโยงเกี่ยวพันด้วยสายฝน ช่างสะเทือนอารมณ์ ย่ำตอกย้ำความจริงว่านางยังคงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเคย...
ร่างระหงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองสลบไปนานเพียงใด แต่กำลังวังชาเริ่มกลับมาผิดจากที่คาดการณ์ไว้
นางยกมือขึ้นมาเสยผมยาวที่ปรกหน้าอยู่ออกจนกระทบโดนผ้าเนื้อหยาบที่คาดอยู่รอบศีรษะ เห็นว่าที่ข้อมือมีผ้าพันแผลสีขาวพันทบอยู่ ความประหลาดใจวาดผ่านดวงตาคม ด้วยเหตุนี้จึงก้มหน้าลงสำรวจตามร่างกาย พบว่าแผลที่ถูกเพลิงไหม้ตรงหน้าแข้งมีผ้าพันอยู่ในลักษณะเดียวกัน รอยฟกช้ำและแผลถลอกตามข้อศอก ข้อเท้าและหัวเข่า ล้วนได้รับการแต้มยาจนทิ้งกลิ่นขมไว้ที่ปลายจมูก
“จอมโจรวิญญูชน...” นางพึมพำชื่อที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำอย่างครุ่นคิด ภาพความทรงจำพร่ามัวจดจำไม่ค่อยได้
ใช่แล้ว...เขาจี้จุดให้นางสลบ!
เฮยขงเชว่หรี่ตาลง เขาไม่ได้พาตัวนางไปส่งให้ทางการเพื่อขึ้นเงินรางวัลแล้วยังมีความรู้ทางด้านการรักษา ประพฤติตนช่างไม่เหมือนโจรจนน่าสงสัย สีหน้าท่าทางก็ดูมิใช่สามัญ คาดว่าความเป็นมาย่อมไม่ธรรมดา
เสาอวี่มองซ้ายแลขวา เพ่งสมาธิเพื่อดูว่ารอบข้างว่ามีกลิ่นอายของผู้ใดอยู่หรือไม่ ครั้นไม่พบเห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ลอบถอนหายใจ พอร่างกายเริ่มฟื้นฟู กระเพาะลำไส้ก็เริ่มทำงาน เสียงท้องร้องโครกครากจึงตามมาติดๆ
ยามนี้กำลังภายในของนางฟื้นฟูมาได้สี่ในสิบส่วนแล้ว แม้จะถือว่าน้อยแต่ก็พอเอาตัวรอดได้ในระดับหนึ่ง อดีตที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่านางไม่ควรจะอยู่ที่ใดนานเกินไป ดังนั้นถ้าไปไหว นางก็ควรออกเดินทางต่อ
ร่างระหงผุดลุกขึ้น กองฟางที่มีผู้อื่นหามาให้รองนอนช่วยไม่ได้ผิวกายสัมผัสโดนความชื้นเย็นของพื้นโดยตรง เสื้อคลุมตัวยาวสีกรมท่าหลุดออกจากร่างทว่าเจ้าตัวก็ไม่คิดจะใส่ใจ ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวขึ้นไปบนคานสูง แต่แล้วใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสีเมื่อเห็นกระดาษที่มีหินทับถูกเอาทิ้งไว้แทนห่อผ้าของตน!
‘เงินเหล่านี้เจ้าย่อมได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ข้าจะรับผิดชอบนำพวกมันไปคืนให้เอง - จอมโจรวิญญูชน’
มือเรียวคว้าเข้าฉีกกระดาษทิ้งเพื่อระบายโทสะ คิดแล้วเชียวว่าบุรุษผู้นั้นไม่น่าจะใช่คนดีจนถึงขั้นที่ช่วยเหลือนางโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เขาถึงขั้นไปสรรหายาและผ้าพันแผลให้นางเสร็จสรรพเพื่อซื้อใจ จากนั้นก็ค่อยขโมยทรัพย์สมบัติของนางไปทั้งหมด!
น่าตาย...น่าฆ่าเสียให้ตายนัก!
เสาอวี่หน้าดำทั้งแทบ กรนด่าสาปแช่งอยู่ในใจ หากได้พบอีกครั้งย่อมต้องแก้แค้นเจ้าวิญญูชนจอมปลอมผู้นั้นให้สาสม!
