บทที่ 1 มาเฟียสาว
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร วิ่งหนีลูกปืนอยู่ดี ๆ กลับต้องมาอยู่ในร่างของคุณแม่ลูกหนึ่ง แถมร่างนี้ช่างขี้ขลาดนัก มีสามี สามีก็มีเมียน้อย ที่สำคัญเจ้าตัวรู้เรื่องกลับยังจะทนอยู่อีก ทำไมไม่หย่า ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีทรัพย์สินและบ้านเดิมที่รักเธอมากรออยู่”
มาเฟียสาวแทบจะหัวโหม่งกำแพงให้ตายอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าแท้ ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจเพราะเด็กน้อยวัยขวบกว่าที่ยืนเกาะเตียงยิ้มแป้นให้เธออย่างไร้เดียงสา
“แมะ ๆ หม่ำ ๆ”
เด็กน้อยไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกสาวตัวน้อยของร่างนี้มีชื่อว่าหลิงหลิง หรือเมิ่งฟานหลิง ต่อให้เธอจะเย็นชาและโหดเหี้ยมแค่ไหน แต่เพราะใบหน้าและรอยยิ้มของเด็กน้อยทำให้ใจเธออ่อนยวบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“หลิงหลิงหิวแล้วเหรอลูก มาเช็ดตัวก่อนดีกว่านะ แล้วไปดูกันว่าในครัวมีการเตรียมอาหารของลูกไว้หรือเปล่า”
ตอนนี้น้ำนมของร่างนี้ไม่ไหลแล้ว จึงมีเพียงนมผงและอาหารสำหรับเด็กอ่อนเท่านั้นที่กินได้ เธอควรอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกน้อยและตนเองก่อนจะลงไปหาอะไรให้ลูกกินด้านล่าง
สองแม่ลูกพากันเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย แทนที่จะเช็ดตัวกันดี ๆ กลายเป็นสองแม่ลูกเล่นน้ำจนเปียกโชกไปหมด กว่าทั้งคู่จะได้ออกมาจากห้องน้ำเล่นเอานานเหมือนกัน ก่อนจะลงมาที่ห้องครัวของคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง
“คุณหนูตื่นแล้วเหรอคะ ป้าเตรียมข้าวต้มของคุณหนูหลิงหลิงไว้แล้ว ป้ากำลังจะไปตามอยู่พอดีเลย”
หม่าซือ ป้าพี่เลี้ยงของร่างเดิมที่ตามมาอยู่ตระกูลเมิ่งด้วยหลังจากที่ว่านเซียงแต่งเข้ามา ยังมีมู่ตานด้วยอีกคนที่ไม่ยอมให้คุณหนูของเธอมาเพียงคนเดียว
เหอว่านเซียงทบทวนความทรงจำดูว่าคนตรงหน้าเป็นใครพอรู้ว่านี่คงเป็นหนึ่งในสองคนที่ตามร่างเดิมมาหลังจากแต่งงาน เธอจึงยิ้มกว้างให้
“ขอบคุณมากค่ะป้าหม่า”
หม่าซือตาพร่ากับรอยยิ้มของเจ้านาย รอยยิ้มนี้คล้ายกับมีก่อนแต่งงาน แต่หลังจากแต่งกับท่านผู้พันได้เพียงครึ่งปี เจ้านายของเธอกลับไม่มีรอยยิ้มอีกเลย ใครพูดอะไรเธอเก็บไว้ในใจเพียงคนเดียว
เหมือนกับตอนที่คุณนายรู้ว่าท่าผู้พันเลี้ยงหญิงสาวไว้อีกคนนอกบ้าน คุณนายไม่คิดจะบอกหรือโวยวาย ทำเพียงกลืนน้ำตาไว้คนเดียว จนคลอดคุณหนูหลิงหลิงออกมา เรื่องผู้หญิงของท่านผู้พันไม่เคยลดน้อย ลงเลย
“ป้าหม่ากับเสี่ยวตานเตรียมตัวด้วยนะ สายวันนี้ฉันจะกลับตระกูลเหอ มีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่ใหญ่และคุณพ่อ มันถึงเวลาแล้วล่ะ”
หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนไปให้ทั้งสองคนที่จริงใจกับเธอเสมอมา ทำให้หม่าซือและมู่ตานน้ำตาซึม ในที่สุดก็ถึงวันที่คุณหนูของพวกเธอคิดได้และพร้อมที่จะสู้เสียที
หม่าซือมองซ้ายมองขวา เธอยังเป็นกังวลกลัวว่าคุณหนูจะหย่ามากกว่าที่จะจัดการแบบอื่น
“คุณหนูคิดจะหย่ากับท่านผู้พันเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ฉันคิดจะหย่า”
“ท่านผู้พันจะยอมใช่ไหม แล้วคุณหนูจะอยู่ยังไงคะ ต้องแบกรับคำว่าหญิงม่ายไปตลอดเลยเหรอ”
“คำว่าหญิงม่ายไม่ใช่เรื่องน่าอายนะป้าหม่า เรื่องที่ฉันควรจะอายมากกว่านั้น คือเรื่องที่สามีมีภรรยาน้อยเลี้ยงไว้นอกบ้าน ที่สำคัญฉันเชื่อว่าตระกูลเหอของเราย่อมต้องเลี้ยงดูลูกสาวและหลานสาวได้ ดังนั้นป้าไม่ต้อง
ห่วงนะ ฉันไหว หรือว่าป้าและเสี่ยวตานรังเกียจหญิงม่ายเช่นคุณหนูของป้าคนนี้”
คำว่าหญิงม่ายไม่สำคัญกับเธอเลย ในเมื่อยุคสมัยที่จากมา คนที่แต่งงานแล้วอยู่กันไม่ได้สุดท้ายจบลงกับการหย่ามีถมเถไป จะมากังวลทำไมกับเรื่องนี้ อีกทั้งต่อให้เธอไม่กลับตระกูลเหอ ทรัพย์สินที่พ่อแม่และพี่ใหญ่ให้กับร่างเดิมมานั้น มันมากพอที่จะเลี้ยงดูเธอและลูกไปจนตาย
แต่ในเมื่อเธอมีมันสมองและสองมือ เธอคงต้องต่อยอดทรัพย์สินให้มันเพิ่มพูน เพื่อลูกสาวตัวน้อยในอนาคต และที่สำคัญต่อให้เธอไม่มีมิติเหมือนกับคนอื่นเหมือนในนิยายที่เคยอ่าน แต่ความสามารถของเธอบวกกับความสามารถของร่างเดิม ไม่ใช่ปัญหาที่จะสร้างทุกอย่างขึ้นมา
“ไม่นะคุณหนู เสี่ยวตานจะไปกับคุณหนูด้วย เสี่ยวตานไม่เคยรังเกียจเลยต่อให้คุณหนูจะเป็นแม่ม่ายก็ตาม เสี่ยวตานดีใจนะที่คุณหนูตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ท่านผู้พันจะยอมเหรอคะ”
มู่ตานรีบบอก สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือท่านผู้พันจะไม่ยอมหย่าให้คุณหนูของเธอน่ะสิ
“ป้าก็เหมือนกัน คุณหนูตัดสินใจแล้วป้าก็เห็นดีด้วย เรากลับไปหานายท่านกับคุณชายใหญ่กันนะคะ”
หม่าซือน้ำตาซึมอีกครั้ง เธอดีใจมากกว่าเสียใจ ไม่ว่าคุณหนูที่เธอเลี้ยงมาจนโตจะคิดและตัดสินใจอย่างไรเธอพร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง
บรรยากาศที่กำลังหวานปนเศร้าของทุกคนกลับต้องยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อหลิงหลิงตัวน้อยเรียกหาของกินอีกครั้ง “หม่ำ ๆ แมะ หม่ำ”
“ฮ่า ๆ ลูกสาวแม่หิวแล้วใช่ไหมคะ เรามาทานอาหารกันดีกว่านะ เสร็จและจะได้ไปหาคุณตาคุณยายและลุงใหญ่กันที่ตระกูลเหอ ดีไหมคะ”
เหอว่านเซียงบีบจมูกลูกน้อยเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูปนมันเขี้ยว ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารป้อนข้าวลูกสาวอย่างมีความสุข ต่อให้เธอจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่จิตใต้สำนึกบอกกับร่างกายทำให้เธอทำทุกอย่างด้วยความชำนาญ
