7
“พ่อเลี้ยงน่ะ พ่อเลี้ยงอุ้มปิ่นขึ้นไปพักที่ห้องนั้นเองแหละ พ่อเลี้ยงเห็นปิ่นไม่สบายตัวร้อน เลยไปเรียกให้เอื้องมาดูแล เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ไง” ชาติชายตอบแบบไม่ต้องให้อีกฝ่ายถามต่อ เพราะว่าเขาไม่อยากจะสนทนากับปิ่นปักเท่าไหร่นัก เมื่อเช้าเขาได้รับรังสีอำมหิตจากคิมหันต์หลายครั้ง
“เรื่องเมื่อคืนปิ่นขอบคุณมากนะคะ ที่พาคนไปช่วยปิ่นไม่อย่างนั้นปิ่นคง ” เธอหยุดพูด เพราะไม่อยากคิดเลยว่าหากเธอถูกชายทั้งสี่คนนั้นข่มเหงจริง เธอจะทนอยู่บนโลกใบนี้ได้หรือไม่
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ช่วยได้ก็ช่วยกันไป” หญิงสาวยิ้มให้อีกฝ่าย ชาติชายเผลอยิ้มตอบกลับไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคิมหันต์ยืนมองดูทั้งคู่อยู่ด้านหลังของผ้าม่าน ที่ถูกแหวกเพียงนิด
“ปิ่นขอบคุณพี่ชาติอีกครั้งนะคะ” ร่างน้อยของปิ่นปักโผกอดร่างของชาติชายโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว คนที่ถูกกอดทำอะไรไม่ถูก ยืนปั้นหน้าเป็นคนอย่างยากลำบาก แต่ต้องกลับกลายเป็นหน้าซีดคล้ายไก่ต้ม เมื่อบานประตูห้องทำงานของคิมหันต์เปิดกว้าง ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าเท้าเอวที่หน้าประตู มองชาติชายชนิดที่เรียกว่าชวนขนหัวลุก
“ไอ้ชาติมึงไม่มีอะไรทำหรือไง ถ้าไม่มีกูจะได้ไล่มึงออก อีกอย่างไร่ของกูไม่ใช่ม่านรูดนะโว้ย ถึงได้มายืนกอดกันกลมดิกขนาดนี้ ถ้าอยากมีอะไรกันจนตัวสั่น โน่น ไปที่ห้องของมึงเลยไป”
ชาติชายอยากจะเอาหน้ามุดดิน หลบสายตาของผู้เป็นนายยิ่งนัก ดันร่างเล็กให้ออกห่างตนทันที ก่อนจะรีบเดินไปยังทิศทางที่ตนเองตั้งใจจะไปในคราแรก
ปิ่นปักหน้าเสียหลังจากได้ยินคำต่อว่าที่เจ็บแสบของคิมหันต์ เขาหงุดหงิดอะไรมากมายขนาดนี้นะ หน้าตาของเขาก็ดุอยู่แล้ว ยิ่งตีหน้ายักษ์แบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ใครจะกล้าเข้าใกล้
“จะไปไหนน่ะ” คิมหันต์เอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินไปข้างหน้า แทนที่จะเลี้ยวมาหาเขาที่ห้องทำงาน ตามที่ได้สั่งกับเอื้องไว้
“ก็ไปกอดขอบคุณพี่เดชกับพี่พีไงคะ” เธอตอบซื่อๆ หน้าตาใสๆ คนที่ฟังอยู่ถึงกับเลือดขึ้นหน้า กำมือแน่น
“ขึ้นมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เขาตวาดเสียงดัง จนคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างสะดุ้งกับเป็นทิวแถว ปิ่นปักก็เช่นกัน หญิงสาวก้าวเท้าอันสั่นเทาขึ้นไปหาเขาที่ห้องทำงาน
“ปิดประตูด้วย” เขาสั่งทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในห้องแล้ว หญิงสาวทำตามก่อนจะยืนก้มหน้านิ่ง
“ต่อไปนี้เธอขึ้นไปพักที่ห้องรับรองห้องนั้นนะ” คำพูดของคิมหันต์ เรียกความตกใจให้เกิดขึ้นบนดวงหน้าสวย ความสงสัยและอยากรู้เหตุผลแล่นตามมาติดๆ เงยหน้ามองผู้พูดทันที
“ทำไมล่ะคะ ก็เมื่อวานคุณคิมไล่ปิ่นอยู่เลย”