การเดินป่าไม่ให้หลงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงต้องหมั่นทำสัญลักษณ์ไว้ตามทาง และปีนขึ้นต้นไม้เพื่อสำรวจเส้นทางเป็นครั้งคราว
นัยว่านางยังโชคดีที่เจ้าโจรหน้าเหม็นสมควรตายผู้นั้นไม่ได้ชิงมีดสั้นไปด้วย อย่างน้อยนางก็มีอาวุธไว้ป้องกันตัวและใช้ประโยชน์ได้บ้าง ยามเด็กนางเคยถูกปล่อยทิ้งไว้ในป่ากับติงหยางเพื่อฝึกฝนเอาตัวรอด ดังนั้นการเดินป่าครานี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
โจรสาวครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ก็หยุดฝีเท้า ครั้นเงี่ยหูฟังให้ดีก็ได้ยินเสียงน้ำ คาดว่าไม่ใกล้ไม่ไกลคงมีแม่น้ำหรือน้ำตก
นางโยนเปลือกกล้วยในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ร่างในเสื้อสีกรมท่าตัวโคร่งซึ่งสวมใส่แทนอาภรณ์ที่เปื้อนเลือดเริ่มออกเดินอีกครั้งจนมาสิ้นสุดลงที่ตีนผา ภาพของน้ำตกเบื้องหน้างดงามดั่งฝัน ความเย็นชื้นสัมผัสลงบนผิวเหนียวร้อน เพิ่มความสดชื่นผ่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา
คนกระหายความสะอาดรุดหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับวักน้ำขึ้นมาดื่มกินดับกระหาย พอมองซ้ายแลขวาแล้วไม่เห็นใครก็จัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงไปในธารน้ำอย่างรวดเร็ว
ซ่า!
น้ำที่แตกกระเซ็นสร้างระลอกคลื่นเรียงซ้อนกันเป็นวง เสาอวี่บรรจงปลดผ้าพันแผลที่ศีรษะและแขนขา แม้จะรู้สึกตึงแผลและแสบอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก ดูท่านางคงจะสลบไปไม่น้อยกว่าสามวัน
ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองภาพสะท้อนของตนเองบนผิวน้ำ ก่อนจะทะลุลงไปยังแผลต่างๆ แววตาดูเหม่อลอยขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง คาดว่าพอแผลหายดีคงจะทิ้งรอยแผล โดยเฉพาะรอยไหม้บนหน้าแข้งข้างขวา...
สิ่งเหล่านี้หาได้กวนใจเจ้าตัวไม่ ยามนี้นางใกล้เลยวัยออกเรือนเต็มที เรื่องแต่งงานหรือการมีครอบครัวไม่เคยผ่านแม้แต่เสี้ยวความคิด ดังนั้นเรื่องรอยแผลพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางควรเก็บเอามาใส่ใจ
ร่างระหงผุดดำผุดว่ายอยู่ริมน้ำตก ผิวสองสีอาบย้อมแสงแดดดูโดดเด่นท่ามกลางแสงสะท้อนบนผิวน้ำที่เปล่งประกาย ปานแดงรูปนกยูงรำพันบนสะบักหลังข้างซ้ายขยับตามกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังเนียนประหนึ่งมีชีวิต เรือนผมสีดำขลับที่แต่เดิมฟูฟ่องกระเซอะกระเซิงเลียบแนบเข้ากับใบหน้าและเรือนร่างโค้งเว้าอันแข็งแรง ยามที่ได้พินิจดูไกลๆ ช่างให้ความรู้สึกลึกลับ มีเสน่ห์เหนือคำบรรยาย
หญิงสาวใช้มือขัดถูไปตามเรือนร่าง เสียงดังจากน้ำตกทางด้านหลังปกปิดการเคลื่อนไหวของแม่นกยูงสาว ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นการมีตัวตนของใครบางคนไว้อย่างมิดชิด จนกระทั่ง...
“นั่นใคร!”
นางตะโกนดังก้องพร้อมกับตวัดหน้าไปยังทิศทางที่เกิดเสียงเสียดสีของพุ่มไม้ มือเรียวยกขึ้นมาปกปิดเรือนร่างพร้อมกับซ่อนตัวลงในน้ำเสียจนมิดคอ ใบหน้าสวยคมคล้ำจนแทบเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียว
ต่อให้อีกฝ่ายจะเงียบ ทว่านกยูงสาวก็รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงจับจ้องตนไม่เลิกรา
‘ประเสริฐ!’