“คุณนาย คุณนายคะ ฉันมีเรื่องมารายงานค่ะ”
แม่บ้านจอมสอดมือขวาของคุณนายของบ้านรีบเสนอหน้าเข้ามารายงานเรื่องที่แอบฟังคุณนายน้อยว่านเซียงคุยกับคนสนิท
“แกมีเรื่องอะไร ทำไมดูรีบร้อนชอบกล”
คุณนายเมิ่งเอ่ยถามพร้อมกับส่งสายตาดุกลับมาให้
“ฉันได้ยินคุณว่านเซียงคุยกับนางหม่าและนังมู่ตานว่าจะกลับสกุลเหอวันนี้ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นนะคะ ฉันได้ยินว่าเธอจะขอหย่ากับท่านผู้พันด้วย”
“จะบ้าเหรอ จะหย่าได้ยังไง แล้วหลานสาวฉันล่ะ”
ต่อให้ไม่ค่อยชอบลูกสะใภ้คนนี้ที่ดูอ่อนแอและไม่สู้คน แต่เพราะมีหลานสาวให้เธอ เธอจึงหลับตาข้างลืมตาข้าง แล้วนี่สะใภ้ใหญ่เกิดเป็นอะไรขึ้นมานึกจะกลับบ้านเดิม และยังพูดเรื่องหย่าอีก บ้ากันไปหมดแล้ว
“หรือว่าคุณว่านเซียงจะรู้เรื่องที่ท่านผู้พันเลี้ยงหญิงสาวไว้คะ แต่เรื่องเกิดขึ้นมาก่อนที่คุณหนูจะคลอดออกมาอีก ทำไมคุณนายน้อยถึงมาคิดจะหย่าเอาตอนนี้”
แม่บ้านคนสนิทไม่เข้าใจ ทำไมคุณนายน้อยไม่โวยวายตั้งแต่ทีแรก มาคิดจะหย่าตอนนี้มันไม่สายไปเหรอ
คุณนายเมิ่งนั่งคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสะใภ้ แต่คิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายจึงเดินมาหาด้วยตนเอง
“ฉันได้ข่าวว่าหล่อนจะกลับตระกูลเหอเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่า”
ถึงแม้แม่สามีจะไม่เคยรังแก แต่ก็ไม่เคยสนใจหรือช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายมีเมียน้อยนอกบ้าน การที่รีบร้อนเดินมาพบเธอคงรู้ข่าวเรื่องที่เธอคุยกับคนสนิทแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้จัดการทุกอย่างให้เร็วขึ้น
“หล่อนจะกลับไปทำไมตระกูลเหอ ตั้งแต่แต่งงานมาเกือบสามปี ฉันไม่เคยเห็นหล่อนคิดจะกลับบ้าน”
เธอรู้ดีว่าลูกสะใภ้ยอมตัดขาดกับครอบครัวเพราะต้องการแต่งงานกับลูกชายของเธอ แต่เพราะนายท่านเหอและลูกชายคนโตไม่เห็นด้วย ทำให้ลูกสะใภ้คนนี้ตัดขาดกับพ่อและพี่ชายโดยปริยาย
“ฉันจะพาหลานไปหาลุงกับตาและยายต้องมีเหตุผลด้วยเหรอคะ ก่อนหน้านี้ฉันคิดไม่ได้จึงยอมตัดขาดครอบครัว เพื่อเลือกที่จะแต่งงานกับผู้พันเมิ่ง แต่ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว”
เหอว่านเซียงยังคงยิ้มให้แม่สามีอย่างอ่อนโยนดังเช่นปกติ แต่ครั้งนี้ดวงตาของเธอไม่ได้ยิ้มด้วย
คุณนายเมิ่งผละไปด้านหลังสองก้าว ทำไมเธออยู่กับลูกสะใภ้ในครั้งนี้กลับรู้สึกกดดันและหวาดกลัวเธอขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกส่วนลึกบอกกับเธอว่าลูกสะใภ้ไม่ใช่คนเดิม แต่เธอบอกไม่ได้ว่าอะไรที่เปลี่ยนไป