“มันมีเหตุผล อยากฟังหรือเปล่าล่ะ” เขาพูดยิ้มๆ จากที่ยืนพิงฝาผนังเดินมาทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้หวายตัวยาว ตบที่นั่งข้างๆ แรงๆ สองสามครั้ง ราวกับจะบอกเธอว่าให้มานั่งตรงนี้ มีหรือที่ ปิ่นปักจะกล้าขัด
“อยากรู้ค่ะ”
“เมื่อคืนฉันเป็นผัวเธอ” คำพูดง่ายๆ ไม่ต้องแปลของคิมหันต์ ทำให้ดวงตายาวรีเบิกกว้างจนสุด ตกใจมากกว่าครั้งไหนๆ ไม่อยากจะเชื่ออีกด้วย
“ไม่จริง ทำไมปิ่น...ไม่รู้” ปิ่นปักพูดตะกุกตะกัก ไม่เชื่อคำพูดของเขาเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ทำไมเธอไม่รู้สึกตัวเลย เธอมีความสัมพันธ์กับเขาตอนไหน เวลาใด เขาต้องโกหกแน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ
“เธอจะรู้ตัวได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่รู้สึกตัวเพราะว่าเธอเป็นไข้ อันที่จริงฉันก็ไม่อยากนอนกับเธอหรอกนะ แต่เธอนั่นแหละรั้งฉันไปจูบ ไปกอด ไปหอม จับตรงโน้นตรงนี้ ฉันไม่ใช่อิฐหินดินทรายนะที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอเสนอมาฉันก็สนองไป ก็เท่านั้น” เขาโกหกหน้าตาย ปิ่นปักกำลังคิดว่ามันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมเธอไม่รู้สึกอะไรเลยว่าผ่านการร่วมรักกับเขา ไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกเธอเลย เหตุใดความสาวที่ถูกพรากไป ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกอ่อนเพลียเหมือนกับที่เธอเคยอ่านเจอในนิยายบางเล่ม ที่นักประพันธ์มักจะบรรยายฉากอารมณ์ ตอนที่นางเอกถูกพร่าพรหมจรรย์ไป เหตุใดเธอไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลยสักข้อ
“ไม่จริง ปิ่นไม่เชื่อ”
“ดูอย่างเสื้อผ้าเธอสิ ทำไมถึงเปลี่ยนมาใส่เสื้อของฉัน กางเกงของฉัน เพราะฉันใส่ให้เธอกับมือ คนงานในไร่เค้าก็รู้กันหมดแล้วว่า เราสองคนเล่นจ้ำจี้กันเมื่อคืน” ข้อนี้เองทำให้ปิ่นปักเริ่มเชื่อคำพูดของเขา ที่เขาพูดมามันก็ถูก ตอนตื่นขึ้นมาเธอไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิม ทว่าสวมใส่เสื้อผ้าของเขา หรือจะจริงอย่างที่คิมหันต์พูด ตอนนั้นสติของเธออาจจะไม่เต็มร้อย บวกกับพิษไข้ทำให้ตัวเองไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น น้ำตาเริ่มรินไหลเมื่อรู้ว่าสิ่งที่หวงแหนถูกพรากจากไปอย่างไร้ค่า ในความเสียใจยังมีความดีใจที่รู้ว่าเขาคือคนแรกของเธอ ยิ่งสายตาของคนงานในไร่ที่มองมาที่เธอนั้น บางสายตาบ่งบอกถึงความรังเกียจ บางคนหลบหลีกสายตา บางคนมองหญิงสาวด้วยสายตาแปลกๆ
“ถ้าคุณคิมจะให้ปิ่นอยู่ที่นี่ เพราะต้องการรับผิดชอบไม่ต้องก็ได้ค่ะ” เสียงนั้นเบาและสะอื้น
“ใครบอกว่าฉันจะรับผิดชอบเธอ เธอต้องรับผิดชอบฉันต่างหาก” คราวนี้ปิ่นปักมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวไม่เข้าใจเขาจริงๆ จะให้เธอรับผิดชอบอะไรในเมื่อฝ่ายที่เสียหายก็คือตัวเธอเอง