โจรสาวกัดฟันกรอด อยากจะไปควักลูกตาคนถ้ำมองเสียให้รู้แล้วรู้รอด ครั้นเหลือบไปยังกองเสื้อผ้ากับมีดสั้นที่วางอยู่ไม่ไกลก็มีเสียงเข้มราบเรียบดังขัดจังหวะขึ้นมา
“ต้องขออภัยแม่นาง ข้ามิได้มีเจตนาจะแอบดู”
ผู้ฟังหันขวับไปยังทิศทางดังกล่าว พบว่ามีร่างใหญ่กำยำยืนหันหลังอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ระยะทางห่างจากน้ำตกไปพอสมควร เรือนผมยาวเพียงประบ่า จุดที่สังเกตเห็นชัดการเปลือยกายท่อนบนอวดรอยสักบางอย่างตั้งแต่หัวไหล่ลากผ่านแผ่นหลังไปจนถึงเอว น้ำเสียงดูเมามายคล้ายละเมอส่งตรงมาที่นางราวกับพูดคุยอยู่ต่อหน้า คาดว่ากำลังภายในคงสูงส่งอยู่พอสมควร
แวบแรกนางคิดว่าอาจจะเป็นจอมโจรหน้าเหม็นผู้นั้น ต่อมาจึงมั่นใจว่ามิใช่ แม้คราที่พบกันจะเป็นช่วงที่สติของนางยังไม่ชัดแจ้ง แต่นางก็จำได้ว่าอีกฝ่ายมีเรือนผมยาวและมีรูปร่างที่บางกว่า
ผีเก่าหน้าเหม็นตัวเก่าจากไป ผีเน่าหน้าใหม่ก็โผล่มา...
“คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้น!” แม่โจรสาวเค้นหัวเราะเสียงเย็นยะเยือก “หากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ ก็จงทิ้งของมีค่าทั้งหมดแล้วไสหัวไปเสีย!”
บุรุษผู้ยืนนิ่งอยู่บนต้นไม้แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพียงไม่นานความประหลาดใจในทีแรกก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความขบขัน นางอยากให้เขาชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินทอง แต่เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเลยเช่นกัน
“ข้าไม่มีเงินหรอก” เขากล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย ยังคงยืนหันหลังอยู่เช่นนั้น “แม่นาง ปานนกยูงบนหลังของเจ้าเป็นของจริงรึ”
ร่างระหงที่กำลังแหวกว่ายอารมณ์แปรเปลี่ยนทันที นางรีบพุ่งตรงไปสวมเสื้อผ้าด้วยความเร็วดั่งลมพายุ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง
“จริงหรือไม่จริงแล้วอย่างไร!” กล่าวจบก็คาบมีดสั้นไว้ในปาก สองมือระวิงอยู่กับการสวมใส่เสื้อผ้าโดยที่สายตาไม่ละจากแผ่นหลังหนา ขณะเดียวกันความวิงเวียนที่ศีรษะก็เล่นงานเข้าอย่างจัง ร่างระหงถึงกับตาพร่า ใช้เล็บจิกแขนเพื่อประคองสติเอาไว้
“ก็ไม่อย่างไร ข้าใช้สายตาล่วงเกินเจ้าไปแล้ว อย่างไรเสียก็ขอไถ่โทษด้วยคำแนะนำดีๆ ก็แล้วกัน”
ครั้นผูกผ้าคาดเอวอย่างลวกๆ เสร็จเรียบร้อย เสาอวี่ก็เอื้อมมือขึ้นมาจับด้ามมีด ลางสังหรณ์ร้องบอกว่าเขาย่อมต้องรู้บางสิ่งเกี่ยวกับปานนกยูง
เสาอวี่เริ่มเคลื่อนไหว หยาดน้ำที่ไหลลงมาจากเส้นผมหยดลงพื้นเรียงเป็นสายตามร่างที่วิ่งเข้าหาบุรุษลึกลับด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
แต่ก็ไม่ทัน...
“หากเจ้ายังรักชีวิต ก็อยู่ให้ห่างเมืองจื้อโหยว”
เงาร่างของผู้กล่าวจางหายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน หลงเหลือไว้เพียงคำเตือนซึ่งสะท้อนไปมาอยู่ในโสตประสาทของผู้ฟัง
เมืองจื้อโหยว...ที่แท้คือเมืองจื้อโหยว
โจรสาวจมดิ่งลงไปในความนึกคิด ทิ้งร่างอันซวนเซทิ้งตัวลงบนพื้น นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น
นางตามหาเบาะแสเรื่องชาติกำเนิดมาชั่วชีวิต นึกไม่ถึงว่าการอาบน้ำในป่าจะทำให้นางเข้าใกล้ความจริงอย่างเหนือความคาดหมาย
...ถึงขั้นนี้แล้วนางยังต้องสนใจคำเตือนนั้นอยู่อีกรึ?
คำเตือนนี้ไม่ต่างจากการกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
คิดจะห้ามคนอย่างนาง...ต่อให้ห้ามอีกสักสิบชาติก็ไม่มีทางขวางนางได้!